ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1487 เต็มเนินแคปพิตอล

บทที่ 1487 เต็มเนินแคปพิตอล

แมทธิว จิน ตอบตกลงคำขอของฉินสือโอว นี่อยู่ในความคาดหมายของเขา ในเมื่อรัฐมนตรีคนเก่าขอร้องให้เขาเป็นประธาน แน่นอนว่าจะต้องให้อะไรเขาบ้าง อย่างน้อยก็ต้องให้ความร่วมมือกับแผนการของเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะยินดีที่จะทำได้อย่างไร?

งานวิจัยปรับแก้ยีนของสาหร่ายเขียวใบเล็กกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการทดสอบแล้ว จำเป็นต้องหาฟาร์มปลาบางแห่งเพื่อทำการทดสอบ ท่านชายฉินเอาฟาร์มปลาของตัวเองมาใช้ทดสอบอย่างใจกว้าง

ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน นี่มันเหมาะสมที่สุดแล้ว เขาสามารถทำการปรับปรุงความสามารถในการเอาชีวิตรอดในมหาสมุทรแอตแลนติกของสาหร่ายเขียวใบเล็กโดยใช้พลังโพไซดอนได้

พูดคุยจบ แมทธิว จิน มีความสงสัยว่า “นายต้องการสาหร่ายสีเขียวใบเล็กฉันเข้าใจได้ แต่ว่าสาหร่ายหิมะน้ำแข็งมีประโยชน์เหรอ? สาหร่ายทะเลชนิดนั้น ฉันจำได้ว่าไม่สามารถมีชีวิตรอดในมหาสมุทรแอตแลนติกได้นะ? กรมมหาสมุทรทำการทดสอบมาแล้วหลายครั้ง มันเป็นไปไม่ได้เลย”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างลึกลับ เขากล่าว “มีแผนรับมือแล้วครับ ท่านรัฐมนตรี คุณแค่รอฟังข่าวดีจากผมก็พอแล้ว”

การประชุมจัดตั้งพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์จัดขึ้นในวันจันทร์ เริ่มงานเก้าโมงครึ่ง เจ็ดโมงเช้าฉินสือโอวและวินนี่ก็มาถึงเนินแคปพิตอลแล้ว เขาไม่เคยมาสถานที่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหัวใจของการเมืองของแคนาดามาก่อน วินนี่พาเขาไปเดินชม

แน่นอนว่าเนินแคปพิตอลไม่มีอะไรน่าดู ที่เขาสนใจคือบ้านพักเนินแคปพิตอล หนึ่งในคำขวัญประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของออตตาวา ก็คือ ไม่เคยเห็นบ้านพักเนินแคปพิตอล อย่าได้บอกว่าเคยมายังออตตาวา

ความประทับใจแรกของทั่วทั้งภูเขาคือธรรมชาติที่ดีมาก แม้จะยังเป็นเดือนมีนาคม บนเขาเองก็เขียวชอุ่ม พื้นหญ้าถูกตัดแต่งเรียบร้อยเป็นระเบียบ ต้นไม้ส่วนใหญ่เองก็มียอดอ่อนและกิ่งขึ้นมาแล้ว

ฉินสือโอวยื่นมือหักกิ่งต้นหลิวมาก้านหนึ่ง พูดอย่างหดหู่ว่า “สภาพอากาศของออตตาวาดีจริงๆ นี่เพิ่งจะเดือนมีนาคมต้นไม้ก็งอกเงยเติบโตถึงขนาดนี้แล้ว”

วินนี่เห็นเขาเด็ดกิ่งต้นหลิวก็อึ้ง เธอกำลังจะพูด เวลานี้ก็มีหนุ่มหล่อผิวขาวคนหนึ่งในชุดทหารยามพุ่งเข้ามา โบกมือที่สวมถุงมือขาวแล้วบอกว่า “สวัสดีครับ คุณผู้ชาย ขอเชิญออกจากพื้นที่นี้ เนินแคปพิตอลไม่ต้อนรับผู้ที่ทำลายล้าง”

ฉินสือโอวถึงตระหนักว่าพฤติกรรมจิตใต้สำนึกของตัวเองไม่ดี เขาจึงรีบขอโทษ แต่ว่าทหารยามส่ายหัวอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วกล่าวว่า “ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ”

วินนี่ดึงเขาออกมา ยิ้มแล้วพูดกับทหารยามว่า “สวัสดีค่ะ คุณผู้ชาย อันดับแรกฉันต้องขอโทษแทนสามีของฉันที่ได้ทำไปทั้งหมดด้วย จากนั้นฉันขออธิบายสักนิด ชนชาติของสามีฉัน มีวัฒนธรรมการเด็ดกิ่งในฤดูใบไม้ผลิ บรรพบุรุษของพวกเขายังหลงเหลือคำกลอนที่ไพเราะไว้บทหนึ่งเพื่อระลึกถึงเทศกาลนี้ ‘ยามดอกไม้เบ่งบานรีบเด็ดเอา อย่ารอจนเหี่ยวเฉาทิ้งกิ่งไป’”

คำกลอนประโยคหลังนี้เธอพูดเป็นภาษาจีน ทหารยามฟังแล้วก็อึ้ง แคนาดาให้ความเคารพอย่างมากต่อวัฒนธรรมดั้งเดิมของผู้ที่ย้ายถิ่นฐาน ฉันสามารถจะไม่ชื่นชอบวัฒนธรรมของพวกคุณได้ แต่ฉันจะปกป้องสิทธิในการรักษาวัฒนธรรมของพวกคุณเอง นี่เป็นหนึ่งในหลักการทำงานของข้าราชการแคนาดา

แบบนี้ทหารยามจึงลังเลขึ้นมา วินนี่ยิ้มหวานให้เขาอีกที เขาก็ใจอ่อนแล้ว โบกมือให้พวกเขาตามสบาย แต่ว่ายังคงเตือนพวกเขาคำหนึ่ง ไม่ให้ทำลายสภาพแวดล้อมอีก

ภายใต้การนำของวินนี่ ฉินสือโอวเริ่มเดินชมจากอาคารรัฐสภา นี่เป็นสัญลักษณ์ของออตตาวารวมถึงประเทศแคนาดาด้วย อาคารรัฐสภาประกอบด้วยอาคารสไตล์กอธิคสามหลัง แบ่งเป็นส่วนกลาง ส่วนตะวันออกและส่วนตะวันตก ปัจจุบันเป็นสถานที่เข้าร่วมประชุมและรัฐบาลของแคนาดา

ฉินสือโอวยืนเงยหน้ามองขึ้นจากใต้อาคาร สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกคือธงชาติรูปใบต้นเมเปิลที่ปลิวไสวไปตามลมบนหอนาฬิกา สถาปัตยกรรมหลังคาทองแดงสไตล์กอธิคตามแนวแม่น้ำออตตาวาตั้งยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยว ใช้เพื่อแสดงถึงจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อของชนชาติแคนาดา

คล้ายคลึงกับอาคารรัฐสภาของประเทศอาณานิคมอังกฤษหลายประเทศ ด้านหน้าอาคารรัฐสภามีลานสนามหญ้าผืนหนึ่ง

ได้บทเรียนจากต้นหลิวก่อนนี้มาแล้ว ฉินสือโอวถึงกับไม่กล้านั่งลงบนพื้นหญ้าเลย ยืนอยู่ด้านหน้าให้วินนี่ถ่ายรูปให้รูปสองรูป

อาคารรัฐสภามีหอสันติภาพเป็นใจกลาง ตรงกลางเป็นอาคารหลัก สองข้างเป็นอาคารข้างตะวันออกและตะวันตก วินนี่บอกเขาว่า ฟังก์ชันของอาคารทั้งสามหลังนี้ต่างก็ไม่เหมือนกัน อาคารหลักเป็นอาคารรัฐสภาจริง วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรีทำงานที่นี่ อาคารสองข้างเป็นสำนักงานขององค์การรัฐบาลแคนาดา

เธอไม่ได้แนะนำการทำงานของอาคารข้างตะวันออกและตะวันตก แต่ได้เล่าความลับอย่างหนึ่งให้ฟัง “คุณรู้หรือเปล่า ว่ากันว่าอาคารทั้งสองหลังนี้เป็นสถานที่อยู่ของคลังหลวงแรกสุดของแคนาดา ทองคำที่แคนาดาเก็บรักษา ก็อยู่ในอาคารทั้งสองหลังนี้”

ฉินสือโอวหัวเราะ “จะเป็นไปได้อย่างไร คลังหลวงอยู่ที่นี่ มีกองกำลังป้องกันแค่นี้? ผมกับแบล็คไนฟ์พร้อมกับเหล่าทหารก็สามารถปล้นได้…”

พูดไปครึ่งประโยคเขาก็เงียบลง มีทหารทีมหนึ่งที่เพิ่งผลัดเวรเสร็จกำลังเดินมา หัวหน้าทีมที่แต่งตัวราวกับไก่ตัวผู้กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาระแวดระวัง ดูไปแล้วไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก

เห็นชัดว่า คนอื่นได้ยินที่เขาคุยกับวินนี่

เดินดูต่อ พวกเขาเดินถึงด้านล่างหอสันติภาพอย่างรวดเร็ว อาคารสูง 90 เมตรนี้ ถูกขนานนามว่าเป็น ‘สถาปัตยกรรมสไตล์กอธิคที่ประณีตที่สุดในโลก’ และเป็นอาคารรัฐสภาที่สูงที่สุด สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้บุคคลที่เสียชีวิตในสงคราม

อาคารทั้งหมดในเนินแคปพิตอลล้วนประณีตมาก อย่างน้อยเนินแคปพิตอลก็เห็นเป็นอย่างนั้น หลังคาสีเขียว ผนังสีเทา ราวกับภาพวาดสีน้ำมัน

ห่างจากหอสันติภาพไม่ไกล ตรงใจกลางลานสนามด้านหน้าอาคารรัฐสภามีแท่นไฟที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีการก่อตั้งสหพันธ์แคนาดา ‘เซ็นเทนเนียล เฟลม’

ตรงใจกลางมีเปลวไฟลุกโพลงอยู่ เปลวไฟแผ่ไปรอบทิศ น้ำพุโดยรอบไหลลงช้าๆ ตามความลาดชันของแท่นไฟ

น้ำไฟแบ่งชัดเจน แต่ก็ดูผสมผสานกัน ฉินสือโอวรู้สึกนี่เป็นการออกแบบที่ฉลาดหลักแหลม จึงเข้าไปถ่ายรูปสองรูป

รอบข้างแท่นไฟมีตราอาร์มทองแดงของแต่ละรัฐในแคนาดาวางเอาไว้ ตรงตำแหน่งโดยรอบมีวันที่เข้าร่วมสหพันธ์แคนาดาเอาไว้

วินนี่แนะนำให้เขาเหมือนกับเป็นไกด์นำเที่ยวว่า “การออกแบบของแท่นไฟนี้มีความหมายพิเศษ คุณก็รู้ แคนาดาเคยตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศสและจักรวรรดิอังกฤษมาก่อน ความสามัคคีระหว่างชนชาติเป็นปัญหาใหญ่มาโดยตลอด”

ฉินสือโอวพยักหน้า อย่ามองว่าแคนาดาเป็นดินแดนบริสุทธิ์ของโลก เหมือนจะไม่มีสงครามตลอดไป แต่ความจริงปัญหาเรื่องการแบ่งดินแดนและการผสานรวมของชาติพันธุ์ก็คอยรบกวนรัฐบาลมาตลอด กระทั่งวันนี้ ควิเบกยังคงบอกว่าจะแยกเป็นเอกราชอยู่เรื่อยๆ

“แท่นไฟนี้มีน้ำและไฟผสานรวมกัน เป็นสัญลักษณ์ว่ารัฐบาลแคนาดารักษาความเป็นเอกภาพ เจตจำนงความมั่นคง และความสมานฉันท์ของสหพันธ์” วินนี่กล่าว

ทั้งสองกำลังเยี่ยมชมแท่นไฟ เวลานี้มีเสียงดีใจดังขึ้นมาจากด้านหลัง “สวัสดี คุณคือฉิน? ฉินเจ้าของฟาร์มปลา?”

ฉินสือโอวนึกว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่จำตัวเองได้ เพราะตอนนี้เขาก็เป็นคนดังในหมู่คนแคนาดาเชื้อสายจีน ปรากฏว่าหันหลังไป พบว่านี่เป็นคนรู้จักคนหนึ่ง อย่างน้อยพวกเขาก็เคยดื่มเหล้าด้วยกันมาก่อน เพื่อนทหารของเบิร์ดและนีล เฟอร์กูสันที่เคยไปเที่ยวที่ฟาร์มปลาตอนวันรำลึกถึงผู้เสียสละในสงคราม

ตอนนี้เฟอร์กูสันสวมชุดยูนิฟอร์มอยู่ บนไหล่มีสัญลักษณ์นาฬิกาอันหนึ่ง วินนี่บอกเสียงเบา ว่าเขาน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของหอสันติภาพ เพราะว่าบนสุดของหอสันติภาพมีสถานที่หนึ่ง นาฬิกาสี่หน้าขนาด 88 เมตร และกระดิ่ง 53 ใบประกอบเป็นการบรรเลงที่กำหนดไว้ของการียง

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท