ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1497 ไม้ประหลาด

บทที่ 1497 ไม้ประหลาด

ถ้าเข้ามาดูใกล้ๆ ฟาร์มปลาก็งั้นๆ

มาดูเรื่องคุณภาพน้ำกันก่อน เพราะอยู่ในอ่าวด้านใน น้ำทะเลไม่ค่อยมีการไหลเวียน ใต้น้ำไม่มีกระแสคลื่นใต้น้ำ บนผิวน้ำก็ไม่มีลม ดังนั้นจึงนำไปสู่การสะสมของขยะจำนวนมากในน้ำ

ฉินสือโอวยืนรับลมทะเลอยู่ที่ท่าเรือ กลิ่นที่โชยมาก็คือกลิ่นน้ำเหม็นๆ นี่คือกลิ่นที่เกิดจากย่อยสลายของซากปลากุ้งจำนวนมากที่สะสมรวมกัน ที่ฟาร์มปลาต้าฉิน กลิ่นเดียวที่จะได้กลิ่นคือกลิ่นคาวน้ำทะเล อีกอย่างจากการดูแลสองปีนี้ เขตทะเลฟาร์มปลาแทบจะไม่มีมลพิษเลย แม้แต่กลิ่นคาวก็ไม่มีอีกแล้ว

ตอนนี้เขตทะเลรอบๆ เกาะแฟร์เวลสามารถบรรลุคำที่เออร์บักพูดไว้ตอนนั้น “เมื่อลมพัดมา แม้แต่อากาศยังหวาน!”

คุณภาพน้ำที่นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเทียบกับฟาร์มปลาต้าฉิน แค่เทียบกับฟาร์มปลาอื่นในเซนต์จอห์นก็ต่างกันลิบลับแล้ว

ที่จริงถ้าพูดถึงบนบก แม้ว่าในพื้นที่ของฟาร์มปลาจะมีป่าผืนใหญ่อยู่ แต่ต้นไม้ก็โตตามธรรมชาติ ความสูงจึงไม่เท่ากัน ชนิดของต้นไม้ก็คละกันไป แถมยังไม่มีถนนหนทางทอดผ่านอีก ถ้าฉินสือโอวจะอยู่ฟาร์มปลาระยะยาวก็ยังต้องทำทางเอง ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่เดินทางด้วยเรือหรือเฮลิคอปเตอร์

นอกจากจะไม่มีถนนแล้ว หาดของฟาร์มปลายังแย่มากอีกด้วย ชายฝั่งที่ทอดยาวแปดกิโลเมตรมีแต่เนินขรุขระ หาดทรายมีอยู่แค่ไม่ที่จุด แถมไม่ต่อกันด้วย

คลื่นทะเลซัดแนวหินส่งเสียง ‘ซ่า’ คลื่นที่สาดกระเซ็นมีฟองสีเทาขาวอยู่ด้วย ในนั้นยังมีของพวกถุงพลาสติกฟิล์มพลาสติกลอยปนอยู่อีกต่างหาก ฉินสือโอวอดส่ายหน้าไม่ได้

พี่น้องมินสกี้สมควรขาดทุนแล้ว พวกเขาไม่ได้มีเจตนาจะพัฒนาฟาร์มปลานี้จริงๆ แค่ลงทุนเลี้ยงปลากุ้งไปมั่วๆ แต่ไม่เคยมาดูแลคุณภาพน้ำ คุณภาพน้ำไม่ดีแล้วจะเลี้ยงจนได้อาหารทะเลดีๆ ออกมาได้อย่างไร?

เพียงแต่สำหรับฉินสือโอวแล้วนี่มันเรื่องเล็ก ฟาร์มปลานี้ก็แค่สาขาย่อยของเขา เอาไว้เลี้ยงสาหร่ายโดยเฉพาะ ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ระยะยาว ฉะนั้นไม่ต้องทำทางหรือสะพาน และจะติดต่อกับภายนอกหรือไม่ก็ไม่เป็นไร

ส่วนคุณภาพน้ำยิ่งไม่ต้องห่วง แค่หว่านเมล็ดสาหร่ายทะเลกับพืชน้ำหลายร้อยตันลงไป พอทุ่งใต้ทะเลเกิดขึ้นต่อให้น้ำมีมลภาวะร้ายแรงแค่ไหนพวกมันก็ทำให้สะอาดได้

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดสายถูกส่งออกไป ฉินสือโอวสำรวจฟาร์มปลา อยากดูว่าปลาของฟาร์มปลานี้เป็นอย่างไรโดยละเอียด คราวที่แล้วแค่ดูผ่านๆ จำไม่ค่อยได้แล้ว

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนแปดสายดูราวกับมังกรดุดันแปดตัวที่แหวกว่ายเป็นกลุ่มอย่างรวดเร็วไปในทะเล ไม่นานภาพเป็นฉากๆ ก็ถูกส่งเข้ามาในหัวเขา เขารู้แจ้งถึงสถานการณ์โดยรวมของฟาร์มปลาแล้ว

เทียบกับฟาร์มปลาต้าฉินในอดีต สภาพของฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์ดีกว่ามาก จำนวนของสาหร่ายทะเลถือว่ามีไม่มาก แต่ขอแค่กลายเป็นฐานที่อยู่ก็จะเติบโตงอกงามราวกับก้นทะเลที่มีพุ่มไม้ขึ้นเป็นหย่อมๆ

เหล่าปลาทะเลแหวกว่ายรอบๆ สาหร่ายทะเลเหล่านี้และหาที่อยู่จนเจอ ในที่พวกนี้จะพบฝูงปลาใหญ่เล็กได้ เทียบกับสภาพเลวร้ายที่สุดที่ฉินสือโอวคิดไว้ นี่ถือว่าดีกว่ามาก

ที่น่าเสียดายอย่างเดียวก็คือ สาหร่ายพวกนี้จำนวนน้อยเกินไป ห่างหลายกิโลเมตรถึงจะเจอสักหย่อม ถ้าสามารถให้มันต่อกันได้ ฟาร์มปลานี้ก็ยังมีพื้นที่ให้ทำได้

แน่นอนถ้าฟาร์มปลาพัฒนาขึ้นมา ฉินสือโอวก็ไม่มีทางซื้อมาได้ในราคาถูกอย่างสี่ล้านห้า

ทางตอนใต้ของฟาร์มปลา จิตสำนึกแห่งโพไซดอนยังเจอเรืออับปางสองลำ เรือสองลำนี้คงจมหลังจากแล่นชนกัน ระยะห่างใต้ทะเลไม่ไกล และต่างมีแผลใหญ่อยู่ที่หัวเรือเหมือนกัน

เจอแบบนี้ท่านชายฉินก็ยิ้มออก เขาใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสำรวจด้านในอย่างละเอียด เรือลำหนึ่งคงจะเป็นเรือบรรทุกสินค้า บนนั้นบรรทุกไม้ไว้จนเต็ม

ไม้พวกนี้โดนตัดแบ่งไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าจมอยู่ใต้น้ำมานานแค่ไหน ส่วนมากก็เน่าไปแล้ว มีสาหร่ายงอกเต็มไปหมด และมีพวกหนอนน้ำกับแพลงก์ตอนเดินปีนป่ายอยู่มากมาย

ต่อให้มีบางส่วนที่ดูมีสภาพเดิม แต่ที่จริงก็เน่าไปหมดแล้ว พอจิตสำนึกแห่งโพไซดอนสร้างคลื่นน้ำไหลผ่าน ไม้ที่ยังดูมีสภาพเดิมพวกนั้นก็แตกกระจายออกมาเป็นอะไรบางอย่างนิ่มๆ

แต่ในตอนนั้นเอง ฉินสือโอวก็พบว่าในห้องโดยสารมีไม้กองหนึ่งที่ยังคงสภาพดีอยู่ พอคลื่นซัดผ่านไปพวกมันก็ปลิวขึ้นมาแล้วกระทบกันเอง หลังจากที่กระทบกันก็ไม่ได้หักและไม่ได้กลายเป็นสสารนิ่มๆ และสุดท้ายก็จมลงไปในน้ำ

แบบนั้นเขาก็เริ่มสนใจ ต่อให้ใช้หัวเข่าคิดก็คิดได้ว่าไม้พวกนี้ไม่ธรรมดา

เท่าที่เขารู้ ไม้ที่สามารถแช่ในน้ำได้นานโดยไม่เน่าก็น่าจะมีแต่พวกต้นตะโก ต้นบุนนาค แต่เขาเข้าไปหาหน้าตาของต้นไม้มีค่าสองประเภทนี้ในเน็ตก็พบว่าไม้ตรงหน้าไม่เหมือนกับที่หาเจอเลย

ไม้ในเรืออับปางเป็นสีน้ำตาลอมเหลือง ที่เปลือกมีสีเขียวอ่อนๆ ราวกับมีสาหร่ายทะเลขึ้นเป็นหย่อม เพียงแต่สำรวจดูอย่างละเอียดก็จะรู้ว่า สีเขียวนี้ไม่ใช่สาหร่ายทะเลหรือพืชน้ำ แต่เป็นสีที่มีแต่เดิม

นอกจากสีเขียว เปลือกไม้พวกนี้ยังเรียบมากๆ ด้วย ฉินสือโอวพอจะนึกออกแล้ว มิน่าล่ะไม้อื่นถึงเน่าจนแตกตัวแต่ไม้พวกนี้ยังอยู่ในสภาพดี พวกมันคงแช่ในน้ำมันตุงมาก่อนแล้ว ผิวด้านนอกก็เคลือบสารพวกสารเคลือบใสไว้แล้วจึงกันน้ำได้แล้วปกป้องพวกมันจากน้ำอย่างดี

ตอนที่เขาสำรวจอย่างละเอียด เขาก็เจอว่าข้างใต้สารเคลือบใส บนไม้พวกนี้มีผลึกใสตกตะกอนอยู่ด้วย

ตอนแรกเขาไม่ได้สังเกตเห็นผลึกบนไม้ แค่นึกว่าไม้พวกนี้ก็คงจะมีน้ำเข้าแล้วแช่จนเน่า แต่ตอนหลังเขาก็พบว่าไม้แทบทั้งหมดล้วนมีผลึกอยู่ และไม้พวกนี้ไม่ได้เน่าแน่นอน จิตสำนึกแห่งโพไซดอนม้วนเอาไม้สองท่อนมาชนกันทำให้เห็นว่ายังแข็งแรงอยู่

แบบนี้ฉินสือโอวจึงคิดว่าไม้พวกนี้คงจะค่อนข้างมีราคา ไม่อย่างนั้นเรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งที่บรรทุกไม้มาเยอะขนาดนี้ คงไม่มีแค่ไม้พวกนี้ที่แช่น้ำมันตุงแถมยังเคลือบสารเคลือบใสด้วย

แต่ดูจากภายนอก ไม้พวกนี้ก็ดูธรรมดามากจริงๆ หน้าตาดูธรรมดา นอกจากไม้บางท่อนที่เป็นสีเขียวและตกผลึกก็ไม่มีจุดผิดปกติอื่น

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วโทรไปหาเบลคก่อนจะถามว่า “หวัดดีเพื่อน นายรู้จักไม้มีค่าที่หน้าตาดูธรรมดาไม่สะดุดตาไหม?”

เบลคหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ไม้มีราคาหลายชนิดก่อนที่จะแกะสลักก็ดูธรรมดาทั่วไปทั้งนั้น อย่างเช่นไม้พะยูงหอมของประเทศนายกับต้นสาธร ที่ไม้พวกนี้มีราคาก็เพราะมันมีลักษณะปั้นง่ายที่สูงมาก นายดมกลิ่นดูสิแล้วบอกฉันว่ามีกลิ่นหอมพิเศษไหม ถ้าไม่มี งั้นก็คือไม้ธรรมดาไม่ใช่ไม้มีราคา”

ฉินสือโอวกลอกตา ไม้พวกนี้อยู่ใต้น้ำ เขาจะไปดมได้อย่างไร? แบบนี้เขาก็ได้แค่พรรณนาต่อไป “เปลือกไม้บางท่อนมีสีเขียวอ่อน ไม้ทุกท่อนมีตะกอนผลึกด้วย…”

“ไม้ประเภทนี้โดนหุ้มด้วยชั้นเคลือบอะไรเทือกนั้นด้วยใช่ไหม?” เบลคฟังถึงตรงนี้จู่ๆ ก็พูดขัดคำพูดเขา

ฉินสือโอวพูดว่า “เปล่า แต่ชั้นนอกเคลือบด้วยสารบางอย่างแล้วยังเป็นสารเคลือบใสด้วย ผลึกพวกนี้อยู่ข้างใน”

ได้ยินแบบนั้นเสียงของเบลคก็สูงขึ้น “ให้ตาย อย่าบอกนะว่านายเจอเรืออับปางอีกแล้วน่ะ! นี่คือ ผลึก ผลึกตกตะกอนที่นายพูดถึงน่าจะเป็นผลึก…”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท