ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1504 มิชลินสามดาว

บทที่ 1504 มิชลินสามดาว

ฉินสือโอวไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเรื่องบังเอิญขนาดนี้ที่จู่ๆ ก็บังเอิญเจอชาลส์ มอร์รี่ที่นี่ เขาเหลือบมองแปลกๆ จากนั้นก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที ผู้ชายคนนี้คงจะไม่ได้เพราะฟาร์มปลาคาร์เตอร์เหมือนกันใช่ไหม?

แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของเขาเท่านั้น การที่ชาลส์ มอร์รี่จะปรากฏตัวที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อาณาเขตของตระกูลมอร์รี่อยู่ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ทำการบุกเบิกตลาดในแคนาดา เนื่องจากรัฐโนวาสโกเชียอยู่ใกล้กับสหรัฐอเมริกาและแฮลิแฟกซ์ก็ยังเป็นเมืองใหญ่ที่ใกล้กับนิวยอร์กที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ที่นี่เป็นสะพานเชื่อมธุรกิจ

ชาลส์ไม่ได้พบเขา เพราะพวกเขาเดินไปตามทางหลังจากออกจากร้านอาหาร กลุ่มคนพูดคุยและหัวเราะกัน ดูอารมณ์ดีราวกับว่าพวกเขากำลังกินอิ่มและดื่มกันอย่างเต็มที่พร้อมที่จะออกไปเดินเล่น ซึ่งแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างสบายใจแบบนี้

ฉินสือโอวเดินไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังแบล็คไนฟ์ เขาไม่ต้องการเจอชาลส์ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้กลัวอะไร แต่แค่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวเอง

บางทีอาจจะเป็นเรื่องปกติที่ชาลส์จะปรากฏตัวในแฮลิแฟกซ์ แต่เขาไม่ปกติแน่นอน ด้วยความฉลาดของปีศาจอย่างตระกูลมอร์รี่ เขาต้องมีปฏิกิริยาอย่างแน่นอนหลังจากที่ได้เห็นเขา เขามาที่นี่เพื่อซื้อฟาร์มปลาคาร์เตอร์

แบล็คไนฟ์สมควรที่จะเป็นยอดฝีมือพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนด้านการลาดตระเวนและการต่อต้านการลาดตระเวน ด้วยการที่ฉินสือโอวซ่อนตัวแบบนี้ เขาก็มองปัญหาออกแล้ว จึงถามด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า “บอส มีคนที่คุณไม่อยากเจอเหรอ?”

ฉินสือโอวคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “นายเคยเห็นผู้ชายที่ดูไม่สุภาพคนนั้นไหม? ผู้ชายผิวขาวเหลืองคนนั้น ทางสิบเอ็ดนาฬิกา”

แบล็คไนฟ์พยักหน้าแล้วพูดว่า “เห็นแล้ว”

“ตามเขาแล้วไปสืบว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันและพยายามหาจุดประสงค์การมาที่นี่ของพวกเขามาให้ได้” ฉินสือโอวกล่าว

แบล็คไนฟ์จึงไปซื้อหมวกเบสบอลและหนังสือพิมพ์จากร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ จากนั้นก็เดินไปที่ชาลส์และพรรคพวกอย่างสบายอกสบายใจ

มีร้านค้ามากมายบนทางเดิน ทั้งอาหาร เครื่องดื่ม ที่อยู่อาศัยและการขนส่งที่ครบถ้วน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจด้านท่องเที่ยว

ฉินสือโอวเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ชาลส์และคนอื่นๆ เข้าไปก่อนหน้านี้ ร้านอาหารแห่งนี้มีขนาดเล็กและดูเรียบง่ายมาก มองจากภายนอกก็ดูธรรมดาๆ เป็นบ้านในหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ทั่วไป ที่มีอวนจับปลา ยางรถ หางเสือและฉมวกแขวนอยู่นอกประตู

แต่ถ้ามองดูอย่างละเอียดแล้วจะเห็นว่าร้านนี้ไม่ธรรมดา แม้ว่าจะมีของกระจัดกระจายอยู่นอกบ้านเป็นจำนวนมาก แต่กลับไม่รกและยังเป็นระเบียบ อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่สบายๆ แบบหมู่บ้านชาวประมง

ทางเข้าของร้านอาหารฝังด้วยแผ่นสเตนเลสสตีลสีเงินรูปดอกไม้ที่มีตัวอักษรเขียนกำกับไว้ว่า มิชลินไกด์ และมีตัวเลข2010 สี่ตัว อยู่บนตัวอักษร นอกจากนี้ยังมีลวดลายคล้ายกลีบดอกไม้สามกลีบอยู่ด้านล่าง

เมื่อได้เห็นแบรนด์นี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่คือโลโก้อาหารมิชลินเหรอ ลวดลายทั้งสามแบบนั้นไม่ใช่กลีบดอกไม้ แต่เป็นดาวมิชลิน ซึ่งหมายความว่านี่คือร้านอาหารมิชลินสามดาว!

สำหรับตัวเลขสี่ตัว 2010 นั้นหมายความว่า พวกเขาได้ให้คะแนนร้านอาหารนี้ไว้ในปี 2010 ร้านอาหารแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับสามดาวเป็นเวลาหลายปีแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก

นักชิมทั่วโลกรู้ดีว่ามิชลินไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตยางล้อเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์กรประเมินราคาที่น่าเชื่อถือได้ของฝรั่งเศส ซึ่งมีประวัติอันยาวนานและเชี่ยวชาญในด้านอุตสาหกรรมการอาหาร

ในปี 1900 ผู้ก่อตั้งยางล้อรถมิชลินได้เผยแพร่คู่มือสำหรับนักเดินทางในการเลือกร้านอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งนั่นก็คือ “มิชลิน ไกด์” ตั้งแต่นั้นมา “มิชลิน ไกด์” ก็ได้รับการปรับปรุงและเปิดตัวทุกปี จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักชิม” ที่ล้ำค่าที่สุดและเป็นที่รู้จักในนามคัมภีร์อาหารยุโรป ต่อมาจึงได้เริ่มกำหนดดาวให้กับร้านอาหารฝรั่งเศสทุกปี จากนั้นก็เริ่มออกสู่ทั่วโลกและมอบคะแนนให้กับร้านอาหารทั่วโลก

บทวิจารณ์ของมิชลินค่อนข้างเข้มงวดและยุติธรรม แม้ว่าจะโหดร้ายก็ตาม คะแนนรวมจะเป็นสามดาวสามระดับ หนึ่งดาวเป็นร้านอาหารที่มี “ความคุ้มค่า” ในการแวะเวียนไปเยี่ยมชมและเป็นร้านอาหารที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะรูปแบบของอาหารในแบบเดียวกัน ทักษะการทำอาหารของร้านอาหารระดับสองดาวนั้นจะต้องดีมาก ต้องเป็นร้านอาหารที่ “ควรค่าแก่การอ้อม” ไปเยือน สามดาวเป็นร้านอาหารที่ “ควรค่าแก่การกลับไปอีกครั้ง” เป็นร้านที่มีรสชาติอร่อยจนทำให้ยากที่จะลืมเลือน ว่ากันว่าจะต้องคุ้มที่จะ “บิน” ไปกินโดยเฉพาะ

ในปีนี้เท่าที่ฉินสือโอวรู้ ปัจจุบันมีร้านอาหารมิชลินสตาร์เพียง 106 แห่งในโลกเท่านั้น ไม่มีร้านอาหารใดในนิวฟันด์แลนด์ที่ไปถึงระดับนี้ แม้แต่ร้านอาหาร 2 ดาวในนิวฟันด์แลนด์!

ดังนั้นจะไม่แปลกใจที่เห็นร้านอาหารมิชลินสามดาวที่นี่ได้อย่างไร?

ตอนนี้ฉินสือโอวก็ถือว่าเป็นนักชิม แน่นอนว่าเขาไม่ได้เป็นนักชิมที่พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาชอบอาหารระดับไฮเอนด์อย่างเช่นฟัวกราส์และคาเวียร์ นอกจากนี้เขายังสามารถกินปลาตัวเล็กๆ ในหม้อและแพนเค้กทาคาฮาชิต้มน้ำซุปได้อีกด้วย สำหรับนักชิมแล้ว ร้านอาหารมิชลินสามดาวเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีแรงดึงดูดมากที่สุด

การที่จู่ๆ ได้เห็นร้านอาหารระดับสามดาวแห่งหนึ่งในสถานที่แบบนี้ สำหรับนักชิมแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจพอๆ กับการที่อู่ชือได้บังเอิญพบกับพระที่กำลังกวาดลานวัดที่ศาลาวัดเส้าหลิน ซึ่งมันมีพลังสั่นสะเทือนอย่างหนึ่ง

ฉินสือโอวเดินเข้าไปในร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งถ้ามองจากด้านนอกก็ไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าไรนัก จากนั้นก็มีผู้หญิงสวมชุดผ้าลินินขาวสะอาดมาขวางเขาไว้ เธอยิ้มและถามว่า “สวัสดีค่ะ คุณได้จองล่วงหน้าไว้ไหมคะ?”

ไม่ว่าจะร้านอาหารมิชลินที่ใดจะไม่มีทางขาดแคลนลูกค้า แม้แต่ในยุโรปการนับ “ดาว” ของมิชลินในการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ก็ถือเป็นความเพลิดเพลินระดับสูงและแม้แต่ร้านอาหารมิชลินสตาร์ที่มีเพียงดวงเดียวก็ต้องจำกัดลูกค้าทุกวัน

ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจะไม่สามารถเข้าไปในร้านอาหารประเภทนี้ได้ ถ้าไม่ได้จองไว้ล่วงหน้าและการโทรศัพท์จองก็ไม่ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งจะต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าต้องการทานอะไร เพื่อให้พ่อครัวได้ทำการจัดเตรียม

ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวเคยทานอาหารมิชลินสามดาวไปสองครั้ง ครั้งแรกบิลลี่เลี้ยงอาหารเขาที่ร้านเพอร์เซในนิวยอร์ก ตอนนั้นเขายังได้พบกับราชินีแอวริล ส่วนครั้งที่สองเขากินที่ร้านยูคิมูระในโตเกียว ซึ่งมีคนเลี้ยงเขาทั้งสองครั้ง ดังนั้นเขาเลยไม่รู้จะต้องจองล่วงหน้าอย่างไร

เบิร์ดต้องการที่จะไปเจรจา ฉินสือโอวจึงส่ายหัว ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แค่ทำตามกฎก็พอแล้ว เดิมทีเขาก็ไม่ต้องการที่จะเข้ามาทานอาหาร แต่ต้องการดูว่าชาลส์ทิ้งร่องรอยไว้ที่นี่ไหม

แม้ว่าจะพบกับร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปนั่งทานอาหารได้และเขาก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย คลื่นและลมทะเลขัดเกลาอารมณ์ของเขาและเปลี่ยนความคิดของเขาไปอย่างมาก

เขาจึงกล่าวขอโทษพนักงานและกำลังจะจากไป ในขณะเดียวกันชายวัยกลางคนรูปร่างสูงในชุดพ่อครัวก็เดินออกมา เขาเหลือบมองไปที่ฉินสือโอวแล้วถามว่า “สวัสดีครับ คุณฉิน?”

ฉินสือโอวมองไปที่ชายวัยกลางคนคนนั้น เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้ บางทีอีกฝ่ายอาจจะเคยเห็นเขาในหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆ แต่ทำไมเขาถึงเรียกชื่อเล่นล่ะ

ดังนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “สวัสดีครับ ผมคือฉินสือโอว ดีใจที่ได้พบคุณ”

พ่อครัววัยกลางคนยิ้มอย่างจริงใจและพูดว่า “สวัสดีครับ คุณฉิน ผมชื่อสแตนลี่ย์ คัลเบิร์ต ผมก็ดีใจที่ได้พบคุณเช่นกัน อ้อ ผมอยากถามว่า คุณมากินข้าวเหรอ?”

ฉินสือโอวรู้สึกอายเล็กน้อย จึงพูดว่า “ผมบุ่มบ่ามเข้ามานิดหน่อย คุณสแตนลี่ย์ ผมไม่ได้จองโต๊ะไว้ ดังนั้นผมคิดว่าผมเสียใจที่พลาดครั้งนี้ หรือไม่ต่อไปผมจะจองล่วงหน้าถึงจะมารับประทานอาหารรสชาติดีๆ ได้”

พ่อครัววัยกลางคนยิ้มและพูดว่า “ไม่จำเป็น มาเลย คุณฉิน นั่งข้างในนี้เลย มีโต๊ะว่างอยู่พอดี”

ไม่รู้ว่าทำไมฉินสือโอวมองไปที่รอยยิ้มของเขาแล้วถึงรู้สึกคาดเดาไม่ได้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร ราวกับว่าชายคนนี้มีความคิดอื่นภายใต้รอยยิ้มนั้น

…………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท