ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1496 ต้าฉินโกลเด้นเบย์

บทที่ 1496 ต้าฉินโกลเด้นเบย์

“หุบปาก ไอ้โง่! ฉันทนแกมาพอแล้ว แกมันคิดว่าตัวเองเก่ง! แกคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอด แต่ความผิดพลาดทั้งหมดนี้แกก็เป็นคนทำทั้งนั้น แกเป็นคนทำรู้บ้างไหม?!” จู่ๆ คามาลก็พูดคำหยาบใส่ซูลา

ฉินสือโอวถอยหลังไปสองก้าวอย่างเงียบๆ จากนั้นก็รอดูเรื่องสนุก เขาไม่รู้ว่านี่เป็นกลลวงของสองพี่น้องหรือเปล่า แต่ก็ไม่เป็นไร ใครจะทำอะไรก็ปล่อยไป ฉันจะรอดู อยากทำอะไรก็ทำ ฉันก็ดูอยู่ดี

หู่จือเป้าจือที่นั่งหมอบบนพื้นก็ยืนขึ้นมาแล้วถอยหลังสองก้าว แต่ข้างหลังพวกมันเป็นท่าเรือ พอก้าวถอยหลังไปก็ร้องเสียงหลง ร่วงลงน้ำดังตูม…

ฉินสือโอวหันมองด้วยความอับจนคำจะพูด ทึ่มจริงๆ เลย!

แต่สองพี่น้องกลับไม่เห็นฉากนั้น ซูลามองพี่ชายอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “หมายความว่าไง? บ้าไปแล้วเหรอ คามาล?”

คามาลถลึงตามองน้องอย่างเกรี้ยวกราดพลางพูดต่อ “ยังจะถามอีกเหรอว่าหมายความว่าไง? แกว่าหมายความว่าไง? ความหมายของฉันก็คือแกมันโง่! ฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์ก็แกเป็นคนอยากจะซื้อ! ตอนซื้อแกบอกว่าไงนะ? แค่เลี้ยงปลาไปก็หาเงินได้แล้วใช่ไหม? แล้วผลเป็นไง? ได้เงินเสียที่ไหน แถมยังต้องขายขาดทุน ไม่ แกมันไอ้หน้าโง่สมควรตาย ตอนนี้ขายขาดทุนก็ขายไม่ออก!”

บลาๆๆ สองพี่น้องเริ่มสงครามน้ำลายกัน ฉินสือโอวมองดูอยู่นิ่งๆ แม้แต่ความคิดจะห้ามก็ไม่มี

หลังจากโทษกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง คามาลก็พูดกับฉินสือโอวว่า “คุณฉิน ผมพูดจริงๆ นะครับ พวกเราอยากขายฟาร์มปลามากจริงๆ เอาตามราคาที่คุณให้ก่อนหน้านี้ได้ไหมครับ ห้าล้าน? ผมไม่อยากจะทำงานร่วมกับไอ้โง่แบบนี้อีกแล้วจริงๆ”

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ผมก็พูดจริงๆ เหมือนกัน คุณทั้งสอง ผมจะซื้อฟาร์มปลาคาร์เตอร์แล้วจริงๆ”

ชั่วขณะนั้นคามาลกับซูลาผิดหวังอย่างมาก ฉินสือโอวสะเทือนใจจึงเปลี่ยนคำ “แต่ว่า ถ้าพวกคุณอยากขายจริงๆ ผมจะซื้อก็ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ห้าล้าน เป็นสี่ล้านห้า!”

“ไม่!” ซูลาใช้เสียงราว**พูดด้วยความเจ็บปวด

คามาลก็ส่ายหน้า “ห้าล้านเราก็ขาดทุนแล้ว! คุณฉิน คุณไปหาดูก็ได้ ฟาร์มนั้นเราซื้อมาในราคาหกล้าน อีกอย่างหลายปีมานี้เราก็ลงเงินไปกับการเพาะเลี้ยงอยู่มาก!”

ฉินสือโอวพูดนิ่งๆ “ผมเชื่อว่าพวกคุณซื้อฟาร์มด้วยราคาหกล้าน แต่ก็พูดได้แค่ว่าพวกคุณโง่เอง ที่แบบนั้นไม่เหมาะจะเลี้ยงสัตว์ทะเลอะไรทั้งนั้น! อย่างมากมันก็แค่ห้าล้าน และผมยินดีให้แค่สี่ล้านห้า”

ซูลาพูดอย่างไม่พออกพอใจ “คุณอยากฉวยโอกาสกดราคาตอนเราลำบากเหรอ?”

ฉินสือโอวตบบ่าเขาแล้วพูดขึ้น “อย่าพูดแบบนั้นเลยเพื่อน ถ้าผมฉวยโอกาสเอาเปรียบจริงก็ไม่เสนอราคาสี่ล้านห้าออกมาหรอก พวกคุณอาจต้องกลับไปคิด สี่ล้านห้า ถ้าขายค่อยมาหาผม”

คามาลเงียบไป ฉินสือโอวบอกว่าจะเชิญพวกเขาไปดื่มชา คามาลส่ายหน้าแล้วเผยสีหน้าเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดขึ้น “ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณน้ำใจคุณมาก คุณฉิน สี่ล้านห้า พวกเราขาย!”

ซูลาคว้ามือเขาเขย่าไปมาพลางพูดว่า “พี่ชายที่แสนดี ฟาร์มปลานั่นสี่ล้านห้าพี่ก็ยอมขายแล้วเหรอ? พี่บ้าไปแล้วเหรอ? ไม่ แบบนี้ผมเอาไว้ใช้เองยังดีกว่า!”

คามาลพูดเสียงเย็น “ฉันทนแกมามากแล้ว น้องชายของฉัน แกดูเอาเองเถอะ ถ้าแกอยากจะเลี้ยง งั้นต่อไปแกก็ลงทุนเอง ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว ฉันแค่อยากจะขายมันทิ้งแล้วก็กลับไปทำธุรกิจของฉัน”

ซูลาเศร้าสร้อยขึ้นมา เขานั่งยองลงไปจุดบุหรี่หนึ่งมวน พอสูบอย่างหงุดหงิดใจเสร็จก็ยืนขึ้นมา “ก็ได้ๆ สี่ล้านห้า ฮ่ะๆ ในเมื่อพี่ยินดีงั้นก็ขายทิ้งเถอะ”

แบบนี้ฉินสือโอวก็ปวดตับขึ้นมา เขาไม่อยากซื้อฟาร์มปลานี้แล้วจริงๆ มีฟาร์มปลาคาร์เตอร์แล้ว จะเอาฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์ไปทำไม? จากห้าล้านเสนอเหลือแค่สี่ล้านห้า ที่จริงก็คือเขาอยากจะยั่วโมโหทั้งสองคน

ปรากฏว่าสองพี่น้องยังยินดีขายฟาร์มปลาแบบขาดทุนอีก

จากราคาเดิมห้าสิบล้านมาจนถึงราคาสี่ล้านห้าที่ตกลงกัน ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเขานี่สาวๆ ยังอาย มีใครต่อราคาได้มากไปกว่าเขาอีกไหม?

ฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์สำหรับเขาในตอนนี้ก็คือซี่โครงไก่ แต่ว่าซื้อซี่โครงไก่มาได้ด้วยราคาแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ซี่โครงไก่อาจเป็นของที่กินก็ไม่อร่อยจะทิ้งก็เสียดาย แต่ก็ต้องดูว่าอยู่ในมือใคร ถ้าอยู่ในมือพ่อครัวหัวป่าอย่างท่านชายฉิน จะใช้กะปิหมักสักหน่อยแล้วเอามาย่างกินก็เป็นกับแกล้มที่เลิศรสได้

สองพี่น้องเอาเอกสารฟาร์มปลามาด้วย เจ้าของคือพวกเขาทั้งสองคน เออร์บักทำสัญญาขึ้นมา ทั้งสองคนลงนาม เสร็จแล้วรอวันจันทร์ที่เป็นวันทำการไปทำเรื่องส่งมอบเอกสารรับรองที่เซนต์จอห์นก็เป็นอันเรียบร้อย

สี่ล้านห้า ฉินสือโอวทำเรื่องผ่านธนาคาร พอชำระเงินครั้งสุดท้ายเสร็จใต้ชื่อเขาก็มีฟาร์มปลาเพิ่มมาอีกหนึ่ง

ใช้เวลาอีกสองวันในการยื่นเรื่องขั้นตอนสุดท้าย ดูท่าพี่น้องมินสกี้จะแน่วแน่ในการขายฟาร์มปลามาก นอกจากเรือประมง อย่างอื่นทั้งตึก พวกอวนจับปลา อุปกรณ์ล้วนเอาให้ฉินสือโอวทั้งหมด

แน่นอนสองคนนี้ก็ไม่ใช่ว่าเพราะใจกว้าง กฎที่ไม่ได้พูดของการซื้อขายฟาร์มปลาแคนาดาก็เป็นแบบนี้ พวกเขาทั้งสองคนเอาของที่เอาไปได้ทั้งหมด อย่างเช่นเครื่องเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า…

ฉินสือโอวพาพวกผู้ช่วยมือดีอย่างชาร์ค เบิร์ดมาลงหลักปักฐานที่ฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์อย่างเป็นทางการ หลายวันมานี้เขาสำรวจฟาร์มปลานี้มาจนทั่ว พูดถึงแล้วสี่ล้านห้าของเขาก็จ่ายไปอย่างคุ้มค่า

พี่น้องมินสกี้อาจดูเหมือนฉลาด แต่ที่จริงออกทึ่มนิดหน่อย ฟาร์มปลานี้ตั้งอยู่ในอ่าวทะเลจึงไม่เหมาะกับการเพาะเลี้ยงทางประมง เจ้าของฟาร์มปลาคนก่อนเป็นนายธนาคารที่เกษียณแล้วมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่ ทำเป็นฟาร์มปลาพักผ่อน

หลังจากนั้นนายธนาคารก็จากไป ลูกชายเขาก็ไม่ได้ใช้ฟาร์มปลานี้จึงขายเปลี่ยนมือให้พี่น้องมินสกี้ด้วยราคาหกล้าน พี่คนโตในสองพี่น้องทำอุตสาหกรรมไม้ คนน้องทำโรงแรม ต่างก็ไม่มีความรู้ด้านฟาร์มปลา พวกเขาเห็นว่ามันถูกดีจึงซื้อด้วยความโลภ

ตอนนั้นซูลาคิดไว้ดิบดี ต่อให้เพาะเลี้ยงปลาไม่ได้ก็เอามาพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อย่างไรเขาก็ทำโรงแรมอยู่แล้ว มีทรัพยากรด้านนี้ พูดต่อไปอีก ต่อให้ทำสถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้ ฟาร์มปลานี้ก็มีป่าผืนหนึ่ง คนพี่ทำธุรกิจค้าไม้ ตรงนี้ก็เขามีทรัพยากรอีกแล้ว

ปรากฏว่าหลังจากที่ได้ฟาร์มปลามาพวกเขาก็คว้าน้ำเหลว ที่นี่เพาะเลี้ยงปลาไม่ได้จริงๆ แต่ก็ทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไม่ได้เหมือนกัน ต้องลงทุนมากเกินไปทั้งสองคนมีเงินไม่พอ

ส่วนต้นไม้สูงๆ พวกนั้น? สองพี่น้องค้บพบอย่างแสนเศร้าว่าทำอะไรกับมันไม่ได้ เพราะในเขตแมรีส์ทาวน์มีกฎว่าเพื่อปกป้องพื้นดิน ต้นไม้ในรัศมีชายฝั่งสิบกิโลเมตรห้ามให้มีการตัดไม้เชิงพาณิชย์!

พอเป็นแบบนี้ ฟาร์มปลานี้จึงอยู่ในมือของทั้งสองคนแบบเปล่าๆ หลายปี สุดท้ายก็ขายให้ฉินสือโอวในราคาขาดทุน

ท่าเรือของฟาร์มปลาก็เสื่อมโทรม ถ้าฉินสือโอวขับเรือปริ้นเซสเมล่อนมาก็คงจอดไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อไปต้องสร้างใหม่

เขายืนอยู่บนท่าเรือพลางกวาดตามองรอบทิศ ฟาร์มปลานี้ลมแผ่วคลื่นสงบ บนบกก็เขียวขจี ดูไกลๆ ก็ดูดีน่าซื้อ มิน่าถึงหลอกพี่น้องมินสกี้ที่ดูจะฉลาดได้

แต่พอมาดูใกล้ๆ ก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท