ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1500 หว่านเมล็ดสาหร่ายทะเล

บทที่ 1500 หว่านเมล็ดสาหร่ายทะเล

เรือฮาวิซทแล่นอย่างมั่นคงเข้าเทียบแถวท่าเรือฟาร์มปลาต้าฉินสอง ต่อมาก็ต้องเทียบเข้าท่า นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมากที่ฟาร์มปลาต้าฉิน แค่หยุดเรือก็พอ

แต่ฉินสือโอวมองดูท่าเรือผุพังแล้วก็ไม่มีความมั่นใจจริงๆ ดังนั้นเขาเลยให้ชาร์คปล่อยสมอก่อน แล้วให้เอาเรือชูชีพลงและขึ้นบก จากนั้นเรือฮาวิซทค่อยเทียบที่ท่า

ชาร์คถามอย่างงุนงง “ทำไมครับ บอส?”

ฉินสือโอวอธิบายว่า “นายดูสิ ท่าเรือนี้อันตรายขนาดไหน เกิดเรือเทียบเข้าไปแล้วถล่มลงมาจะทำอย่างไร? ฉันลงไปเลี่ยงอันตรายก่อน”

ชาร์คพูดแบบไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อย่าห่วงเลยบอส พวกเราก็อยู่บนเรือหมดไม่ใช่เหรอ? ปลอดภัยดีมาก”

ฉินสือโอวส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด “ไม่ได้ ฉันเสี่ยงไม่ได้ เมียฉันสวยกว่าใคร พ่อแม่ฉันอายุตั้งหกสิบแล้ว ลูกฉันยังไม่หย่านม ฉันเสี่ยงอันตรายได้เหรอ?”

บูลพูดว่า “งั้นผมก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวพูดแบบมีความหมายแฝง “แน่นอนไม่เหมือนกัน นายไม่รู้ว่าบอสเป็นใครเหรอ? ฉันเป็นบอสที่วางใจฝากลูกเมียไว้ได้ พวกนายวางใจเถอะ ฉันไปก่อน ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะให้ชีวิตที่เหลือของครอบครัวพวกนายสุขสบาย”

พอเอาเรือชูชีพลงท่านชายฉินก็พายไปจนเทียบท่า ตอนนั้นเองเรือฮาวิซทก็เข้าจอดเทียบท่าแบบโอนไปเอนมา พวกชาร์คลงเรืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วิ่งมาที่หาดพลางมองเขาด้วยสายตาประชดประชัน

ท่านชายฉินมองท่าเรือทรุดโทรมด้วยความประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าไอ้สิ่งนั้นแทบจะกลายเป็นซากอยู่แล้ว แต่ยังทนได้ขนาดนี้

เรือฮาวิซทขนเมล็ดสาหร่ายทะเลกับสารพัดเครื่องเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ฟาร์มปลานี้มีแต่ความไม่สะดวก มิน่าล่ะพี่น้องมินสกี้ถึงยอมขาดทุนแต่ก็จะขายทิ้งให้ได้

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินสือโอวชัดเจนต่อจุดประสงค์ตัวเอง ฟาร์มปลานี้แค่เอามาปลูกสาหร่ายทะเล เขาก็คงอยากจะขายทิ้งแล้ว ขาดทุนก็ขาย! ช่างน่ารำคาญจริงๆ!

อย่างเช่นการหว่านเมล็ดสาหร่ายทะเล มันต้องใช้หลายขั้นตอน ก่อนอื่นเมล็ดต้องมาถึงที่นี่จากฟาร์มปลาต้าฉิน จากนั้นก็เปลี่ยนไปขนส่งทางบกไปถึงสนามบินส่วนตัว ทีนี้ถึงจะส่งไปที่เครื่องบินแทรกเตอร์แล้วหว่าน

ครั้งนี้เมล็ดสาหร่ายทะเลที่ส่งมาประกอบด้วยเมล็ดสาหร่ายสีน้ำตาลเป็นหลัก สาหร่ายหิมะน้ำแข็งกับสาหร่ายเขียวใบเล็กยังอยู่ที่ฟาร์มปลา เขากะว่าจะใช้สาหร่ายสีน้ำตาลมาปรับสภาพน้ำให้สะอาดก่อน และสาหร่ายเขียวใบเล็กยังมีคุณสมบัติมหัศจรรย์อีก มันเป็นรากฐานของทุ่งอินทรีย์ทางทะเล

สาหร่ายสีน้ำตาลโตไวมาก ขีดจำกัดการโตก็มาก ในขั้นตอนการเจริญเติบโตของพวกมันใบไม้ขนาดใหญ่ก็จะหลุดร่วงลงก้นทะเลเรื่อยๆ จากนั้นก็จะย่อยสลาย พอผสมกับโคลนทะเลก็จะกลายเป็นสารอาหาร

ถ้าเขตทะเลผืนนี้ไม่มีโคลนทะเลแล้วท้องทะเลมีแต่ทรายทะเล งั้นใบสาหร่ายสีน้ำตาลที่เน่าสลายผสมเข้ากับหินทรายก็จะกลายเป็นโคลนทะเล

นอกจากนี้ฉินสือโอวพบว่าสาหร่ายสีน้ำตาลที่ผ่านการพัฒนาจากพลังโพไซดอนมีการเปลี่ยนแปลง ตามหลักการแล้วสาหร่ายทะเลชนิดนี้ค่อนข้างมีคุณสมบัติเดียว เหมาะแค่การเป็นวัสดุในอุตสาหกรรมเช่นเคมี พลังงานการแพทย์ ไม่เหมาะจะเป็นอาหารของปลากุ้ง

แต่ฉินสือโอวพบว่าหลังผ่านการปรับเปลี่ยนจากพลังโพไซดอน ในกระบวนการย่อยสลายของใบสาหร่ายสีน้ำตาลจะสามารถเป็นอาหารให้แพลงก์ตอนและลูกปลากุ้งมากมาย พวกมันก็กินสาหร่ายสีน้ำตาลได้

ฉะนั้นเขาจึงคิดว่าบางทีสาหร่ายสีน้ำตาลก็เป็นอาหารปลาได้เหมือนกัน อย่างไรเสียสิ่งนี้ก็มีพลังโพไซดอน ผลที่มีต่อปลากุ้งน่าจะมากกว่าสาหร่ายธรรมดา

ความคิดนี้มีพื้นฐานการทดลอง ไก่ไข่ที่กินอาหารผสมสาหร่ายสีน้ำตาลเป็นสารเติมแต่งอาหารสัตว์ออกไข่ไอโอดีนสูงโดยปริมาณไอโอดีนเพิ่มสิบกว่าเท่าหรือหลายสิบเท่า ผลที่ได้ดีกว่าสาหร่ายคอมบุเสียอีก

คราวนี้เขาเอาแซนเดอร์สมาด้วย ศาสตราจารย์สูงวัยจะมารับผิดชอบงานเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลฟาร์มปลาต้าฉินสองในอนาคตข้างหน้า รวมถึงวิจัยอาหารปลาและพัฒนาคุณสมบัติใหม่ของสาหร่าย

ศาสตราจารย์แซนเดอร์สเพิ่งจะกลับมาจากโทรอนโตไม่นาน ตอนนี้เขาประมาณว่าทำงานที่ฟาร์มปลาครึ่งปี อีกครึ่งปีก็กลับไปทำงานที่มหาวิทยาลัยโทรอนโต ฉินสือโอวหลอกเขาว่าเมล็ดสาหร่ายทะเลพวกนี้เอามาจากทุ่งสาหร่ายทะเลของฟาร์มปลาเพื่อให้เขาอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาแน่ๆ

ที่ตาแก่อยากวิจัยก็คือสาหร่ายทะเลน่าอัศจรรย์ของฟาร์มปลา ไม่ใช่เมล็ดสาหร่ายทะเลแบบปกติทั่วไปเสียหน่อย

การวิจัยสาหร่ายทะเลในตอนนี้กลายเป็นหัวข้อยอดนิยมในโลกของชีววิทยาของประเทศต่างๆ มันไม่แค่เป็นอาหารของปลากุ้งเท่านั้น ยังมีคุณสมบัติมากมาย ยกตัวอย่างเช่นสาหร่ายสีน้ำตาลที่กำลังจะปลูก มันประกอบไปด้วยน้ำถึง 80% และมีโพแทสเซียมกับไอโอดีนเป็นต้น ดังนั้นจึงสามารถสกัดวัตถุดิบทางเคมีได้หลากหลาย

ส่วนการบดตัวสาหร่ายสีน้ำตาลจนละเอียดแล้วเติมจุลินทรีย์ก่อนจะหมักไปสองสามวัน วัตถุดิบทุก 1000 ตันจะสามารถผลิตก๊าซที่ติดไฟได้ซึ่งมีส่วนประกอบหลักเป็นมีเทนถึง 4,000 ลูกบาศก์เมตร อัตราการแปลงสูงถึง 80% การใช้ก๊าซชีวภาพนี้เป็นวัตถุดิบยังสามารถผลิตแอลกอฮอล์และอะซิโตนเป็นต้น

บีบีซวงขับเฮลิคอปเตอร์ตามมาทีหลัง จากนั้นเหล่าชาวประมงก็เริ่มทำงาน ส่งเมล็ดสาหร่ายทะเลขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ค่อยส่งไปสนามบินแล้วเปลี่ยนขนไปที่เครื่องบินแทรกเตอร์ สุดท้ายถึงจะหว่านลงทะเลได้

คิดๆ ถึงขั้นตอนอันยุ่งยาก ท่านชายฉินก็รู้สึกปวดตับ เปลืองแรงเสียจริงเชียว! การเติบโตของเมล็ดสาหร่ายทะเลต้องเป็นไปตามความต้องการของเขาหน่อย ไม่อย่างนั้นเขาคงขาดทุนเยอะเลย!

ส่วนแซนเดอร์สคาดหวังกับโครงการนี้ไว้มาก เขาพูดว่า “ฉิน ผมว่าคุณเลือกได้ดีมาก จะพัฒนาฟาร์มปลาก็ต้องหลากหลายเข้าไว้จะเอาไข่วางไว้ในตะกร้าเดียวกันไม่ได้ อุตสาหกรรมทางทะเลไม่ได้มีแค่อาหารทะเล ยังมีอย่างอื่นอีกนะ การพัฒนามีแนวโน้มที่ดี”

ฉินสือโอวถอนใจว่า “หวังว่านะ ผมไม่อยากทำธุรกิจขาดทุนหรอกนะ”

แซนเดอร์สพูดว่า “ไม่ขาดทุนหรอก ผมวิจัยมาแล้ว คุณภาพปลากุ้งของฟาร์มปลาเราสูงกว่าคู่แข่งในตลาดอยู่มาก แม้แต่คุณภาพของปลาและกุ้งที่จับได้ในทะเลที่ไม่ไกลจากฟาร์มปลาของเราก็แย่กว่าของเรามาก ทำไมล่ะ? สุดท้ายสาเหตุก็อยู่ที่สาหร่ายทะเลพวกนี้”

ฉินสือโอวเกาคางแล้วถามอย่างระมัดระวัง “งั้นคุณวิจัยออกมาว่าอย่างไรบ้าง?”

เจตนาเขาก็คืออยากถามศาสตราจารย์สูงวัยว่าค้นพบการกลายพันธุ์ของสาหร่ายทะเลฟาร์มปลาหรือเปล่า แต่ศาสตราจารย์สูงวัยเข้าใจผิด เขาขยับแว่นพลางพูดขึ้น “พบเยอะมาก พูดถึงสาหร่ายสีน้ำตาลก่อน ก่อนอื่นผมพบว่าสาหร่ายทะเลของเราอุดมไปด้วยกรดอะมิโน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณเมไทโอนีนจะสูงเป็นพิเศษ สามารถใช้รักษาโรคโลหิตจางได้ และสามารถเพิ่มเฮโมโกลบินเป็น 12 กรัมในอัตราที่มีประสิทธิภาพ 85%”

“ที่จริงสาหร่ายสีน้ำตาลชนิดนี้ยังมีฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตชนิดหนึ่ง สะท้อนให้เห็นจากที่พวกมันเติบโตได้รวดเร็วกว่า ใช้กับสัตว์ทดลองก็เร่งการเจริญเติบโตและพัฒนาการได้”

“อีกอย่างผมพบฮอร์โมนที่สามารถเสริมสร้างตัวเองจากรากของสาหร่ายสีน้ำตาล ผมใช้หนูขาวกับอึ่งอ่างมาทำการทดลอง และพบว่ามันมีสรรพคุณที่ดีในการบำรุงพละกำลังและต้านความเหนื่อยล้าของผู้สูงอายุ”

ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจว่า “ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

แซนเดอร์สพยักหน้ารัวแล้วพูดว่า “ฟาร์มปลาพวกเรามีความลับมากมาย เยอะจนผมคิดว่าทั้งชีวิตก็คงวิจัยไม่หมด! ชีววิทยา จุลชีววิทยา ชีวจักรกล การแพทย์และเคมี ขอบเขตที่ความลับพวกนี้เกี่ยวข้องมีอยู่มากมาย ทำให้ผมนึกถึงอยู่บ่อยๆ ว่าชีวิตคนเราช่างแสนสั้น!”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท