ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1501 ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใหม่

บทที่ 1501 ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใหม่

เสียงดังสั่นสะเทือนของเครื่องบินดังขึ้น ฉินสือโอวที่ยืนอยู่บนกำแพงชายฝั่งที่สูงชันจึงหันกลับไปมอง เมื่อเสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เงาของรถแทรกเตอร์ทางอากาศก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังของป่า

หลังจากเครื่องบินลำนี้ปรากฏขึ้น ก็มีเครื่องบินที่ใช้ในการเกษตรสองลำปรากฏขึ้นตามมา นี่คือสิ่งที่บิลช่วยเขาในการติดต่อ การสร้างฟาร์มในมหาสมุทรนั้นไม่ง่ายไปกว่าการสร้างฟาร์มในทุ่งหญ้า สำหรับพื้นที่ทะเลที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ ถ้าอาศัยเครื่องบินเพียงลำเดียวนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานช้ามาก

การปลูกสาหร่ายทะเลได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ดังนั้นตอนนี้เครื่องบินต้องพ่นออกมาแต่มันกลับไม่ใช่สาหร่ายทะเลที่ต้องการจะปลูก

แม้ว่าทุกครั้งที่ซื้อสาหร่ายทะเลจะใช้ ‘เมล็ด’ ในการวัดและเรียกมัน แต่จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่เมล็ดในความหมายเดิม สาหร่ายทะเลไม่ได้เกิดจากเมล็ด แต่มันจะแพร่พันธุ์โดยการแยกสปอร์และสิ่งที่เครื่องบินพ่นออกมาก็คือสปอร์ที่แข็งแรง

เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยเห็นบริษัทด้านการเกษตรที่ทำการเพาะปลูกสปอร์สาหร่ายทะเล โดยจะใช้แผ่นลูกแก้วหรือฟิล์มพลาสติกเป็นฐานยึดสปอร์ หลังจากเก็บสปอร์แล้ว สปอร์จะถูกเพาะปลูกในบ้านด้วยวิธีการลาดน้ำ หลังจากเพาะเลี้ยงตัวอ่อนแล้วสปอร์จะลอกออกและเวลานี้ถึงจะสามารถหว่านลงปลูกได้

ด้วยความรีบร้อนที่จะเห็นผลลัพธ์ เมล็ดสาหร่ายทะเลที่เขาซื้อในครั้งนี้จึงไม่ใช่ไมโครสปอร์ แต่เป็นตัวที่โตเต็มที่ที่จะทำการเพาะปลูกในฟาร์ม สาหร่ายทะเลชนิดนี้จะปลูกในบ้านโดยใช้เชือกเป็นตัวดูดซับส่วนบำรุงจากพืชและมีการเพาะสปอโรไฟต์ที่อายุน้อยที่เติบโตได้ถึงหนึ่งถึงสองเซนติเมตร

เมื่อเครื่องบินที่ใช้ในการเกษตรบินผ่านไป ฉินสือโอวก็ถือร่มใสขึ้นและยืนเอียงตัวไปข้างหน้าเขา ชาวประมงกลุ่มหนึ่งตะโกนขึ้นพร้อมกับมองหาสิ่งที่ขวางกั้นพวกเขาอยู่และเมื่อไม่เจอ พวกเขาก็หันหลังให้ทะเล

หลังจากเครื่องบินบินขึ้นสู่ผิวน้ำทะเล ทางเข้าก็เปิดออก ม่านสีขาวก็ปรากฏขึ้นทันที ผงสีขาวที่ล่องลอยพร้อมกับควันหนากระจัดกระจายลงมา หลังจากตกลงไปในน้ำแล้ว น้ำทะเลก็สกปรกมากขึ้น

สิ่งเหล่านี้คือปูนขาว ดังนั้นพวกเขาจึงเพิ่งจะหลบ

สาหร่ายทะเลชุดแรกที่ใส่เข้าไปคือสาหร่ายสีน้ำตาล สปอโรไฟต์ของสิ่งนี้มีความเปราะบางและอร่อยละมุนลิ้นมาก ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารโปรดของเม่นทะเล ปลาดาวและหอยหน้าดินต่างๆ

การใส่ปูนขาวมีจุดประสงค์สองประการคือ เพื่อเปลี่ยน pH ของน้ำทะเลและยับยั้งการทำงานของสัตว์เหล่านี้ในทะเลที่จะกินสาหร่ายสีน้ำตาล อีกประการหนึ่งคือมีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ภายในอ่าวทะเลน้ำจะไม่สามารถไหลเวียนได้ อัตราการหมุนเวียนของในน้ำทะเลก็ช้ามาก ทำให้ปลา กุ้งและสาหร่ายตายได้ หลังจากตายจนเน่าเปื่อยแล้วก็จะไม่สามารถนำออกไปได้ จึงทำให้สะสมอยู่ในพื้นที่เหล่านี้และยังเป็นอาหารของแบคทีเรียจำนวนมาก

สาหร่ายทะเลเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการทำน้ำทะเลให้บริสุทธิ์ แต่สปอโรไฟต์ของพวกมันกลับไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งรอบๆ ตัวมาก เพราะอะไรทำไมในอ่าวทะเลผืนนี้ถึงเหมาะกับการเจริญเติบโตของสาหร่าย แต่ใต้ท้องทะเลกลับไม่ค่อยมีสาหร่ายทะเลเติบโต สาเหตุจึงขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ซึ่งก็คือมีแบคทีเรียมากเกินไปและสปอโรไฟต์จำนวนมากจนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้

สปอร์ของสาหร่ายสีน้ำตาลมีความทนทานต่อความหนาวเย็นได้ดี ดังนั้นจึงสามารถปล่อยลงในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิได้อย่างสบายๆ ซึ่งตอนนี้ในฤดูนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการปล่อยสปอร์สาหร่ายสีน้ำตาล ถ้าคำนวณตามเวลาแล้ว พวกมันเติบโตได้เร็วที่สุดในฤดูร้อนพอดี เมื่อถึงช่วงนั้นพวกมันจะต้องการแสงแดดและสารอาหารอย่างมากที่สุดและสภาพอากาศในฤดูร้อนก็จะสามารถตอบสนองความต้องการในการเจริญเติบโตของพวกมันได้

เครื่องบินทั้งสามลำบินไปมาสองครั้งและผงปูนขาวก็ได้ปกคลุมพื้นที่ทะเลได้ประมาณหลายร้อยตารางกิโลเมตรแล้ว น่านน้ำทะเลผืนนี้เป็นที่ที่ลึกที่สุดและยังอยู่นอกไหล่ทวีป สาหร่ายสีน้ำตาลจึงสามารถเติบโตได้ในน้ำลึกหลายร้อยเมตร

หลังจากปล่อยผงปูนขาวแล้วและตามด้วยสปอโรไฟต์ที่เพาะอย่างเต็มที่แล้ว แน่นอนว่านี่ก็ไม่เหมือนกับการทิ้งเมล็ดพืชบนพื้นดิน มันคือการเอาสปอโรไฟต์เหล่านี้โปรยลงไปก็พอแล้ว

ในความเข้มข้นบางชนิดของสาหร่ายสีน้ำตาลก็เหมือนกับพืชเช่นบวบและองุ่น พวกมันจำเป็นต้องยึดติดกับบางสิ่งเพื่อให้เติบโตได้เร็วขึ้น ถ้าลอยอยู่ในทะเลก็อาจจะถูกคลื่นลูกใหญ่ลอยไปที่ไหนออกไปในที่ที่ไม่สามารถรู้ได้…

สิ่งที่เครื่องบินที่ใช้ในการเกษตรปล่องลงก็คือแพดำแต่ละลำ นี่คือแพผสมพันธุ์รูปสามเหลี่ยมและรูปร่มซึ่งประกอบด้วยโครงพลาสติกและเชือกพลาสติก ภายในจะมีตัวดูดซับส่วนบำรุงจากพืชที่ทำให้สปอโรไฟต์ในสาหร่ายสีน้ำตาลเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถให้พลังงานที่จำเป็นในการเจริญเติบโตเริ่มแรกของสปอโรไฟต์ได้และยังสามารถกลายเป็นสิ่งที่เกาะติดมากับสาหร่ายสีน้ำตาลที่โตเต็มที่ได้อีกด้วย

ประเทศจีนจึงเลือกใช้วิธีเชือกใต้น้ำ ซึ่งจะใช้เชือกพลาสติกเป็นวัสดุตั้งต้นในการยึดตัวอ่อนพืชของสาหร่ายสีน้ำตาลและยึดปลายเชือกทั้งสองด้านไว้ที่ก้นทะเล เพื่อรักษาระยะห่างของเชือกและก้นทะเลให้มั่นคง วิธีนี้จะสะดวกและสามารถปรับชั้นของน้ำในการเพาะปลูกได้ตามความโปร่งแสง

เนื่องจากสาหร่ายสีน้ำตาลสามารถใช้ในการสกัดอัลจิเนตได้ การทำพลาสติกหลากสี แผ่นใยไม้อัดก็สามารถทำเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมยาได้ ในสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ในการเพาะเลี้ยงและการทำฟาร์มในปัจจุบันนี้ ทำให้แคนาดา สหรัฐอเมริกาและเม็กซิโกต่างสนใจการเพาะเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำตาล ซึ่งเป็นรูปแบบเศรษฐกิจทางทะเลชนิดใหม่

ประเทศจีนทำงานในด้านนี้ได้ดีมาก นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลประสบความสำเร็จในการนำสาหร่ายสีน้ำตาลจากเม็กซิโกมาใช้ในช่วงต้นปี 1978 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พื้นที่ชายฝั่งทางตอนใต้ฟาร์มหลายแห่งก็ได้ทำการเพาะเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำตาลเช่นกันและยังได้รับผลกำไรที่น่าพึงพอใจพอสมควร

ฉินสือโอวเคยอ่านข้อมูลว่าประเทศจีนมีการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำตาลได้เป็นอย่างดีและนักสมุทรศาสตร์ในประเทศได้ค้นคว้าและวิจัยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงแพน้ำของสาหร่ายสีน้ำตาลออกมา

ในเทคโนโลยีนี้ แพเพาะเลี้ยงจะแขวนและลอยไปกับเชือกและแพลอยน้ำจะถูกลดระดับลงสู่น้ำเพื่อทำการเพาะเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำตาล ปัจจุบันบางฟาร์มในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาก็ใช้เทคโนโลยีนี้

แม้ว่าเทคนิคนี้จะดีมาก แต่เขาไม่สามารถใช้เทคนิคนี้ได้เนื่องจากสาหร่ายสีน้ำตาลมีความไวต่อแสงค่อนข้างมากและความสว่างของดวงอาทิตย์ก็แตกต่างกันไปทุกวัน ดังนั้นการควบคุมแพน้ำโดยการยืดและหดเชือกบ่อยๆ จึงสามารถทำให้พวกมันอยู่ในชั้นน้ำที่ดีที่สุดในการผสมพันธุ์ตั้งแต่เริ่มจนจบ ดูดซับแสงแดดได้ดีที่สุดและเติบโตได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

เทคนิคนี้ต้องใช้คนงานจำนวนมาก ฟาร์มปลาต้าฉินไม่สามารถจ้างคนงานจำนวนมากเพื่อปรับตำแหน่งของแพน้ำได้ นอกจากนี้เขาก็ไม่ใช่ฟาร์มสาหร่ายทะเลโดยเฉพาะ หลังจากปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของฟาร์มปลาให้ดีขึ้นแล้ว เขาก็ยังจะเลี้ยงปลาต่อไป

หลังจากสาหร่ายสีน้ำตาลสามารถอยู่รอดได้ในน่านน้ำทะเลผืนนี้แล้ว จะสามารถเปลี่ยนเป็นป่าใต้น้ำและปกคลุมน่านน้ำทะเลทั้งหมด ทำให้พัฒนาเป็นฟาร์มปลาคุณภาพตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นที่ดึงดูดของอาหารทะเลมีค่า อย่างเช่นปลาทูน่า ปลิงทะเลและหอยเป๋าฮื้อ

แพน้ำชนิดนี้ที่เขาซื้อมา หลังจากทิ้งลงไปในน้ำแล้วจะจมลงใต้น้ำได้ถึงสามเมตรถึงเจ็ดเมตร ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิปริมาณแสงแดดในชั้นน้ำนี้จึงค่อนข้างเหมาะสมมากกว่า

เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่ง ตามการเติบโตของสาหร่ายสีน้ำตาล พวกมันจะต้องการแสงแดดมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้คนงานมาควบคุม ในใบของสาหร่ายสีน้ำตาลจะมีถุงลม หลังจากที่พวกมันโตขึ้นก็จะเกาะแพน้ำค่อยๆ ลอยขึ้นไปและยังปรับชั้นน้ำเองเพื่อการเจริญเติบโต

แพน้ำแต่ละแพถูกทิ้งลง ฉินสือโอวโบกมือไปมา ชาวประมงจึงตะโกนเรียกเรือฮาวิซท จากนั้นก็ขับไปที่ทะเล เพราะพวกเขาต้องทำงาน

ต่อไปสิ่งที่ต้องทำคือจัดเตรียมโครงเพื่อให้สาหร่ายสีน้ำตาลเลื้อยขึ้นไป อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าใบของสาหร่ายสีน้ำตาลจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อดูดซับแสงแดด หลังจากเติบโตได้เต็มที่ แต่ถึงอย่างไรแรงในการลอยตัวก็มีจำกัด จึงควรมีโครงให้พวกมันเลื้อยจะดีกว่า

นอกจากนี้ ประโยชน์ของโครงเลื้อยยังมีหน้าที่ที่สำคัญกว่า นั่นคือแหล่งรวบรวมของสาหร่ายสีน้ำตาล จากนั้นสาหร่ายสีน้ำตาลเหล่านี้จะถูกรวบรวมเพื่อเป็นอาหารปลา ซึ่งการมีแหล่งรวบรวมจะสะดวกต่อการรวบรวมมาก

ฉินสือโอวไม่เคยทำงานนี้มาก่อน เมื่อก่อนที่ฟาร์มปลาต้าฉินเพาะเลี้ยงสาหร่ายสีน้ำตาล โดยไม่ใช้โครงเพื่อให้สาหร่ายเลื้อยขึ้น เพราะถึงอย่างไรสาหร่ายสีน้ำตาลก็ไม่จำเป็นต้องเก็บรวบรวมพวกมันขึ้นมา พวกมันสามารถค่อยๆ เจริญเติบโตได้และอยู่รอดได้ตามต้องการ

แต่จุดประสงค์แตกต่างกัน มันใช้ไม่ได้ในฟาร์มปลาต้าฉินสอง สาหร่ายสีน้ำตาลได้กลายเป็นผลผลิตทางเศรษฐกิจไปแล้วและต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุดเพื่อให้พวกมันเจริญเติบโต

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท