ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1489 ใครข่มใคร

บทที่ 1489 ใครข่มใคร

การประชุมก่อตั้งพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์จัดขึ้นในห้องประชุม ก่อนหน้าตอนที่ฉินสือโอวและวินนี่มาดู พวกเขาเพียงแค่มองดูจากด้านนอก มีทหารยามเฝ้าอยู่ไม่ให้เข้าไป

ตอนนี้ฉินสือโอวแสดงบัตรอนุญาตผ่าน ทหารยามจึงรีบปล่อยผ่านทันที

เวลาที่เขามาถึงถือว่าค่อนข้างจะสายแล้ว นายกรัฐมนตรีคาร์เมนจูเนียร์ก็มาด้วย กำลังพูดคุยบางอย่างกับแมทธิว จิน เมื่อเห็นเขาปรากฏ รัฐมนตรีเก่าโบกมือเรียกให้เขาเข้าไปหา

การพบกันครั้งนี้ คาร์เมนจูเนียร์กระตือรือร้นกว่าตอนงานมอบเหรียญรางวัลมาก เขาเริ่มทักทายก่อน “สวัสดี คนหนุ่มผู้กล้าหาญ คุณเป็นผู้ชนะที่แท้จริงเสียจริง หืม?”

ฉินสือโอวยิ้มถ่อมตนว่า “ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ท่านนายกรัฐมนตรี ผมคิดว่าคนแคนาดาไม่ว่าคนไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรี คงไม่กล้าบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะหรอก โดยเฉพาะผู้ชายคนนี้ยังเริ่มต้นทีละก้าวจากชั้นล่างพัฒนาจนกลายเป็นนายกรัฐมนตรีอีก”

นี่เขากำลังประจบคาร์เมนจูเนียร์ เจ้าหมอนี่ถือว่าเริ่มต้นพัฒนาจากชั้นล่างบ้าอะไรกัน พ่อของเขาก็เป็นนายกรัฐมนตรีแคนาดา สิ่งที่พึ่งก็เป็นพลังทางการเมืองของตระกูล ไม่อย่างนั้นเขากล้ารับประกันเลยว่า อย่างมากสุดคาร์เมนจูเนียร์ก็ทำได้แค่ตำแหน่งของแฮมเล็ต

คาร์เมนจูเนียร์ไม่มีวิชาอ่านใจ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าภายในใจของเขาคิดอะไร เขายิ้มอย่างยินดีว่า “โชคดีที่ที่นี่ไม่มีนักข่าว พ่อหนุ่มน้อยของผม ไม่อย่างนั้นบทสนทนาของพวกเราคงถูกรายงานออกไป คงถูกคิดว่ากำลังยกยอกันเองเป็นแน่”

“แต่ว่า” เขาเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “พูดตามตรง เดิมทีผมยังมีความลังเลต่อคนที่รัฐมนตรีแมทธิวเสนอมา แต่พอเห็นผลงานบนทะเลของคุณแล้ว ผมรู้สึกว่าไม่มีใครที่จะเหมาะสมเท่าคุณอีกแล้วจริงๆ”

เห็นพบแมทธิว จิน และคาร์เมนจูเนียร์ ฉินสือโอวเดินไปยังกลุ่มคนอื่นๆ โดนัลด์เพื่อนเก่าของเขายิ้มแย้มเข้ามาสวมกอดเขา พูดเสียงดังว่า “ว้าวๆๆ ให้พวกเราดูหน่อย นี่ใครกัน? คนหนุ่มที่อายุยังน้อยก็กลายเป็นประธานพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์เป็นใครกัน?”

“ที่แท้เป็นหลานของตาฉินเจ้าของฟาร์มปลาในตำนานของนครเซนต์จอห์น เจ้าของฟาร์มปลาในตำนานคนใหม่ไชน่าฉิน!” เจ้าของฟาร์มปลาคนหนึ่งพูดอย่างร่วมมือ

ฉินสือโอวชกมัดกับคนพวกนี้ทีละคน ยิ้มบอกว่า “อย่าพูดแบบนี้ เพื่อน พวกคุณก็รู้ว่าผมเป็นหนุ่มน้อยที่ถ่อมตัวเจียมเนื้อเจียมตัว พูดแบบนี้ผมก็เขินหมดแล้ว”

เหล่าชาวประมงหัวเราะขึ้นมา พวกเขาตั้งใจสานสัมพันธ์ที่ดีกับฉินสือโอว แม้ว่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งประธานพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ เพียงแค่เขามีฟาร์มปลาเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดาและแบรนด์อาหารทะเลที่แข็งแกร่งที่สุด ก็เพียงพอให้พวกเขาทำอย่างนี้แล้ว

ทิญา นักศึกษาอกอึ๋มเดินมานำฉินสือโอวไป เธอหยิบร่างคำปราศรัยออกมาฉบับหนึ่ง แล้วบอกว่า “ฉันแก้ไขร่างทั้งคืน ข้างในมีบางจุดที่ไม่ค่อยดี ฉันก็ทำการแก้ไขแล้ว เนื้อหาที่เปลี่ยนเล็กน้อยมาก คุณดูหน่อยว่าเป็นอย่างไร?”

ฉินสือโอวดูแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ กล่าวว่า “ดีมาก ทิญา คุณเป็นผู้ช่วยที่มีคุณภาพ”

ทิญายิ้มหวาน บอกว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของงานแล้วก็จากไป

หลังคนมาครบ การประชุมครั้งแรกก็เริ่มต้น สำนักข่าวหลายสำนักมาถึง ผู้ช่วยของแมทธิว จิน เป็นพิธีกรดำเนินงานประชุมขึ้นไปยังแท่นปราศรัย คาร์เมนจูเนียร์ แมทธิว จิน ฉินสือโอวและพี่ใหญ่กรมประมงคนอื่นนั่งอยู่ด้านหน้าแท่นปราศรัย

แมทธิว จิน เริ่มพูดก่อน จากนั้นเป็นคาร์เมนจูเนียร์ พวกเขาสองคนแบ่งกลยุทธ์ในการพูดอธิบายถึงความหมายของการก่อตั้งพันธมิตรนี้ ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่ว่าทั้งสองคนพูดค่อนข้างสั้นกระชับ ดังนั้นฟังดูแล้วเหมือนพูดถึงอะไรหลายอย่าง

คาร์เมนจูเนียร์พูดจบก็จากไป ถัดมาเป็นหน้าที่ของแมทธิว จินและฉินสือโอว ทั้งสองคนมาดำเนินทิศทางของการประชุมครั้งนี้

แม้ว่าฉินสือโอวจะเคยเข้าร่วมการประชุมมาหลายรูปแบบ สถานการณ์ที่เคยเจอก็มาก แต่เวลานั้นเขาเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ วันนี้เป็นเจ้าของ ในใจจึงยังคงมีความกังวลบ้าง

ดีที่มีพี่ใหญ่อย่างแมทธิว จิน คอยคุมอยู่ แม้ว่าจะมีคนเห็นต่างแต่ก็ไม่กล้าเสนออกมาทันที ภายใต้บรรยากาศเป็นมิตรฉันดีคุณดีทุกคนดี การประชุมจึงสิ้นสุดลง

การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมก่อตั้ง ดังนั้นจึงไม่ได้พูดถึงโครงการพัฒนาอะไร ฉินสือโอวทำตามข้อเรียกร้องของแมทธิว จิน จากนั้นตอนบ่ายก็หาห้องประชุมใหม่อีกห้องหนึ่ง เพื่อดำเนินการประชุมเรื่องพันธมิตร

ครั้งนี้แมทธิว จิน ก็ไม่เข้าร่วมแล้ว ให้ฉินสือโอวมารับผิดชอบทั้งหมด เขาให้ทิญาเป็นพิธีกร ผู้ช่วยตัวน้อยอกอึ๋มขึ้นเวทีสุภาพเป็นธรรมชาติ เธอเกิดมาเพื่อเป็นคนทำงานนี้ ดำเนินการประชุมได้อย่างไม่มีปัญหา

แต่ว่าไม่มีรัฐมนตรีเก่าคอยคุมสถานการณ์ เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาเริ่มแสดงนิสัยดื้อรั้นและท่าทีเกียจคร้านออกมา พอการประชุมเริ่มขึ้น ข้างล่างก็มีคนพูดคุยกัน

ฉินสือโอวตบโต๊ะ เค้นเอาความน่าเกรงขามของครูประจำชั้นออกมา พูดว่า “ใครพูดอยู่ข้างล่าง? มีอะไรอยากพูด ขึ้นมาพูดบนเวทีเถอะ”

ข้างล่างไม่มีใครพูดแล้ว ต่างก็หัวเราะคิกคักมองเขาอยู่

ฉินสือโอวแนะนำแผนการทำงานช่วงนี้ของพันธมิตรต่อ ปรากฏว่าพอเขาเอ่ยปาก ด้านล่างก็มีคนพูดคุยกันอีกแล้ว

ครั้งนี้เขาเริ่มโมโหแล้ว เห็นชัดว่ากำลังต่อต้านเขาอยู่ เป็นประธานพันธมิตรก็คือหัวหน้าแก๊ง ท่านชายฉินตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ผมบอกแล้ว ใครมีความเห็นอะไร ให้ขึ้นมาเสนอด้านบน เป็นลูกผู้ชายหน่อยลุกขึ้นมา อย่าพูดซุบซิบกันอยู่ด้านล่าง พวกคุณเป็นผู้หญิงหรือไง? มีอะไรจะพูดเยอะขนาดนั้น?!”

เจ้าของฟาร์มปลาต่างก็กลัวเสียหน้า ฟาร์มปลาพูดแบบนี้ คนที่พูดก่อนหน้านี้เสียหน้าแล้ว เพราะว่าเจ้าของฟาร์มปลาอื่นต่างก็มองพวกเขาอยู่ ห้องประชุมก็ใหญ่แค่นี้ ทุกคนต่างก็รู้ว่าใครพูด

มีเจ้าของฟาร์มปลารายหนึ่งยืนขึ้นมาพูดอย่างไม่พอใจว่า “ท่านประธาน คุณแน่ใจว่ามีอะไรอยากจะพูด สามารถขึ้นไปพูดด้านบนได้?”

ฉินสือโอวดึงเก้าอี้ออก ยิ้มอย่างสดใสว่า “บอกอย่างชัดเจนแล้ว เป็นลูกผู้ชาย ก็ลุกขึ้นมา”

เจ้าของฟาร์มปลาคนนั้นเดินขึ้นไปพูดอย่างไม่ยี่หระว่า “งั้นได้ เมื่อครู่ผมถามข้างล่างว่า มีใครรู้บ้างว่าห้องน้ำที่นี่อยู่ที่ไหน? กลางวันผมกินเยอะไป ตอนนี้ท้องไส้ไม่ค่อยดี”

พวกชายสูงวัยด้านล่างหัวเราะขึ้นมา มีไม่น้อยที่ใช้สายตาสัพยอกมองดูฉินสือโอว รอเขาขายหน้า

เห็นชัดว่า คนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับประธานที่เป็นคนหนุ่มเชื้อชาติจีนเช่นนี้ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา แม้ว่าเขาจะมีอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน แม้ว่าพวกเขาอยากจะมีสัมพันธ์ที่ดีกับเขา แต่ว่าในใจก็อยากจะดูเขาขายหน้าอยู่

สายตาของคนพวกนี้ฉินสือโอวทำเหมือนมองไม่เห็นอย่างนั้น ใบหน้าเขายังคงมีรอยยิ้มสดใสอยู่ บอกกับชายคนนั้นว่า “เดินออกประตูไปห้องน้ำอยู่ซ้ายมือ เดินไปประมาณยี่สิบเมตรก็ถึงแล้ว”

เจ้าของฟาร์มปลานั่นจงใจพูดขอบคุณ จากนั้นเดินออกไปบอกจะไปเข้าห้องน้ำ

พอเขาจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินสือโอวก็พลันหายไป ถามว่า “ยังจะมีใครอยากเข้าห้องน้ำอีกไหม?”

เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาบ้างหมอบอยู่บนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน บ้างก็เอนหลังบนเก้าอี้ พวกเขาสองสามคนส่ายหัว แล้วถกเถียงกันวุ่นวายเสียงดังขึ้นมา

เห็นดังนี้ ฉินสือโอวพยักหน้า บอกกับทิญาว่า “ล็อกประตูจากด้านใน!”

ได้ยินคำนี้ มีคนบอกอย่างประหลาดใจว่า “ท่านประธาน ธอร์ยังไม่ได้…”

“หุบปาก!” ฉินสือโอวตบโต๊ะอย่างแรงแล้วเอ่ยว่า “ผมบอกอย่างชัดเจน ใครอยากจะพูด ก็ให้มาตรงตำแหน่งของผม!”

……………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท