ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1502 ฟาร์มปลาแห่งต่อไป

บทที่ 1502 ฟาร์มปลาแห่งต่อไป

ฉินสือโอวมองดูชาวประมงทำงาน สำหรับชาร์คและคนอื่นๆ แล้ว งานประเภทนี้เป็นงานที่ง่ายและคุ้นเคย เมื่อก่อนพวกเขาเคยทำงานที่ฟาร์มปลา ไม่เพียงแต่ออกทะเลไปจับปลาเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยทำความสะอาดสาหร่ายทะเลที่ปลูกในฟาร์มปลาอีกด้วย

นอกจากการทำฟาร์มเพาะปลูกแล้ว ตอนนี้ในแคนาดาฟาร์มปลาไม่กี่แห่งส่วนใหญ่ทำการเกษตรแบบผสมผสาน ปลา กุ้ง ปูและสาหร่ายทะเล สาหร่ายคอมบุ ล้วนสามารถสร้างกำไรได้ เช่นเดียวกับฟาร์มปลาต้าฉิน ฉินสือโอวก็กำลังเริ่มปลูกสาหร่ายทะเลแอตแลนติก บางครั้งสิ่งนี้ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีของฤดูการเก็บเกี่ยวและระดับผลกำไรก็พอๆ กับการจับปลา

และถึงแม้ว่าฤดูเก็บเกี่ยวจะจบไป แต่พืชทะเลเหล่านี้กลับขยับขยายเติบโตและพัฒนาไม่ว่าจะปลูกที่ไหนก็ตาม

เกิงจุนเจี๋ยค่อนข้างไม่คุ้นชินกับงานเหล่านี้ ชาร์คจัดการให้บูลและชาวประมงอาวุโสคนอื่นๆ พาพวกเขาไปทำงาน ซึ่งชาวประมงหนึ่งคนต่อเด็กฝึกงานหนึ่งคน

ฉินสือโอวเฝ้าดูพวกเขาทำงาน อันที่จริงงานประเภทนี้ค่อนข้างง่าย ไม่จำเป็นต้องหาที่ปลูกของสาหร่ายสีน้ำตาล เพียงแค่วางโครงเลื้อยในน่านน้ำทะเลก็พอแล้ว

โครงเลื้อยชนิดเดียวกันนั้นไม่ได้ซับซ้อน โดยทั่วไปจะเชื่อมต่อกันด้วยเชือกยาวห้าเมตรสองเส้น หรือใช้เชือกในการเพาะพันธุ์ที่ยาวสิบเมตร โดยการมัดยึดติดกับเชือกเพาะพันธุ์สองเส้นที่อยู่ติดกัน

เชือกเพาะพันธุ์ต้องมีระยะห่างกันประมาณสองเมตรและมีการผูกลูกบอลพลาสติกเว้นระยะห่างกันห้าหรือหกเมตรบนเชือกเพาะพันธุ์เพื่อให้ลอยตัว และนี่จะเป็นโครงสำหรับเลื้อยขึ้นของสาหร่าย ต่อมาหลังจากใบสาหร่ายสีน้ำตาลและเถาวัลย์ลอยขึ้นแล้ว เมื่อสัมผัสกับโครงเชือกเหล่านี้ พวกมันจะเลื้อยขึ้นไปเองและเติบโตไปพร้อมๆ กัน

ขณะที่ชาวประมงกำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน ฉินสือโอวก็ปลดปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป โดยจะมองหาแพเพาะพันธุ์ดำน้ำในทะเลที่มีสาหร่ายสีน้ำตาลปลูกอยู่บนนั้นและเขาจะป้อนพลังงานโพไซดอนเข้าไป

สำหรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยแล้ว อ่าวทะเลจะไม่เหมาะสมที่สุด สาหร่ายสีน้ำตาลจะแตกต่างจากสาหร่ายทะเลทั่วไป พวกมันมักจะเติบโตบนหินใต้ท้องทะเลลึก โดยเฉพาะบริเวณใต้เขตบาดาล

ในอ่าวทะเลจะไม่มีคลื่นใต้น้ำและมีคลื่นน้อยมาก ต่อให้น่านน้ำทะเลชนิดนี้มีคลื่น ก็จะไม่มีความรุนแรงอะไร แต่ก็ไม่สำคัญ การที่ฉินสือโอวเพาะเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำตาล สิ่งที่ต้องอาศัยคือพลังงานโพไซดอน ขอเพียงแค่มีแสงแดด สารอาหาร และการปรับปรุงจากพลังโพไซดอน สาหร่ายสีน้ำตาลเหล่านี้ก็จะสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและดีขึ้นกว่าเดิม

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกลาดตระเวนอย่างรวดเร็ว และถ่ายทอดพลังโพไซดอนลงในสาหร่ายสีน้ำตาล หลังจากดูดซับพลังโพไซดอนแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใต้น้ำทะเลก็เกิดขึ้น คือสาหร่ายสีน้ำตาลเริ่มเจริญเติบโตทันที! ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตด้วยความรวดเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

สาหร่ายสีน้ำตาลเป็นตะไคร่น้ำสีน้ำตาล ซึ่งพวกมันเป็นสายพันธุ์หนึ่งที่ยาวที่สุดในประเภทของสาหร่าย สาหร่ายสีน้ำตาลส่วนใหญ่สามารถเจริญเติบโตได้หลายสิบเมตรและความยาวมากที่สุด จะมากถึง 200 ถึง 300 เมตร น้ำหนัก 200 กิโลกรัม และสามารถยึดตัวกับสาหร่ายบนโขดหินโสโครกได้ยาวมากกว่า 1 เมตร

สิ่งที่ฉินสือโอวซื้อในครั้งนี้คือสาหร่ายทะเลชนิดนี้ สาหร่ายสีน้ำตาลทะเลลึกบอสตันมีขีดจำกัดในการเติบโต ประมาณ 300 เมตร โดยทั่วไปชาวอเมริกันจะใช้มันเพื่อพัฒนาพลังงานใหม่ พลังงานชีวภาพเป็นหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในศตวรรษที่ 21 และในสาหร่ายสีน้ำตาลก็มีพลังงานทางชีวภาพที่แฝงไว้ในปริมาณที่เพียงพอ

ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม สาหร่ายสีน้ำตาลทั่วไปสามารถเติบโตได้ถึง 30 ถึง 60 เซนติเมตรต่อวันและสาหร่ายสีน้ำตาลทะเลลึกบอสตันก็สามารถเติบโตได้ตั้งแต่หนึ่งเมตรครึ่งถึงสองเมตร ซึ่งสาหร่ายทะเลชนิดนี้ใช้เวลาเพียงครึ่งปีในการเจริญเติบโตจนถึงขีดจำกัด จากนั้นก็สามารถทำการผลิตได้

จนกระทั่ง ถ้าเอาสาหร่ายสีน้ำตาลทะเลลึกบอสตันปลูกในสภาพแวดล้อมอย่างอ่าวเม็กซิโก ที่มีทั้งกระแสน้ำอุ่น แสงแดดที่อุดมสมบูรณ์และสารอาหารที่เพียงพอ พวกมันก็จะสามารถเติบโตได้ตลอดทั้งปี ชาวประมงที่อาศัยอยู่ริมทะเลก็สามารถเก็บเกี่ยวสาหร่ายสีน้ำตาลได้สามถึงสี่ครั้งต่อปี

ฉินสือโอวได้จินตนาการไปถึงกำลังการผลิตของสาหร่ายสีน้ำตาลทะเลน้ำลึกบอสตัน เขาต้องการเพิ่มการประมงรอบๆ นิวฟันด์แลนด์ในช่วงเวลาอันสั้น ซึ่งวิธีการแบบดั้งเดิมนั้นไร้ประโยชน์ เขาจึงต้องใช้พลังโพไซดอน

นอกจากนี้อายุขัยของสาหร่ายทะเลน้ำลึกบอสตันโดยทั่วไปจะอยู่ระหว่าง 4 ถึง 8 ปี การเก็บเกี่ยวสาหร่ายสีน้ำตาลก็เหมือนกับการตัดต้นกุ้ยช่าย ขอแค่อายุขัยของพวกมันยังไม่สิ้นสุด ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวใบและเถาวัลย์ได้อย่างต่อเนื่อง

ฉินสือโอวเคยคำนวณว่า ถ้ามีการปลูกสาหร่ายสีน้ำตาลได้ 1,000 ถึงพื้นผิวทะเลหนึ่งเฮกตาร์ จะสามารถเก็บเกี่ยวสาหร่ายสีน้ำตาลสดได้ 1,200 ถึง 2,000 ตันทุกปี

เพื่อความมั่นใจในความต้องการสารอาหาร เขาจึงลงสาหร่ายสีน้ำตาลเพียง 500 ต้นต่อเฮกตาร์และพลังโพไซดอนก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสาหร่ายสีน้ำตาลเป็นอย่างมาก ที่ฟาร์มปลาต้าฉินก็เคยมีประสบการณ์มาแล้ว เนื่องจากการเติบโตที่รวดเร็วของพวกมัน จึงต้องใช้ความต้องการพลังงานเป็นอย่างมากและการปลูกที่มากเกินไปจนหนาแน่น ก็จะเป็นเพียงผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ใช่แผนระยะยาว

ซึ่งเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว หนึ่งตารางกิโลเมตรคือหนึ่งร้อยเฮกตาร์ หนึ่งในห้าของฟาร์มปลาจะปลูกสาหร่ายสีน้ำตาล พูดอีกอย่างก็คือ จากการคำนวณการเก็บเกี่ยวขั้นต่ำ 600 ตันต่อเฮกตาร์ สามารถเก็บเกี่ยวสาหร่ายสีน้ำตาลได้ถึงหกล้านตันต่อปี!

ปริมาณนี้น่ากลัวมาก สมมติว่าอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็น 20% สาหร่ายสีน้ำตาลสดก็จะไม่สามารถใช้ทำเป็นอาหารปลาได้ ดังนั้นจึงต้องตากให้แห้งถึงจะใช้ได้ นอกจากนี้สาหร่ายสีน้ำตาลยังไม่สามารถใช้ทุกส่วนในการทำอาหารปลาได้ แม้ว่าอัตราการแปรรูปอาหารจะอยู่ที่ 20% ก็ตาม ซึ่งถ้าจะอาศัยแค่สิ่งนี้ ฟาร์มปลาของเขาก็จะสามารถผลิตอาหารปลาได้หนึ่งล้านตันต่อปี!

นอกเหนือจากสาหร่ายทะเลชนิดอื่นๆ แล้ว ถ้าลองคิดเล่นๆ ไปมา ก็ยังไม่สามารถสนองความต้องการของฟาร์มปลาทั่วทั้งแคนาดาได้ แต่ก็เพียงพอที่จะฟื้นฟูฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์

หลังจากพลังโพไซดอนเข้าสู่สาหร่ายสีน้ำตาลแล้ว มันก็เริ่มแสดงผลออกมาอย่างรวดเร็ว ต้นกล้างอกยาวขึ้นมาสองถึงสามเซนติเมตรและลำต้นหลักก็งอกออกมาสีเป็นสีเขียวอ่อน มีความหนาประมาณเท่านิ้วก้อยและข้างบนมีจุดเล็กๆ ที่มีความหนาเกิดขึ้น

จุดเล็กๆ เหล่านี้คือเถาวัลย์ของสาหร่ายสีน้ำตาล สาหร่ายสีน้ำตาลสามารถเติบโตได้มากกว่า 100 ก้าน เถาวัลย์และใบไม้เล็กๆ จะงอกบนก้าน เชื่อว่าจะใช้เวลาไม่นาน เพราะทะเลบริเวณนี้จะถูกสาหร่ายทะเลปรับระดับพื้นดิน

โครงการในระยะแรกคือการปลูกสาหร่ายสีน้ำตาล หลังจากสาหร่ายสีน้ำตาลทำให้น้ำทะเลบริสุทธิ์และสะสมสารอาหารที่ก้นทะเลแล้ว สาหร่ายทะเลชนิดอื่นๆ ก็จะตามมาทันที

การปลูกสาหร่ายสีน้ำตาลไม่สามารถทำได้ในวันเดียวหรือสองวัน การปลูกสาหร่ายทะเลมากกว่า 100 ตารางกิโลเมตรต้องใช้ชาวประมงมากกว่า 20 คนในการทำงานและอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์

ฉินสือโอวปล่อยชาวประมงไว้ และก็ไปแฮลิแฟกซ์ เพื่อเตรียมตัวเข้ารับช่วงต่อฟาร์มปลาต่อไป ซึ่งนั่นก็คือการประมูลฟาร์มปลาคาร์เตอร์ที่จะเริ่มในไม่ช้านี้

แม้ว่าจะมีฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์แล้ว แต่เขาก็ยังมีความต้องการฟาร์มปลาคาร์เตอร์เป็นอย่างมาก เพราะนี่เป็นสถานที่ที่ดีมาก ตั้งอยู่ในบริเวณชายทะเลเคจิมกูจิก ทิวทัศน์ที่นี่ก็พอๆ กับเกาะแฟร์เวล หลังจากซื้อที่นี่ นอกจากจะเลี้ยงปลาแล้วก็ยังสามารถเป็นที่พักผ่อนในวันหยุดได้อีกด้วย

เคจิมกูจิกเป็นภาษาอินเดียท้องถิ่น ซึ่งมีความหมายว่า ‘สถานที่ที่เทพเจ้าเฝ้าดู’ หากต้องอธิบายชื่อนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับตำนานของอินเดีย ชาวอินเดียแดงเชื่อในเรื่องผีและเทพเจ้า พวกเขาเชื่อว่าสถานที่ที่มีผีและเทพเจ้าสถิตอยู่นั้นคือบนดวงดาวในท้องฟ้า เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน ผีและเทพเจ้าจะออกลาดตระเวนอาณาเขตของตนเองบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

ดังนั้น อีกความหมายหนึ่งของชื่อนี้ก็คือภายใต้แสงดาว ท้องฟ้าในยามค่ำคืนของที่นี่จะสว่างเป็นพิเศษและยังสามารถมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนที่สุด โดยทั่วไปผีและเทพเจ้าบนดวงดาวยังสามารถมองเห็นอาณาเขตจากที่นี่ได้ชัดเจนที่สุดเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อว่า ‘สถานที่ที่พระเจ้าเฝ้ามอง’

ชื่อนี้คนอินเดียไม่ได้ตั้งเกินจริงเลยสักนิด เคจิมกูจิกเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่เป็น 1 ใน 2 แห่งอุทยานแห่งชาติที่ดีที่สุด ในโนวาสโกเชียและยังเป็นสมาชิกของสมาคมดาราศาสตร์หลวงแห่งแคนาดาอีกด้วย

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท