ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1492 ฟาร์มปลาศัตรูคู่อาฆาต

บทที่ 1492 ฟาร์มปลาศัตรูคู่อาฆาต

ได้ยินราคาที่ซูลาเสนอ ฉินสือโอวก็นึกว่าตัวเองฟังผิดไป เขาทำท่าขออภัยแล้วถามด้วยความสับสนงงงวยว่า “เท่าไรนะครับ?”

“50 ล้าน!” พี่ชายคามาลพูดด้วยเสียงดังฟังชัดกว่า

ฉินสือโอวยิ้มออกมาแล้วถามว่า “50 ล้านหยวนเหรอครับ? หรือว่าเป็นสกุลเงินอื่นๆ?”

ซูลากลอกตาแล้วพูดว่า “อย่าล้อเล่นสิครับ เพื่อน นี่มันเป็นสถานการณ์ที่จริงจังมากไม่ใช่เหรอ? ห้าสิบล้านที่พวกเราพูดถึงไม่ใช่หยวน แล้วก็ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ ดอลลาร์แคนาดานี่แหละ 50 ล้านดอลลาร์แคนาดา!”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “ผมไม่ได้ล้อเล่น พวกคุณหรือเปล่าที่กำลังล้อเล่นกับผม? ฟาร์มปลานี้ขาย 50 ล้าน? ขายตารางกิโลเมตรละแสน? น่าตลกไปหน่อยแล้วนะเพื่อน ผมกล้าพนัน ราคาที่ดินในแมรีส์ทาวน์ไม่ได้แพงขนาดนี้!”

นี่มันเหลวไหลทั้งเพ ยังไม่ต้องพูดถึงข้อบกพร่องทางตำแหน่งภูมิศาสตร์ของฟาร์มปลาโทรมๆ นี้ ต่อให้มันตั้งอยู่ในทำเลทองก็ขายราคาไม่สูงขนาด 50 ล้าน

เนื้อที่ฟาร์มปลาแกธเธอริงใหญ่กว่าฟาร์มนี้สี่เท่า แต่ราคาก็แค่ 35 ล้านดอลลาร์แคนาดา แล้วยังเป็นราคาประมูลด้วย แน่นอนว่าราคานี้ค่อนข้างต่ำ เพราะตอนนั้นกรมประมงขอให้เจ้าของฟาร์มปลาลงทุนด้านการประมงภายในสามปีหลังจากซื้อฟาร์มปลาแกธเธอริง

ที่จริงที่มันได้ราคาดีก็เพราะรากฐานวิลล่าและวัสดุก่อสร้างต่างๆ ในฟาร์ม แค่ของพวกนี้ก็เกินสิบล้านดอลลาร์แคนาดาแล้ว

ถ้าให้พูดถึงแก่น ถ้าฟาร์มปลาแกธเธอริงขายแค่ฟาร์ม มูลค่าอย่างมากก็ 40 ล้าน

และฟาร์มปลาแกธเธอริงไม่ใช่แค่เนื้อที่ใหญ่กว่าฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์เท่านั้น ทำเลก็ดีกว่าด้วย นั่นน่ะมันทำเลทองของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์เชียวนะ เหมือนฟาร์มปลานี้ที่ไหน ตั้งอยู่ในอ่าว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพี่น้องคู่นี้หลอกเขาเป็นคนโง่ พวกเขาคงรู้ชื่อเสียงความรวยของเขา เจ้าของฟาร์มปลาทั้งนิวฟันด์แลนด์รู้กันทั่วว่าเขารวยตามชื่อเสียงยี่ห้ออาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่ดังขจรในอเมริกาเหนือ

เห็นได้ชัดว่าพี่น้องมินสกี้ก็รู้ถึงข้อนี้ดี พวกเขายังรู้ด้วยว่าฉินสือโอวรีบอยากซื้อฟาร์มปลาอีกที่หนึ่ง ฉะนั้นถึงกล้าเสนอราคาสูงๆ

แบบนี้เจรจาไม่รู้เรื่องแน่ๆ ฉินสือโอวส่ายหน้าไม่อยากคุยแล้ว โกลเด้นเบย์ไม่เลว แต่เขาก็ไม่เป็นคนโง่ให้หลอกหรอก

เห็นเขาจะไป พี่น้องมินสกี้ก็ร้อนใจเล็กน้อย ทั้งสองคนมองตากันเอง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างรู้กัน พี่ชายคามาลพูดว่า “เฮ้ ซูลา ฉันไม่อยากเลี้ยงปลาร่วมกับแกอีกแล้ว ฟาร์มปลาต้องขายทิ้งเดี๋ยวนี้!”

ซูลาถือโอกาสดึงมือฉินสือโอวไว้แล้วพูดขึ้นว่า “คุณฉิน อย่าเพิ่งรีบไปเลยครับ คุณก็ได้ยินแล้ว พวกเราขายฟาร์มปลานี้ด้วยความซื่อตรง แม้ว่าเราจะเสียดายก็ตาม งั้นคุณเสนอราคามาเถอะครับ ราคาไหนที่คุณรับได้?”

ฉินสือโอวแค่นหัวเราะในใจ สองพี่น้องนี่ช่างเข้าใจทำจริงๆ นึกว่าเขาโง่หรือไงถึงได้ใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับเขาซึ่งๆ หน้าแบบนี้? เขาบอกราคาที่คิดไว้ในใจออกมา “5 ล้านดอลลาร์แคนาดา พวกคุณลองพิจารณาดูก็แล้วกัน”

พอได้ยินราคาที่เสนอมานั้น สองพี่น้องเกือบจะหลุดโมโห “นี่มันปล้นกันชัดๆ ทำไมคุณไม่ให้เราห้าแสนเลยล่ะ?”

ฉินสือโอวยักไหล่ “ห้าแสนพวกคุณยินดีขายไหมล่ะ? ผมให้พวกคุณได้ห้าแสนยูโร”

เบิร์ดกับชาร์คที่ยืนอยู่ด้วยข้างๆ หัวเราะฮ่าๆ ออกมา ทำเอาพี่น้องมินสกี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ทั้งสองฝ่ายเจรจากันไม่ลงตัว สองพี่น้องอยากโก่งราคาเขา อย่างน้อยก็อยากได้สักสามสิบล้าน แต่ฉินสือโอวก็ไม่ได้โง่ จะจ่ายสามสิบล้านซื้อฟาร์มปลาโทรมๆ ได้อย่างไร?

ซูลาพยายามพูดหว่านล้อมปากเปียกปากแฉะ “ราคานี้ต่ำไปแล้วนะครับ ไม่ค่อยจริงใจเลย ไม่ต้องพูดถึงฟาร์มปลา คุณรู้หรือเปล่าว่าที่นี่มีปลาเท่าไร? ฟาร์มปลาเรามีพื้นที่เพาะพันธุ์ถึงยี่สิบห้าจุด คุณอาจไม่รู้ ราคาที่ผมเสนอไปเมื่อครู่รวมปลาในพื้นที่เพาะพันธุ์ไปด้วย”

ฉินสือโอวเข้าใจแล้วว่าทำไมฟาร์มปลาต้องติดตั้งตาข่ายเปล่าๆ ไว้มากมายขนาดนี้ ที่แท้ก็ย้อมแมวนี่เอง ต้องการจะหลอกเขาเชียวหรือ

ไม่ต้องคุยธุรกิจกันแล้ว คนแบบนี้ไร้คุณธรรมเกินไป ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ห้าล้านเป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว ผมไม่เอาปลาในฟาร์มของพวกคุณ พวกคุณเอาปลาในนี้ไปได้ทุกตัว ลองคิดดูดีๆ แล้วกัน ผมไม่มีเวลามาต่อรองราคากับพวกคุณ ห้าล้าน ไม่เกินกว่านี้สักแดงเดียว คิดดีแล้วก็ค่อยโทรมาหาผม!”

สองพี่น้องร้อนใจขึ้นมา ฉินสือโอวตัดสินใจแน่วแน่แล้วก็เดินจากไปไม่แม้แต่หันกลับมามอง

ทั้งสองคนยังอยากรั้งเขาไว้ เบิร์ดจึงยื่นมือมาขวางพวกเขา จากนั้นก็พูดเสียงเย็น “บอสของพวกเราพูดชัดเจนพอแล้ว ถ้าพวกคุณยังไม่เข้าใจ ผมอธิบายให้เอง”

ในที่สุดซูลาก็ออกปากด่าไม่เกรงใจกันอีกต่อไป “ฟัค แกมันก็แค่มาปั่นหัวเราสองพี่น้อง! ไอ้เศรษฐี กอดเงินแกลงนรกไปเถอะ! พวกเราปล่อยฟาร์มนี้ทิ้งร้างก็ไม่มีทางขายให้ผีดูดเลือดอย่างแก…”

ระหว่างทางแอนดรูว์ขอโทษเขาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและบอกว่านึกไม่ถึงว่าพี่น้องมินสกี้จะเห็นแก่ตัวแบบนี้ เขาเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ อีกอย่างต่อให้เป็นคนท้องถิ่นก็รู้ดีถึงราคาฟาร์มปลานี้ ห้าล้านของฉินสือโอวต่ำไปหน่อย แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สมเหตุสมผล

ฉินสือโอวยิ้มพลางปลอบใจเขาว่าไม่เป็นไร อย่างไรเสียแคนาดาก็มีฟาร์มปลาเยอะแยะ เดี๋ยวเขาค่อยไปหาดู

หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ไปดูฟาร์มปลาสองสามที่ แต่ก็ไม่มีที่เหมาะๆ เลย เขาไปถึงแหลมเซนต์ชาร์ลส์ด้วยซ้ำ ที่นั่นมีฟาร์มปลาที่หนึ่งกำลังประกาศขาย เนื้อที่ประมาณหนึ่งพันตารางกิโลเมตร ชายฝั่งยาวสิบกิโลเมตร ยื่นออกไปในทะเลหนึ่งร้อยกิโลเมตร

ฟาร์มปลานี้เป็นของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่ง บริษัทนั้นเคยไปหาเขามาแล้ว อยากใช้ฟาร์มปลานี้กับเงินก้อนหนึ่งมาแลกกับฟาร์มปลาแกธเธอริง แต่เขาปฏิเสธไป

อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์นิวฟันด์แลนด์ในตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร บริษัทนี้จึงแขวนป้ายประกาศขายฟาร์มปลานี้

ราคา เนื้อที่ของฟาร์มปลานี้ล้วนไม่เลว แต่ฉินสือโอวไม่ค่อยชอบทำเลของมัน

แหลมเซนต์ชาร์ลส์ อยู่ในเขตคาบสมุทรแลบราดอร์ มีสภาพอากาศหนาวเย็น อย่ามองแค่ว่ามันห่างเซนต์จอห์นแค่ระยะของเกาะนิวฟันด์แลนด์ แต่น้ำทะเลที่นั่นเย็นมาก มีแต่กระแสน้ำเย็นแอตแลนติก ไม่มีกระแสน้ำกัลฟ์สตรีม สาหร่ายทะเลอาศัยที่นี่จะโตค่อนข้างช้า

เมล็ดสาหร่ายสีเขียวของกรมประมงส่งมาแล้ว ทางบริษัท ดิค พันธุ์พืชน้ำทะเล บิล ซาทชี่ก็เตรียมเมล็ดสาหร่ายทะเลต่างๆ ไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็รอแค่หว่านเมล็ด

ฉินสือโอวกำลังลังเลว่าจะซื้อฟาร์มปลาแหลมเซนต์ชาร์ลส์นี่ดีไหม ในตอนนั้นเองแมทธิว จินก็โทรมาหาเขาแล้วถามว่า “ผมได้ข่าวมาว่าคุณจะซื้อฟาร์มปลาเหรอ?”

พอได้รับโทรศัพท์ ฉินสือโอวก็ดีใจขึ้นมา เขามีลางสังหรณ์ ท่านรัฐมนตรีมีคอนเนคชั่นและอย่างที่คิดไว้ หลังจากเขาตอบรับไป แมทธิว จินก็พูดขึ้น “ผมรู้จักฟาร์มปลาที่สุดยอดมากที่หนึ่ง เนื้อที่กว้างขวาง ทรัพยากรก็เยอะ การจัดการเข้มงวด สนใจไหม?”

ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจ “แน่นอนว่าสนใจ แต่ตามที่คุณบอกมา มันเป็นฟาร์มปลาคุณภาพเหรอครับ? ทำไมถึงมีคนอยากขายฟาร์มปลาคุณภาพทิ้ง?”

“เพราะเขาจำเป็นต้องขาย วางใจเถอะ ผมหรือจะหลอกคุณ?” ท่านรัฐมนตรีหยอกเขามาประโยคหนึ่ง

ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่มีอะไรให้พูดต่อ เขาถามว่า “ฟาร์มปลาไหน? ตั้งอยู่ที่ไหน? ผมจะไปดูเดี๋ยวนี้เลย”

ท่านรัฐมนตรียักยิ้มอย่างมีเลศนัย “ที่จริง คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปดู เพราะคุณเคยดูมาแล้ว ฟาร์มปลานี้ตั้งอยู่ที่ชายทะเลเคจิมกูจิกในแถบรัฐโนวาสโกเชีย…”

“เฮ้ย ฟาร์มปลาของคาร์เตอร์!”

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท