ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1506 ยากที่จะจัดการแล้ว

บทที่ 1506 ยากที่จะจัดการแล้ว

ฉินสือโอวและเบิร์ดกินอาหารง่ายๆ สองมื้อ ซึ่งเป็นอาหารออเดิร์ฟที่พบบ่อยในแคนาดาและเป็นเซตอาหารครอบครัว

แต่ก็เป็นอาหารง่ายๆ ในมือของเชฟมิชลินระดับสามดาว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หลังจากจานอาหารส่งเข้ามาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาถึงกับตะลึงก็คือมองวัตถุดิบในอาหารไม่ออก มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียวที่จะบอกว่าจานอาหารที่นำมาเสิร์ฟนั้นคืออาหารไหม? ไม่สิ เขารู้สึกว่านี่คือภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติมากกว่า!

ออเดิร์ฟอาหารง่ายๆ สามารถพูดได้ว่าเป็นการนำหลายๆ สิ่งมารวมกัน ซึ่งจะใช้ส่วนผสมจำนวนมาก สแตนลี่ย์ทำเมนูนี้ให้เขา อันที่จริงก็เพื่อให้เขาได้สังเกตเห็นประโยชน์ของวัตถุดิบอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่พยายามรังสรรค์ออกมาในมือของเขา

จริงๆ แล้วปลาลิ้นหมาแบบเดียวกัน ฉินสือโอวจะย่างกินเท่านั้น คนอื่นๆ จะห่อด้วยกระดาษฟอยล์แล้วนำไปนึ่งให้สุก จากนั้นก็โรยด้วยผงวานิลลา รสชาติและความรู้สึกที่ได้เห็นจะแตกต่างกันมาก

ความอร่อยของปลาลิ้นหมาจะยังคงรสชาติเดิม เพราะขั้นตอนการห่อกระดาษฟอยล์และการนำไปนึ่งจนสุกจะไม่ทำให้สูญเสียรสชาติ ฉินสือโอวยังสัมผัสได้ถึงรสชาติสดและอร่อยสุดแสนพิเศษที่พุ่งเข้าหาเขา เวลานี้เขาจึงเข้าใจว่าทำไมบรรพบุรุษถึงใช้คำว่า ‘ปลา’ และ ‘แกะ’ มาสร้างคำว่า ‘สด’ ขึ้น

หลังทานอาหารเย็นเสร็จ สแตนลี่ย์ก็นำขนมหวานสองรสชาติมาเสิร์ฟโดยเฉพาะ ขนมทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นขนมที่หาได้ทั่วไป ซึ่งมีขายตามแผงลอยริมถนน รสชาติแรกจะเป็นรสทีรามิสุและอีกชิ้นก็จะเป็นเกรปฟรุตแบ่งเป็นชั้นๆ

ส่วนผสมหลักของเกรปฟรุตแต่ละชั้นคือจะเป็นเกรปฟรุตหนาชั้นแรก ซึ่งจะเคี่ยวจนมีเนื้อครีมระดับปานกลางเมื่อจับคู่กับวานิลลาและมะนาว รสชาติจะเข้มข้นขึ้น นอกจากนี้ยังตกแต่งด้วยน้ำตาลไอซิ่งและใบโหระพา เพื่อความเปรี้ยวหวานและสดชื่น

การทำทีรามิสุจะมีความประณีตมากกว่า เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงระดับไฮเอนด์หลายครั้ง ที่นั่นมีทีรามิสุที่ละเอียดและสวยงามหลากหลายแบบ แต่ก็ยังไม่ดีเท่าของสแตนลี่ย์

เขาเพิ่งรู้ว่าทีรามิสุแต่ละชั้นของที่นี่สามารถแยกกันแล้วมาจัดวางแบบนี้ได้ ซึ่งเห็นเพียงแค่ผิวด้านนอกของสตรอว์เบอร์รีลูกใหญ่ที่เคลือบด้วยน้ำตาลทรายขาวบดละเอียดหนึ่งชั้น มัลเบอร์รีสองสามลูกก็ราดด้วยซอสข้น เลดี้ฟิงเกอร์หนึ่งชิ้นพร้อมกับมูสครีมนมลูกเล็กๆ ที่เข้ากัน ทั้งรูปทรง สีสันที่สวยงามและกลิ่นที่หอมหวาน

หลังจากกินอิ่มและชมไม่ขาดปากแล้ว ฉินสือโอวจึงเช็ดที่มุมปากพร้อมพูดเช็กบิล สแตนลี่ย์จึงยิ้มและพูดว่า “แล้วแต่คุณจะเลยให้ ถ้าไม่ใช่การนัดล่วงหน้า ผมก็จะทำแบบนี้อยู่แล้ว”

ฉินสือโอวควักเงินสองพันดอลลาร์แคนาดามาวางบนโต๊ะอย่างมีความสุข สำหรับร้านอาหารมิชลินสามดาวแล้ว การบริโภคต่อหัวจะประมาณหนึ่งพันดอลลาร์แคนาดา ซึ่งอยู่ในระดับปานกลาง แต่เขาและเบิร์ดกินอาหาร และของหวานง่ายๆ อย่างละจานและราคาไม่ถึงมาตรฐานการบริโภคในราคาหนึ่งพันดอลลาร์แคนาดาต่อหนึ่งหัวแน่นอน

แต่เขาไม่มีปัญหาอะไร เพราะเพียงแค่สแตนลี่ย์ใช้อาหารทะเลของพวกเขา เงินเหล่านั้นก็จะกลับมาหาเขาอยู่ดี เขารู้ดีว่าบัตเลอร์เจ้าเล่ห์มากแค่ไหน ปลาลิ้นหมาหนักสิบปอนด์หนึ่งตัว เขากล้าขายมันในราคาหนึ่งพันเหรียญมาแล้ว!

สแตนลี่ย์บอกให้พนักงานเสิร์ฟมารับเงินไป จากนั้นมองที่ฉินสือโอวด้วยรอยยิ้มและแสดงรอยยิ้มที่มีเลศนัยนั้นอีกครั้ง

ฉินสือโอวมองไปที่เขาอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีเลศนัยบางอย่าง จึงจับมือกับเขาและจากไป

ในขณะที่เดินเล่นบนถนน เบิร์ดก็เงียบไปสักพักและแสดงสีหน้าลังเลที่จะพูด

ฉินสือโอวเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร จึงพูดอย่างหนักหน่วงว่า “นายก็มองออกเหมือนกันใช่ไหม? รอยยิ้มของผู้ชายคนนั้นดูไม่ชอบมาพากลเอาซะเลย เขาต้องอยากวางแผนเล่นงานฉันแน่ๆ!”

เบิร์ดพูดด้วยความตกใจว่า “มีอะไรเหรอ?”

ฉินสือโอวตกใจยิ่งกว่า “นายมองไม่ออกเหรอ? แล้วนายต้องการจะพูดอะไร?”

“สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ บอส ผู้ชายคนนั้นทำอาหารเก่งมากจริงๆ ตอนนี้ผมเสียดายมากที่ตอนนั้นทำไมถึงไปร่วมกองทัพต่อสู้ คงจะดีถ้าผมได้ไปเรียนรู้ทักษะการทำอาหาร!” เบิร์ดมองหันหน้าออกไปมองอย่างโหยหา

“บ้าจริง!” ฉินสือโอวถึงกับพูดไม่ออก

ในขณะที่เดินเล่นไปตามทาง ทางด้านซ้ายมือก็มีบ้านสไตล์ยุโรปที่แข็งแรงเรียงกันแต่ละหลังและทางขวามือจะเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

แฮลิแฟกซ์เป็นสถานที่ขึ้นฝั่งของผู้อพยพชาวยุโรปที่เก่าแก่ที่สุดและชายทะเลใกล้ท่าเรือก็เป็นที่อยู่อาศัยที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาจุดที่นั่งที่เก่าแก่ที่สุดด้วย บ้านหลายหลังที่นี่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเมืองนี้ ห้ามซื้อขายและปรับปรุงใหม่ อนุญาตเฉพาะผู้อยู่อาศัยหรือการตกแต่งแบบเรียบง่ายเท่านั้นที่จะทำธุรกิจได้

สุดปลายของทางเดินเป็นมุมทะเล ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งจะโดดเด่นในเรื่องประภาคารและคลื่นที่กระทบโขดหินมากที่สุด

ฉินสือโอวยืนอยู่บนโขดหินโสโครกก้อนหนึ่ง ข้างหน้าจะเป็นประภาคารที่ตระหง่าน ข้างๆ ก็ล้อมรอบด้วยโขดหิน น้ำทะเลทั้งสามทิศทางก็กระทบกับโขดหินใต้เท้า ทำให้เกิดเสียงที่ทำให้รู้สึกสั่นสะเทือน

หลังจากเดินเล่นไปรอบๆ ที่นี่แล้ว แคลอรีที่ได้บริโภคไปในช่วงอาหารกลางวันก็เผาผลาญไปใกล้จะหมดแล้ว ฉินสือโอวและเบิร์ดจึงนั่งแท็กซี่ไปที่โรงแรม

แบล็คไนฟ์ก็ได้กลับมาตอนที่กำลังจะทานอาหารเย็นพอดี เขาไม่รู้ว่าซื้อเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กจากที่ไหน จึงเขย่าฉินสือโอวพร้อมพูดว่า “ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี บอส ผมตรวจสอบเกือบหมดแล้ว จุดประสงค์ของคนเหล่านี้ในแฮลิแฟกซ์มีสองอย่างคือชักชวนให้เชฟชื่อดังท่านหนึ่งให้มาใช้อาหารทะเลของพวกเขา อีกอย่างคือพวกเขาจะเข้าร่วมการประมูลของฟาร์มปลาคาร์เตอร์ในวันพรุ่งนี้ด้วย”

หลังจากได้ยินเรื่องนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เตะโซฟาด้วยความไม่พอใจพร้อมกับพึมพำว่า “บ้าเอ๊ย ฉันน่าจะรู้ว่าไอ้พวกนี้มันมาแบบไม่ซื่อ!”

เขาเชื่อเป็นอย่างมากว่าคาร์เตอร์ได้ไปที่น่านน้ำเกาะแฟร์เวลและมีตระกูลมอร์รี่ยุยงให้ทิ้งเปลือกหอยพิษลงไป แต่เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงไม่ยอมรับ ฉินสือโอวไม่คิดว่าคาร์เตอร์จะเป็นผู้ภักดีกับอะไรแบบนี้ ในคดีนี้ เขาคิดมาตลอดว่าจะโยนความผิดเรื่องทิ้งเปลือกหอยพิษให้กับลูกน้องชาวประมง นี่จึงเป็นสาเหตุที่สุดท้ายชาวประมงเหล่านั้นพูดกลับคำใส่ความเขา ช่างน่าผิดหวังมากจริงๆ

อย่างไรก็ตามแม้แต่ลูกน้องชาวประมงของเขาก็ต่างยอมรับว่าหอยพิษเหล่านี้ถูกคนนอกเอาเข้ามาปล่อย คาร์เตอร์ดื้อดึงในจุดนี้ เขาจึงบอกว่าเขาทำเอง ไม่ใช่คนอื่นส่งมา

บางทีอาจจะอธิบายได้ว่าคาร์เตอร์และตระกูลมอร์รี่มีความรักกันอย่างลึกซึ้ง แต่ตอนนี้ฉินสือโอวมีคำอธิบายที่ดีกว่านั้น นั่นคือคาร์เตอร์รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้าตัวเขาเองไม่สามารถรักษาฟาร์มปลาแห่งนี้ไว้ได้ก็จะติดคุก เขาอาจจะทำข้อตกลงกับตระกูลมอร์รี่เป็นการส่วนตัว เขาจะไม่เผยบทบาทของตระกูลมอร์รี่ในเรื่องนี้ ตระกูลมอร์รี่ก็จะช่วยเขาซื้อฟาร์มปลาและส่งคืนให้เขาเมื่อได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก

เดิมทีตามข่าวที่ฉินสือโอวได้ยินมา การประมูลฟาร์มปลาคาร์เตอร์ไม่มีฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่ง เพียงแค่เขาเพิ่มเงินเล็กน้อยก็จะสามารถเอาฟาร์มปลาแห่งนี้ไปได้แล้ว ซึ่งตอนนี้คนของตระกูลมอร์รี่ได้ปรากฏตัวขึ้นและการประมูลจะยากขึ้นอีกครั้ง

วันรุ่งขึ้น ศาลฎีกาแห่งรัฐแฮลิแฟกซ์ได้จัดให้มีการประมูลสิ่งของที่ล้มละลายและฉินสือโอวก็รีบไปอย่างเร็วที่สุด

เมื่อเข้าสู่สนาม ในที่สุดเขาและชาร์ลส์ มอร์รี่ก็ได้พบกัน ชาร์ลส์ มอร์รี่ดูแปลกใจเล็กน้อยกับการปรากฏตัวของเขา เขาตกตะลึงพร้อมกับแสดงรอยยิ้มที่อบอุ่นออกมาพร้อมกับทักทาย “เฮ้คุณฉิน คุณก็สนใจฟาร์มปลาคาร์เตอร์เหมือนกันเหรอ?”

ฉินสือโอวก็แสร้งทำเป็นว่าเพิ่งพบเขาเช่นกัน จึงพูดด้วยความประหลาดใจว่า “อ่า ชาร์ลส์? นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน คิดไม่ถึงว่าเราจะได้พบกันที่นี่ คุณพูดอะไรนะ? สนใจอะไรในฟาร์มปลาคาร์เตอร์งั้นเหรอ? ผมมาที่นี่เพื่อช่วยซื้อเรือให้เพื่อน ที่นี่มีเรือยอชต์ดีๆ ที่ถูกประมูลแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ชาร์ลส์แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา เขาคงคิดว่าฉินสือโอวไม่รู้ข่าวการประมูลของฟาร์มปลาคาร์เตอร์และยังรู้สึกไม่พอใจที่ตัวเองเปิดเผยข่าวนี้

ฉินสือโอวแอบยิ้มพร้อมกับพาแบล็คไนฟ์และเบิร์ดเดินเข้าไปในศาล พวกเขาเผชิญหน้ากันเพียงชั่วครู่เท่านั้น เมื่อถึงช่วงเวลาแห่งการเสนอราคาถึงจะเป็นการเผชิญหน้ากันแบบจริงๆ จังๆ เขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองไม่สามารถเป็นฝ่ายที่เหนือกว่าได้

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน