ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1488 สวยงามไม่ธรรมดา

บทที่ 1488 สวยงามไม่ธรรมดา

ฉินสือโอวจับมือกับเฟอร์กูสัน อย่างที่คิด เขาแนะนำตัวเองว่า “ผมทำงานที่หอสันติภาพ เป็นคน อืม สามารถเรียกว่าเป็นยามรักษาการณ์ แน่นอนว่าหากต้องแนะนำตัว ผมชอบแนะนำตัวเองว่าเป็นคนตีระฆังมากกว่า ดังนั้นคุณสามารถเรียกผมว่ากาซีโมโด”

กาซีโมโดเป็นบุคคลหนึ่งใน ‘มหาวิหารน็อร์ธดามแห่งปารีส’ ที่มีชื่อเสียงของโลก เขาเป็นคนตีระฆังคนหนึ่ง มีรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ถึงที่สุด รูปหน้าหลายเหลี่ยม จมูกทรงสี่หน้า ปากรูปเกือกม้า ฟันที่ไม่เรียบเสมอกัน ตาบอดหนึ่งข้าง หูหนวก หลังค่อม…

แต่ว่าเขากลับเป็นคนที่มีจิตใจดีที่สุด ซื่อสัตย์ที่สุด กล้าหาญที่สุดของตัวละครชายทั้งหมดในหนังสือ มีคุณธรรมทั้งหมดที่ผู้ชายควรมี

ฉินสือโอวบอกว่า “อย่างนั้นนายก็เป็นคนตีระฆังที่หล่อมาก ใช่สิ เพื่อน งานตำแหน่งนี้ของนายยังไม่เลวใช่ไหม?”

เฟอร์กูสันหัวเราะขึ้นมา บอกว่า “ยังดี อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวทั้งบ้านได้ นี่จะต้องขอบคุณผลงานที่ผมเคยทำไว้ตอนเข้ารับราชการในกรมทหาร มันช่วยทำให้ผมได้รับงานแบบนี้”

พูดอยู่ เขาก็ส่ายหัวอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ในกรม พวกเราเหมือนเป็นฮีโร่ที่เต็มไปด้วยพลังและเลือดร้อน หลังเกษียณเข้าสู่สังคม สามารถหางานได้อย่างผมก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”

“แต่ในตอนนี้ อย่างน้อยคุณก็สามารถมีชีวิตอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบปลอดภัย ที่จริงไม่จำเป็นจะต้องเป็นฮีโร่เสมอไป ไม่ใช่หรือ?” ฉินสือโอวบอกเรียบๆ

เฟอร์กูสันยักไหล่ ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วเชิญพวกเขาขึ้นไปยังหอสันติภาพ

บนหอสันติภาพยังมีระเบียงชมวิว นี่เป็นถึงสถาปัตยกรรมที่สูงที่สุดในออตตาวา สามารถยืนดูทั่วทั้งเมืองได้จากข้างบน และสามารถชมวิวอันสวยงามของแม่น้ำออตตาวาได้

ฉินสือโอวและวินนี่ชมวิวด้านล่าง เฟอร์กูสันต้มกาแฟยกมาให้ทั้งสองคน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ปกติเวลาที่ผมอารมณ์ไม่ดี ผมจะมาดื่มกาแฟแก้วหนึ่งที่นี่ หลังดื่มทั้งอารมณ์และจิตใจก็จะดีมาก”

ระหว่างดื่มกาแฟหอมๆ ฉินสือโอวพูดขึ้นว่า “เป็นอย่างนี้นะ เพื่อน ตอนนี้ผมไม่ได้มีเรื่องอะไรกวนใจ แต่ดื่มกาแฟพร้อมชมวิวสวยๆ อยู่ที่นี่ อารมณ์ก็ดีขึ้นอย่างมากเลยจริงๆ”

เฟอร์กูสันหัวเราะ เขาบอกว่า “มาเถอะ ผมจะพาพวกคุณไปดูการียง นั่นเป็นตัวที่ดีที่สุดของที่นี่ เป็นตัวที่ใหญ่มากๆ!”

การียงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของหอสันติภาพ มีระฆังสำริด 53 ใบประกอบขึ้น ครอบคลุมบันไดเสียง 4 ชุดครึ่ง น้ำหนักรวม 66 ตัน

เฟอร์กูสันแนะนำว่า “เสียดายที่พวกคุณมาไม่ถูกเวลา ถ้าหากมาตอนบ่าย งั้นเวลาตอนบ่ายโมงสามารถได้ยินเสียงดังกังวานที่มันปล่อยออกมา”

สุดท้าย ทั้งสองคนก็ไปดูนาฬิกาสี่หน้าของหอสันติภาพ ภายในห้องหนึ่งมีกลไกเริ่มต้นของนาฬิกา เริ่มใช้งานในปี 1927 ทุกๆ 30 วินาทีจะเช็กเวลากับหอดูดาวของทางการครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันเวลาคลานเคลื่อน

แต่ว่าตอนนี้กลไกแบบนี้ถูกยกเลิกนานแล้ว ตั้งแต่ปี 1970 นาฬิกาก็เริ่มใช้จักรกลไฟฟ้ามาใช้นับเวลา แบบนี้จะยิ่งแม่นยำ

ทริปเที่ยวชมของพวกเขาที่พบโดยบังเอิญนี้เพิ่มสีสันไม่น้อย ตอนที่จากไปเฟอร์กูสันได้ให้กระดิ่งแก่ทั้งสองคนหนึ่งใบ บอกว่าเป็นกระดิ่งที่ถอดออกมาตอนที่หอสันติภาพทำการบูรณะ สามารถใช้เป็นของที่ระลึกได้

เที่ยวข้างนอกจนถึงแปดโมง อาคารรัฐสภาและส่วนงานต่างๆ เริ่มทำงาน มีบางพื้นที่สามารถเที่ยวชมได้ อย่างเช่นหอสมุดและห้องประชุมต่างๆ

ภายในห้องประชุมตกแต่งได้โอ่อ่าตระการตา ฉินสือโอวรู้สึกว่าวันหลังถ้ามีคนบอกกับเขาว่าอาคารสำนักงานของทางการต่างประเทศประหยัดมัธยัสถ์ขนาดไหน เขาจะต้องตบคนนั้นแน่ ดูได้จากการตกแต่งของห้องประชุม ฉินสือโอวไม่เคยเห็นอาคารของทางการไหนที่จะแข่งกับมันได้

หอประชุมรักษาการตกแต่งและตำแหน่งที่นั่งเหมือนกันกับของหอประชุมสภาอังกฤษ เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แท่นปราศรัยเป็นใจกลางของห้อง พรรคฝ่ายรัฐบาลนั่งด้านขวา เหล่าพรรคฝ่ายค้านนั่งด้านซ้าย

ต่อมาก็เที่ยวชมหอสมุด ทางที่จะไปสถานที่นี้ จะต้องเดินผ่านทางเดินยาวๆ ทางหนึ่ง

วินนี่แนะนำให้เขา บอกว่าทางเดินเส้นนี้เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่สำคัญของเนินแคปพิตอล ได้สร้างผลงานเอาไว้ เนินแคปพิตอลเคยเกิดเหตุไฟไหม้มาก่อน ทางเดินนี้ทำการแยกหอสมุดออกจากอาคารอื่นๆ ดังนั้นจึงป้องกันหอสมุดจากเหตุไฟไหม้ไว้ได้

ห้องอ่านหนังสือหลักของหอสมุดเป็นห้องทรงโค้ง ตรงกลางมีรูปปั้นราชินีวิคตอเรียตั้งอยู่ รอบข้างเป็นรูปปั้นอดีตนายกรัฐมนตรีของแคนาดา

เดินอยู่ในหอสมุด ฉินสือโอวอดถอนใจไม่ได้ กล่าวว่า “โชคดีที่ตอนนั้นหลีกเลี่ยงเหตุไฟไหม้ครั้งนั้นไว้ได้ ไม่อย่างนั้นหนังสือเยอะขนาดนี้ คงจะหมดกันแน่เลย! นี่ต้องสูญเสียเท่าใดกันเนี่ย!”

วินนี่บอกว่า “ไม่เพียงแต่ปัญหาเรื่องหนังสือ วัสดุที่ใช้สร้างหอสมุดก็เป็นไม้ล้วน ถ้าหากไฟไหม้ขึ้นมา ไม่นานก็ทำลายสถานที่แห่งนี้ได้”

ฉินสือโอวเกาหัวถามว่า “สถาปัตยกรรมไม้ล้วน? ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนเป็นวัสดุหินล่ะ?”

วินนี่อธิบายว่า “เป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนอาคารรัฐสภาก็ใช้ไม้ล้วนในการสร้าง ต่อมาเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ถูกทำลายไปไม่ใช่เหรอ? ตอนที่สร้างใหม่เลยได้รับบทเรียน เปลี่ยนมาใช้วัสดุหินในการสร้างทั้งหมด ตอนนั้นมีเพียงแค่หอสมุดนี้เท่านั้นที่ยังคงรักษาโครงสร้างไม้ล้วนเอาไว้ได้”

“น่าจะผ่านมาอีกสี่ห้าสิบปี เนินแคปพิตอลเกิดเหตุไฟไหม้อีกครั้ง ครั้งนี้อาคารรัฐสภาที่ใช้หินจึงรอดพ้นไฟไหม้ แต่ว่าหอสมุดกลับไฟไหม้ขึ้น ดังนั้นตอนที่สร้างใหม่ ที่นี่เองก็ใช้หินเป็นวัสดุหลักด้วย”

ฉินสือโอวหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา กล่าวว่า “เนินแคปพิตอลนี่คือไม่ถูกกับไฟขึ้นมาแล้วสินะ?”

คนดูแลของหอสมุดเริ่มมาทำงานแล้ว มีคนจำฉินสือโอวได้ ทักทายเขา ชื่นชมความกล้าหาญของเขาในคดีฆาตกรรมบนทะเล จากนั้นถามเขาว่าทำไมไม่พาหู่จือและเป้าจือดาราน้อยทั้งสองตัวมาด้วย

วันนี้แลบราดอร์อยู่กับแบล็คไนฟ์ เพราะว่าหลังจากนี้ฉินสือโอวต้องเข้าประชุม พาพวกมันมาที่เนินแคปพิตอลไม่สะดวก

เขาอธิบายไปอย่างนี้ คนดูแลที่นั่นทำสีหน้าเสียดาย บอกว่าเขาชอบสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์มาก เป็นแฟนคลับของหู่จือและเป้าจือ ยังสมัครบัญชีทวิตเตอร์เพื่อติดตามเจ้าตัวน้อยทั้งสองโดยเฉพาะ

ฉินสือโอวขอบใจแทนหู่จือและเป้าจือ คนดูแลให้หนังสือเขาเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือแนะนำเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ แนะนำสุนัขประเภทนี้ทุกด้าน

เดินวนไปรอบหนึ่ง พระอาทิตย์ขึ้นสูง อุณหภูมิของออตตาวาอบอุ่นขึ้นมา ฉินสือโอวซื้อชานมร้อนมาสองแก้ว หาที่นั่งในลานสนามนั่งลงพักผ่อนกับวินนี่

พวกเขานั่งลงไม่เท่าไหร่ ก็มีกระรอกน้อยกระโดดโลดเต้นวิ่งมา มันจ้องมองฉินสือโอวอย่างสนใจ ใช้จมูกดม มองดูเขาอย่างสงสัย จากนั้นก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้ กระโดดนั่งลงบนรองเท้าหนังของเขา

วินนี่ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาอยากจะถ่ายสักรูป จากนั้นก็ยิ้มแล้วไม่ได้ทำอย่างนั้น เธอกลัวว่าจะทำให้กระรอกน้อยตกใจหนีไป

ฉินสือโอวเดาว่า กระรอกน้อยนี้คงจะถูกกลิ่นของเสี่ยวหมิงบนตัวเขาดึงดูดมาเป็นแน่ ไม่อย่างนั้นแม้ว่าสัตว์ที่นี่จะไม่กลัวคน ก็คงไม่เข้าใกล้คนมากขนาดนี้

แคนาดาจัดการดูแลสิ่งแวดล้อมได้ดีจริงๆ แม้ว่าออตตาวาจะเป็นเมืองหลวง นอกจากกระรอกน้อยแล้ว พวกเขายังเห็นกราวด์ฮอกอ้วนถ้วนกลุ่มหนึ่งในลานสนามนี้ด้วย

กราวด์ฮอกน้อยจากไป ก็มีนกพิราบฝูงหนึ่งมา กราวด์ฮอกพักผ่อนเป็นเพื่อนฉินสือโอวที่ลานสนามนี้สักพัก เห็นว่าใกล้เวลาเริ่มประชุมแล้วถึงจากไป

………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท