ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1507 ปะทะกัน

บทที่ 1507 ปะทะกัน

เมื่อเข้ามาในศาล ฉินสือโอวก็หาที่นั่งด้านหลังตามปกติ เมื่อเขานั่งได้สักพัก ทั้งสองคนก็จูงมือกันออกมาด้วยกันและยื่นมือมาหาเขาอย่างตื่นเต้นพร้อมพูดว่า “สวัสดีครับท่านประธาน ดีใจมากที่ได้พบคุณที่นี่”

ฉินสือโอวมีความจำที่ดีเยี่ยม เขามองไปที่พวกเขาทั้งสองคนและหันกลับมาและนึกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็นึกถึงตัวตนของพวกเขา ทั้งสองคนนี้เป็นสมาชิกของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์และเป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในรัฐโนวาสโกเชีย

แต่เขาจำชื่อของทั้งสองคนไม่ได้จึงขานชื่อก่อน “ผมก็ดีใจมากที่ได้พบทั้งสองคน ตั้งแต่แยกทางกันที่ออตตาวา ผมยังคิดว่าอีกนานกว่าจะได้พบกับพวกคุณ”

เมื่อพูดแบบนี้แล้ว ก็ถือว่าเขาหลีกเลี่ยงความอับอายได้อย่างเหมาะสมและให้พวกเขารู้ว่าอย่างน้อยเขาก็จำตัวตนของทั้งสองคนได้

เมื่อถึงตำแหน่งของเขา เขาแค่ต้องจำทั้งสองคนให้ได้ก็ถือว่ารักษาหน้าพวกเขาแล้ว

เจ้าของฟาร์มปลาทั้งสองคนแนะนำตัวเองอย่างมีสติ คนตัวสูงชื่อหลุยส์และชายวัยกลางคนตัวอ้วนเตี้ยชื่อฮูเวอร์ บัดจ์ จากนั้นก็ถามเขาว่ามาเข้าร่วมการประมูลฟาร์มปลาคาร์เตอร์ใช่ไหม

ฉินสือโอวตอบรับอย่างสุภาพและถามว่าทั้งสองคนสนใจใช่ไหม

หลุยส์ถูฝ่ามือไปมาและพูดว่า “ตอนแรกผมก็สนใจเล็กน้อย เดาว่าฟาร์มคาร์เตอร์คงจะไม่ได้มีราคาสูง แต่เมื่อเห็นว่าท่านประธานก็มาด้วย ผมก็รู้เลยว่าไม่มีใครได้มีโอกาสแล้ว ฟาร์มปลานี้ต้องตกเป็นของคุณแน่นอน”

ฮูเวอร์พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ เรามาที่นี่เพื่อร่วมสนุกเท่านั้นเอง แน่นอนว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นสักขีพยานที่ท่านประธานจะซื้อฟาร์มปลาแห่งนี้”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างพอใจเมื่อเขาได้ยินคำพูดเยินยอของทั้งสอง เขารู้สึกว่าถ้าตัวเองได้เป็นจักรพรรดิในสมัยโบราณได้ เขาจะเป็นราชาที่ทรราชแน่นอน โชคดีที่แม้ว่าเขาจะชอบฟังแต่สิ่งดีๆ แต่เขาก็สามารถรับรู้ถึงความเป็นจริงในปัจจุบันได้ เมื่อมีตระกูลมอร์รี่กำลังจับตาอยู่ เขาก็อาจจะไม่สามารถประมูลฟาร์มปลาแห่งนี้ไปได้

เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขอบคุณมากสำหรับคำชมของคุณ แต่พูดตามตรงนะ ผมกลัวว่าจะไม่สามารถประมูลฟาร์มปลานี้ไปได้หรอก เคยเห็นคนเหล่านั้นไหม? พวกเขาคือตระกูลมอร์รี่ คุณรู้จักไหม? พวกเขาก็สนใจฟาร์มปลาแห่งนี้เช่นกัน”

ที่แรกที่ตระกูลมอร์รี่เข้ามาในแคนาดาคือรัฐโนวาสโกเชีย ดังนั้นเจ้าของฟาร์มปลาทั้งสองจึงรู้จักเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ทั้งสองก็ยังคงพูดประจบฉินสือโอวอย่างกระตือรือร้น เพราะถึงอย่างไรการพูดสิ่งดีๆ ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย

ผู้พิพากษาที่เป็นประธานในการประมูลเข้ามาในห้อง ทุกคนจึงเงียบลงและการประมูลก็เริ่มขึ้น

ตั้งแต่มาถึงแคนาดา ฉินสือโอวได้เข้าร่วมการประมูลอยู่หลายครั้ง ซึ่งตอนนี้เขาก็คุ้นเคยกับที่นี่แล้ว การประมูลเหล่านี้จะดำเนินการตามลำดับมูลค่าจากต่ำไปสูง

ดังนั้นลำดับก่อนหน้าจึงไม่มีอะไรเกี่ยวกับตัวเขา เขาฟังอย่างเงียบๆ ส่วนใหญ่เป็นการประมูลรถยนต์ เรือและอสังหาริมทรัพย์เป็นจำนวนมาก จากที่ได้ฟังการแนะนำของสิ่งของเหล่านี้ล้วนมาจากการประมูลจากธนาคาร หรือพูดอีกอย่างคือสิ่งของประมูลเหล่านี้มาจากผู้กู้เงินธนาคาร ถูกยึดและหักกลบลบหนี้

ตอนที่ประมูลฟาร์มปลาแกธเธอริงครั้งที่แล้ว ฉินสือโอวก็เห็นค่าคอมมิชชั่นสินค้าขึ้นประมูลของธนาคารที่ศาลเซนต์จอห์น แต่จำนวนน้อยกว่าครั้งนี้ ดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจของรัฐโนวาสโกเชียจะแย่กว่าของนิวฟันด์แลนด์

ชาลส์ มอร์รี่หันกลับมามองอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นเรื่อยๆ

ฉินสือโอวเดาว่าเขาคงจะเข้าใจอยู่แล้ว เขาเพิ่งจะโดนหลอก ฉินสือโอวมาที่นี่และเป้าหมายของเขาคือฟาร์มปลาคาร์เตอร์

หลังจากผ่านช่วงพักไปสองรอบ รอบสุดท้ายก็เริ่มขึ้นและฟาร์มปลาคาร์เตอร์ก็ถูกนำออก

ฟาร์มปลาแห่งนี้เป็นการประมูลที่เจ้าของทั้งหมด รวมถึงเรือประมงสี่ลำ บ้านสิบห้าหลังและรถกระบะสองคัน ราคา 67 ล้านดอลลาร์แคนาดาและทุกครั้งที่เสนอราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งล้านดอลลาร์

ถ้าครั้งนี้ไม่สามารถประมูลฟาร์มปลาออกได้ จะมีการเปิดการประมูลและจะเสนอราคาเรือประมง บ้าน รถกระบะและฟาร์มปลาแยกกัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจะง่ายกว่ามาก

ทันทีที่ราคา 67 ล้านดอลลาร์แคนาดาออกมา ฉินสือโอวถึงกับผงะ จากข้อมูลภายในที่แมทธิว จินบอกเขา ราคาประมูลของฟาร์มปลาไม่ควรเกิน 60 ล้านดอลลาร์แคนาดา คิดไม่ถึงว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 10% อย่างกะทันหัน

แน่นอนว่าราคา 67 ล้านก็ไม่แพงเลยสักนิด ภายใต้สถานการณ์ปกติ มูลค่าของฟาร์มปลาคาร์เตอร์จะลอยตัวสูงถึง 100 ล้านดอลลาร์แคนาดา จะต้องรู้ว่าช่วงแรกที่ฉินสือโอวเข้ามารับช่วงต่อฟาร์มปลาต้าฉิน ฟาร์มปลาต้าฉินไม่ได้มีผลผลิตหรือการลงทุนมานานกว่าสิบปีและธนาคารยังได้ประมาณราคาไว้มากกว่า 40 ล้านดอลลาร์แคนาดา

ซึ่งราคานี้ไม่ได้สูงนัก แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่จับจ้องฟาร์มปลาคาร์เตอร์สามารถใช้เพื่อการประมงเท่านั้น ดังนั้นกลุ่มคนที่สนใจในฟาร์มปลาแห่งนี้จึงมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือเจ้าของฟาร์มปลาและอีกกลุ่มคือคนที่วางแผนจะลงทุนในอุตสาหกรรมการประมง

ภายใต้สภาพแวดล้อมของอาหารทะเลที่เลวร้ายในปัจจุบัน ความเป็นไปได้ที่สองนั้นค่อนข้างน้อย ไม่มีใครเข้ามาในเกมนี้และที่มาทั้งหมดล้วนเป็นเจ้าของฟาร์มปลา แต่ในหมู่เจ้าของฟาร์มปลามีไม่กี่คนที่ร่ำรวย ฟาร์มปลาพวกเขารู้ว่าฟาร์มปลาคาร์เตอร์มีมูลค่ามากกว่า 67 ล้านดอลลาร์แคนาดา แต่พวกเขาไม่มีเงินมากขนาดนั้น จึงทำได้แค่เฝ้าดู

แต่ยังมีบางคนที่เสนอราคา หลังจากที่ผู้พิพากษาพูดจบ ก็มีคนยื่นแขนออกมาทันทีเพื่อแสดงว่าตัวเองยอมรับข้อเสนอราคานี้

สิ่งที่เจ้าของฟาร์มปลาที่เสนอราคาคิดก็คือ ถ้าสามารถประมูลฟาร์มปลาคาร์เตอร์ได้ในราคานี้ ก็จะสามารถทำเงินได้อย่างน้อยสิบแปดล้านดอลลาร์แคนาดาหลังจากขายต่อ ดังนั้นแล้วทำไมไม่ลองเข้าร่วมดูสักหน่อยล่ะ?

การเสนอราคาก่อนหน้านี้เกือบทั้งหมดเป็นไปตามแนวคิดนี้ ดังนั้นราคาประมูลจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 67 ล้านเป็น 75 ล้าน

เมื่อราคาถึงจำนวนนี้ คนที่เสนอราคาก็จะลดลงและถ้าสูงขึ้นไปอีกจะมีความเสี่ยง ไม่ใช่ว่าฟาร์มปลาไม่คุ้มค่ากับราคานี้ แต่จะยากในการขายต่อในราคานั้น หากขายไม่ได้ก็จะต้องทุบทิ้งด้วยตัวเอง!

ขณะนี้ ชาลส์เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว เขายกแขนขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “80 ล้าน!”

จุดประสงค์ของชาลส์ในการทำแบบนี้เพื่อสร้างความกดดันทางจิตใจให้กับฝ่ายตรงข้าม ด้วยข้อเสนอมากมายที่จะสร้างแรงผลักดันของตัวเองและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการประมูลฟาร์มปลาแห่งนี้ให้ได้ ดูเหมือนจะเป็นการเสนอราคาที่มากเกินไป แต่ถ้ามันทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจก็มักจะสามารถทำให้ประหยัดเงินได้

แต่ในกรณีนี้ ผู้ประมูลไม่สามารถมีศัตรูได้ ไม่อย่างนั้นฝ่ายตรงข้ามจะฉวยโอกาสโจมตีได้ง่าย

น่าเสียดายที่ชาลส์มีศัตรูอยู่ที่นี่นั่นก็คือฉินสือโอว “90 ล้าน!”

เมื่อได้ยินราคาเสนอนี้ เจ้าของฟาร์มที่ชื่นชมผลงานของชาลส์ต่างก็ตกตะลึงทันที พร้อมกับหันกลับไปมองผู้พูดอย่างพร้อมเพรียงกัน สุดท้ายพวกเขาก็พบว่าชายหนุ่มที่ยกแขนขึ้นนั้นเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย

คนที่เสนอราคาก็คือเบิร์ด ซึ่งขณะนี้เบิร์ดกำลังแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึก

“คนคนนี้เป็นใคร? ไม่เคยเห็นมาก่อน”

“เศรษฐีคนไหนสนใจฟาร์มปลาแห่งนี้ ไม่น่าใช่นะ ถ้ารวยมากทำไมไม่เล่นอสังหาริมทรัพย์ล่ะ? คงไม่มาระดับไฮเอนด์แบบนั้นหรอก?”

“ผู้ชายคนนี้ดูไม่เหมือนคนรวย ดูจากลักษณะของเขาแล้ว เขาไม่ได้มาทำให้เสียบรรยากาศใช่ไหม?”

“ไอ้โง่ มองดูชายหนุ่มข้างๆ สิ เขาเป็นแค่บอดี้การ์ด ชายหนุ่มข้างๆ เขาสิถึงจะสุดยอด!”

“นั่นใคร?”

“ฉินคนจีน! เจ้าของฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดในนิวฟันด์แลนด์หรืออาจจะเป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดาก็เป็นได้และยังเป็นประธานพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์คนปัจจุบัน!”

“เหอะๆ!”

เสียงลมหายใจอันเย็นยะเยือกดังขึ้น ฉินสือโอวจึงมองไปที่ ชาลส์ด้วยความเย็นชา นี่เป็นคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวของเขา

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท