ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1505 พ่อครัวแสนน่ารัก

บทที่ 1505 พ่อครัวแสนน่ารัก

การสังเกตอันเฉียบแหลมของเขาสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ ฉินสือโอวจึงระมัดระวังมากขึ้นและพูดว่า “ผมคิดว่าแบบนี้คงไม่ดีแน่ ร้านอาหารมิชลินสามดาวต้องมีข้อบังคับที่เข้มงวดไม่ใช่เหรอ? แบบนี้จะทำให้คุณลำบากหรือเปล่า?”

ใบหน้าของสแตนลี่ย์ยังคงแฝงด้วยรอยยิ้มแปลกๆ และพูดว่า “ไม่แน่นอน เพราะผมเป็นเจ้าของร้านอาหารนี้ แน่นอนว่าเชฟก็คือผมด้วยเช่นกัน สรุปคือร้านอาหารของเรายินดีต้อนรับคุณ”

การแนะนำนี้ทำให้ฉินสือโอวประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าคนคนนี้จะเป็นจิตวิญญาณของร้านอาหารแห่งนี้ ตอนแรกยังคิดว่าเขาเป็นแค่ผู้ช่วยพ่อครัวหรือลูกมือในครัวเท่านั้น เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าเชฟมิชลินสามดาวจะออกมาจากร้านอาหารได้

การได้รับดาวมิชลิน โดยเฉพาะร้านอาหารระดับสามดาว ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับร้านอาหารและพ่อครัว พ่อครัวลักษณะแบบนี้คือความสำเร็จแห่งอุตสาหกรรมการอาหารดังนั้นจึงน้อยมากที่จะปรากฏตัวออกมา และฉินสือโอวก็ไม่คิดว่าคนระดับนี้จะอ่านข่าวและจำเขาได้

ดังนั้นจึงดูเหมือนว่า เขาจะคิดไม่ออกว่าเชฟระดับชั้นนำคนนี้รู้จักเขาได้อย่างไร

แต่นิสัยเขาเป็นคนใจกว้างและรู้ว่าสแตนลี่ย์จะไม่ทำร้ายเขา ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเมื่อเขาได้รับเชิญ เขาจึงไม่สามารถแสร้งทำได้ จึงขอบคุณเขาอย่างมีความสุขและเดินเข้าไป

ฉินสือโอวจำได้ว่าตอนแรกร้านเพอร์เซในนิวยอร์กมีที่นั่งเพียงแค่ 50 ที่เท่านั้น แต่เขาไม่เห็นว่าร้านยูคิมูระมีกี่ที่นั่ง เพราะร้านอาหารแห่งนั้นเปิดเป็นห้องส่วนตัว แต่เขาก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าจะกี่ที่นั่ง เพราะที่นั่งในร้านอาหารทั้งสองแห่งต้องมีมากกว่าร้านสแตนลี่ย์อยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าร้านนี้จะมีโต๊ะขนาดใหญ่หนึ่งตัว โต๊ะขนาดเล็กสองสามตัวและมีเก้าอี้รวมกันมากถึง 30 ตัว!

ซึ่งตอนนี้มีโต๊ะตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ สแตนลี่ย์จึงเชิญให้เขานั่งลง ฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “นี่คุณ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า? ขอโทษจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าผมจะไม่ค่อยคุ้นหน้าคุณเท่าไรนัก”

สแตนลี่ย์หัวเราะเสียงเบาและพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า “ไม่ๆๆ เราไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ผมเคยเห็นรูปของคุณและผมก็รู้จักคุณบัตเลอร์เป็นอย่างดี ผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคุณมากมาย”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินสือโอวก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าที่สแตนลี่ย์เชิญเขาเข้ามานั่ง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนดัง แต่เป็นเพราะฟาร์มปลาต้าฉิน บัตเลอร์เคยบอกว่าอาหารทะเลจากฟาร์มปลาต้าฉินได้รับรางวัลครึ่งหนึ่งจากร้านอาหารชั้นนำในอเมริกาเหนือ

บางทีร้านนี้อาจจะใช้อาหารทะเลฟาร์มปลาต้าฉินก็ได้

ดังนั้นคำพูดของชาลส์ มอร์รี่ก็คงจะเข้าท่า เขาจึงรีบถามว่า “เมื่อกี้ชาลส์ มอร์รี่ พวกเขาเพิ่งออกจากร้านของคุณไป พวกเขากำลังชักชวนให้คุณใช้อาหารทะเลของตระกูลมอร์รี่ต่อใช่ไหม?”

เขาวางกับดักไว้ 3 อย่างในประโยคนี้ เพียงใช้คำว่า “ต่อ” ถ้าสแตนลี่ย์ยืนยัน แสดงว่าเมื่อก่อนเขาใช้อาหารทะเลของตระกูลมอร์รี่ แต่ตอนนี้ต้องการจะเปลี่ยนใช้อาหารทะเลฟาร์มปลาต้าฉิน และตระกูลมอร์รี่จึงต้องการชักชวนให้เขาใช้อาหารทะเลของเขาต่อไป

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาฉลาด แต่อาจจะหมายความว่าเขาโง่ เขาน่าจะคิดเรื่องนี้ได้นานแล้ว หลักๆ คือข้อมูลเกี่ยวกับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินของเขายังไม่ชัดเจน บัตเลอร์ไม่เคยบอกเขามาก่อนว่าอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินได้เข้าสู่ตลาดรัฐโนวาสโกเชียแล้ว

ในทางตรงกันข้าม สแตนลี่ย์ถือว่าเป็นคนฉลาด ทันทีที่เขาเอ่ยปากพูดก็โยงไปหาฉินสือโอวก่อนเป็นคนแรกและถามเขาว่าไม่ได้มากินข้าวเหรอ สุดท้ายฉินสือโอวก็ยืนยันโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ได้ข้อสรุปบางอย่าง เช่น ฉินสือโอวไม่รู้ว่าคนจากตระกูลมอร์รี่เพิ่งจะมาหาเป้าหมายของเขา

ในการเป็นเชฟมิชลินระดับสามดาว ไอคิวของสแตนลี่ย์นั้นต้องโดดเด่นแน่นอน การอยู่ในระดับตัวท็อปในอุตสาหกรรมใดๆ ก็ตามล้วนไม่ใช่เรื่องโง่เขลา เขาฟังกับดักในคำพูดของฉินสือโอวออก แต่ก็ยังปล่อยให้เขาทำตามความปรารถนาและตอบตามคำพูดของเขา

“ไม่ ไม่ใช่ ‘ต่อไป’ ผมไม่เคยใช้อาหารทะเลของตระกูลมอร์รี่ แต่ตอนนี้ได้ทำการร่วมมือกับตระกูลมอร์รี่จริงๆ ผมไม่อยากจะยกย่องพวกคุณ แต่อาหารทะเลของพวกคุณยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะปลาแฮร์ริ่ง ที่มีเนื้อสัมผัสที่ละเอียดและอ่อนนุ่ม น้ำเกรวี่หอมๆ ข้นๆ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ผมเคยเห็นในชีวิต”

ประโยคหนึ่งแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงที่สมควรได้รับของสแตนลี่ย์จริงๆ ผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบันของฟาร์มปลาต้าฉินก็คือ ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ล็อบสเตอร์สีรุ้งเป็นต้น แต่ฉินสือโอวรู้ดีว่า ที่จริงแล้วอาหารทะเลที่ดีที่สุดที่ผลิตโดยชาวประมงคือปลาแฮร์ริ่ง!

ถ้าไม่จำเป็น เขาแทบไม่เพิ่มพลังโพไซดอนให้กับปลาและกุ้งในตอนนี้ แต่จะใส่พลังงานเข้าไปในสาหร่ายทะเล เพื่อให้ห่วงโซ่อาหารนี้ทำงานต่อไปได้โดยอัตโนมัติ

ปลาแฮร์ริ่งเป็นกลุ่มแรกในห่วงโซ่อาหารที่สัมผัสกับพลังโพไซดอนในสาหร่ายทะเล และได้รับการปรับปรุงมากที่สุด แน่นอนว่าคุณภาพและรสชาติของเนื้อสัตว์ยังไม่ดีเท่าปลาทูน่าครีบน้ำเงินหรือแม้แต่ปลาค็อด แต่ถ้าเทียบกับปลาแฮร์ริ่งชนิดเดียวกันแล้ว ปลาแฮร์ริ่งจากฟาร์มปลาต้าฉินนั้น สามารถกำจัดพวกมันให้พ้นทางได้!

ฉินสือโอวมองเขาด้วยความสนใจและถามว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณสนใจที่จะเปลี่ยนตัวเลือกไหม? ผมคิดว่าเพื่อที่ชักชวนคุณให้ใช้อาหารทะเลของพวกเขา ตระกูลมอร์รี่จะต้องให้สิทธิพิเศษมากมายกับคุณอย่างแน่นอน”

สแตนลี่ย์พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ แน่นอน พวกเขายอมที่จะจัดเครื่องบินพิเศษขนส่งอาหารทะเลให้ผม ไม่ว่าผมจะต้องการอะไร ขอแค่พวกเขามีมัน ก็จะให้สิ่งที่มีคุณภาพดีที่สุดให้ผมอย่างแน่นอน! แล้วคุณฉิน ฟาร์มปลาต้าฉินของพวกคุณจะให้สิทธิพิเศษกับผมไหม?”

ฉินสือโอวยักไหล่และพูดว่า “ผมยินดีมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณบัตเลอร์ ผมเป็นแค่ชาวประมงที่มีหน้าที่เลี้ยงปลา ส่วนคุณบัตเลอร์เป็นซีอีโอและเขามีอำนาจในการตัดสินใจ”

สแตนลี่ย์หัวเราะและพูดว่า “เอาล่ะ ดูเหมือนว่าผมต้องคุยกับคุณบัตเลอร์ได้แค่คนเดียวเท่านั้น คุณน่าจะรู้ว่าการใช้อาหารทะเลต่างๆ ในร้านอาหารของเราถือเป็นการโฆษณาที่ดีอย่างหนึ่ง”

ฉินสือโอวว่า “ใช่ ผมเข้าใจดี แต่คุณก็ควรรู้ด้วยว่าซัพพลายเออร์อาหารทะเลที่เลือกโดยร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวนั้นดีที่สุดและมีเพียงการร่วมมือกับซัพพลายเออร์อาหารทะเลที่ดีที่สุดเท่านั้นถึงจะได้รับวัตถุดิบที่ดีที่สุด นี่ไม่ใช่การร่วมมือกันง่ายๆ แต่เป็นการวินวินกันทั้งคู่!”

เขาไม่สนใจว่าร้านอาหารมิชลินสามดาวว่าจะใช้อาหารทะเลของพวกเขาหรือไม่ สุราดีย่อมไม่กลัวตรอกลึก สุราที่เขาทำขึ้นมาเป็นสุราที่เป็นอมตะ ไม่ต้องพูดถึงตระกูลมอร์รี่ ซึ่งคือซัพพลายเออร์อาหารทะเลทั้งหมดในโลกที่ร่วมใจมาต่อต้านเขาและเขาไม่ได้หวาดกลัวสักนิด!

ความมั่นใจที่เด็ดขาดมาจากความแข็งแกร่ง เขารู้ดีว่าบางทีอาหารทะเลที่ดีที่สุดในโลกอาจไม่ได้อยู่ในฟาร์มปลาต้าฉิน แต่ขอเพียงแค่มีผลิตภัณฑ์อาหารทะเลในฟาร์มปลาต้าฉิน ก็ต้องดีที่สุดในระดับเดียวกันแน่นอน!

สแตนลี่ย์ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ยอมและพูดว่า “คุณฉิน คุณและเพื่อนของคุณอยากทานอะไรสักหน่อยไหม?”

ฉินสือโอวกล่าว “แล้วแต่คุณเถอะ ผมคิดว่าคุณมีทักษะการปรุงอาหารดัดแปลงให้เลิศรสอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไรผมก็ชอบหมด”

สแตนลี่ย์หัวเราะขึ้นอีกครั้งและพูดว่า “ผมชอบลูกค้าแบบคุณ มันจะดีมากถ้าลูกค้าทุกคนง่ายๆ เหมือนคุณ”

ในขณะที่เขากำลังออกไป ฉินสือโอวก็ถามว่า “เฮ้ สแตนลี่ย์ ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม? ก่อนที่จะได้ร่วมมือกับอาหารทะเลต้าฉิน คุณเคยร่วมมือกับใคร? ทำไมไม่ใช้อาหารทะเลของตระกูลมอร์รี่?”

สแตนลี่ย์เดินกลับมาและโน้มตัวลงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบว่า “ประเด็นแรกไม่สามารถบอกได้ แต่ประเด็นหลังผมสามารถเล่าให้คุณฟังได้ เพราะผมเกลียดพวกเจ้าเล่ห์พวกนั้นในตระกูลมอร์รี่!”

ทันใดนั้นจู่ๆ ฉินสือโอวก็คิดว่าเชฟมิชลินระดับสามดาวคนนี้น่ารักมาก

……………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท