ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1512 ห้องกิจกรรมบันเทิงเหนือกาลเวลา

บทที่ 1512 ห้องกิจกรรมบันเทิงเหนือกาลเวลา

สิ่งที่พ่อของจับบาร์ทิ้งไว้ให้เขาไม่ได้มีเพียงฟาร์มปลาแห่งนี้แค่อย่างเดียว แต่ยังมีบาร์เหล้าอีกร้านหนึ่งในโทรอนโต ความฝันที่จะเป็นดีเจของเขาก็ยังคงติดอยู่กับที่นั่น และเหตุผลที่เขาต้องการขายฟาร์มปลาดารานั้นก็ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขาไม่อยากบริหารจัดการฟาร์มปลา แต่ยังเป็นเพราะว่าเขาต้องการเงินเพื่อไปจ่ายภาษียืนยันมรดกด้วย

แบบนี้ฉินสือโอวก็เข้าใจได้

ตามธรรมเนียมแล้วแคนาดาไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าภาษีมรดก แต่หากจะรับมรดกจากบรรพบุรุษก็ต้องทำการจ่ายภาษี ซึ่งภาษีที่ต้องจ่ายในที่นี้ก็คือภาษียืนยันมรดก ฉินสือโอวรู้จักภาษีประเภทนี้ค่อนข้างดีเลยล่ะ ตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเกาะแฟร์เวลเขาก็มีภาษีประเภทนี้ติดอยู่กับตัวแล้ว

ตอนนี้จับบาร์ก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขา ที่ก็เคยมีภาระก้อนนี้เหมือนกัน

แล้วอะไรคือภาษียืนยันมรดกน่ะเหรอ? กล่าวคือหากทายาทตามที่ได้ระบุไว้ในพินัยกรรมจะรับมรดกตามที่ได้ระบุไว้ ก็จะต้องให้ศาลชาติทำการพิสูจน์ยืนยันทรัพย์สินทั้งหมดตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมก่อน โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้าน รถยนต์ ฟาร์มปลา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ฟาร์มเกษตร การพิสูจน์ทรัพย์สินเหล่านี้จะต้องถูกเก็บค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การบังคับ ทายาทผู้รับมรดกจะไม่ไปที่ศาลเพื่อทำการพิสูจน์ยืนยันทรัพย์สินก็ได้ แต่หากเป็นเช่นนี้ผู้รับมรดกก็จะไม่สามารถสืบทอดทรัพย์สินตามพินัยกรรมได้ เนื่องจากรัฐจะถือว่าทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และอาจกล่าวได้ว่าอาจจะมีกลุ่มผู้กระทำผิดกฎหมายเจตนาใช้วิธีนี้ในการฟอกเงินก็ได้

แคนาดาก็เหมือนกันกับอเมริกา ที่เชื่อว่าทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นสิ่งที่ไม่อาจละเมิดได้ ทว่าทรัพย์สินส่วนบุคคลถือเป็นสินทรัพย์ส่วนตัว ไม่ใช่ของบุคคลในครอบครัว ตัวอย่างเปรียบเทียบที่มีให้เห็นก็คือ กรณีของโคบี ไบรอันท์นักบาสชื่อดังชาวอเมริกันที่เคยฟ้องพ่อแม่ที่แอบนำเหรียญรางวัลของเขาไปจำหน่ายเพื่อให้เป็นทรัพย์สินส่วนตัว หลังจากนั้นศาลก็ได้ตัดสินให้เขาชนะคดีนี้ เนื่องจากทรัพย์สินเหล่านั้นเป็นของโคบี

ตราบใดที่ยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากศาล ฟาร์มปลาแห่งนี้จะยังไม่ใช่ของจับบาร์ แต่เป็นทรัพย์สินของพ่อเขา ตอนนี้พ่อของเขาเสียชีวิตแล้ว ถ้าเขาต้องการที่จะสืบทอดฟาร์มปลากับบาร์เหล้า เขาก็ต้องจ่ายเงินให้กับรัฐก่อน

พ่อของจับบาร์ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบอย่างรุนแรงตั้งแต่ประมาณแปดปีก่อนเขาก็ไม่สามารถดูแลฟาร์มปลาได้แล้ว ในตอนนั้นเพื่อที่จะรับการรักษา ครอบครัวของพวกเขาจึงย้ายไปอยู่ที่โทรอนโต และในตอนนั้นกิจการประมงของแคนาดาก็อยู่ในช่วงช่วงปลายของยุครุ่งเรือง ครอบครัวของเขาร่ำรวยไม่น้อย ดังนั้นนอกจากจะรักษาอาการเจ็บป่วย พ่อของเขายังได้ลงทุนกับบาร์เหล้าขนาดใหญ่อีกด้วย

แต่ปรากฏว่าการรักษาโรคทำให้พวกเขาเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นสถานการณ์โดยรวมของอุตสาหกรรมประมงก็เริ่มทรุดลงไปเรื่อยๆ เพื่อความฝันที่จะเป็นดีเจ จับบาร์จึงพยายามทำมันอยู่หลายครั้งหลายครา พยายามทำอยู่หลายครั้งครอบครัวเขาก็เหลือเงินอยู่ไม่เท่าไรแล้ว หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตและจัดงานศพเพื่อเป็นเกียรติให้พ่อของเขาเสร็จ เขาก็ไม่เหลือเงินแม้แต่จะจ่ายภาษียืนยันมรดก

ที่แคนาดา ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้สามารถชำระภาษียืนยันมรดกได้ นั่นก็คือการกู้เงินมาจ่าย แล้วค่อยนำเงินไปคืนนั่นเอง ธนาคารยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะปล่อยเงินกู้ให้กับบรรดาลูกหลานทายาทเศรษฐี

แต่จับบาร์คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น เขาแค่อยากรีบขายฟาร์มปลาให้ได้เร็วๆ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำเรื่องผ่านธนาคาร ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเสียเวลากับการทำเรื่องคืนเงินธนาคารอีก

หลังจากทราบเรื่องทั้งหมดอย่างแน่ชัด ฉินสือโอวก็วางใจได้แล้ว หลังจากนั้นเออร์บักก็จะรีบตามมา เขาร่างสัญญาขั้นต้นเสร็จตั้งแต่ยังอยู่บนเครื่องบินแล้ว ฉินสือโอวจ่ายเงินให้จับบาร์ก่อนหนึ่งล้านดอลลาร์ เพื่อให้เขาไปชำระภาษียืนยันมรดก แล้วค่อยมาทำการตกลงซื้อขายฟาร์มปลาให้เสร็จ

สถานการณ์ของจับบาร์ในตอนนี้น่าสงสารกว่าฉินสือโอวในตอนนั้นมาก มาตรฐานอัตราการเก็บภาษีของรัฐนิวฟันด์แลนด์ถูกกำหนดไว้ว่า จะเก็บภาษีก็ต่อเมื่อมรดกมูลค่ามากกว่า สองหมื่นห้าพันดอลลาร์ขึ้นไป โดยจะเก็บภาษีล้านละหนึ่งหมื่นสี่พันดอลลาร์ เป็นรัฐที่มีอัตราการเก็บภาษีต่ำที่สุดจากทุกรัฐในแคนาดา รัฐโนวาสโกเชียก็เก็บภาษีจากมรดกที่มีมูลค่าสองหมื่นห้าพันดอลลาร์ขึ้นไปเช่นกัน แต่จะต้องจ่ายภาษีในอัตรา หนึ่งหมื่นห้าพันดอลลาร์ต่อหนึ่งล้านดอลลาร์!

ตามการประเมินของธนาคารแห่งประเทศแคนาดามูลค่าของฟาร์มปลาดาราจะอยู่ที่ 21.5 ล้านดอลลาร์แคนาดา จับบาร์ต้องจ่ายภาษีให้แคนาดากว่า 320,000 ดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีบาร์เหล้าขนาดใหญ่ในโตรอนโตอีกหนึ่งแห่ง เมื่อรวมกันแล้วภาษีที่เขาต้องจ่ายจึงมีมูลค่ามากกว่า 500,000 ดอลลาร์แคนาดา

ธุระหลังจากนี้ เหลือแค่ให้ฉินสือโอวโอนเงินจำนวนที่เหลืออยู่ก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว เรื่องการเซ็นสัญญาเออร์บักจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนฟาร์มปลาแห่งนี้ก็สามารถหยุดการดำเนินงานไว้ได้ชั่วคราว จะยังไม่เข้าไปดูแลมันก็ได้

จับบาร์ได้ไปจัดการชำระภาษียืนยันมรดกเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวจึงพาเออร์บักกับชาร์คและคนอื่นๆ ที่ติดตามเขาไปที่ฟาร์มปลาแห่งใหม่

หลังจากเข้ามาในฟาร์มปลาแล้วเรื่องหลักๆ ที่ชาร์คและชาวประมงกำลังพูดคุยกันก็คือ ฟาร์มปลาแห่งนี้มีขนาดเล็กกว่าฟาร์มปลาต้าฉินอยู่มาก เส้นฝั่งทะเลก็มีระยะทางแค่สองกิโลเมตรนิดๆ แค่แป๊บเดียวก็เดินได้ครบรอบแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกพึงพอใจก็คือ หาดทรายของฟาร์มปลาแห่งนี้ที่เป็นสีเหลืองทองคล้ายกับหาดทรายของฟาร์มปลาต้าฉิน ทรายบนชายหาดเป็นเม็ดละเอียด บริเวณชายฝั่งก็ดูเหมือนป่าชายเลนหลายๆ ผืน

มองเห็นต้นไม้พวกนี้ ชาร์คก็เอ่ยปากชมว่า “เจ้าของฟาร์มปลาคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเลยล่ะ ควรปลูกต้นไม้พวกนี้ไว้ในฟาร์มปลา จะช่วยปกป้องดินทรายได้ดีมาก ใบไม้ที่ร่วงลงมาก็จะกลายไปเป็นอาหารของแพลงก์ตอนได้อีก”

สำหรับฟาร์มปลาแห่งนี้ พวกชาวประมงติมันแค่ว่ามีเนื้อที่เล็กไปเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ถือว่าไม่เลวเลย แต่การที่มีเนื้อที่ขนาดเล็กก็มีข้อดีเช่นกัน แบบนี้ก็จะสามารถใช้วิธีล้อมอวนในการเพาะพันธุ์ปลาได้ซึ่งจะสามารถลดการสูญเสียในขั้นตอนเพาะพันธุ์ได้อย่างเต็มที่

เรื่องการสูญเสียฉินสือโอวไม่ค่อยใส่ใจเท่าไรนัก เพราะเขามีจิตสำนึกแห่งโพไซดอน ขอแค่ฟาร์มปลาที่อยู่รอบๆ ไม่มาทำให้เกิดความเสียหายก็พอ

เช้าวันถัดมา เขาก็มาพาเออร์บักไปที่ห้องกิจกรรมบันเทิงของฟาร์มปลา แบล็คไนฟ์บอกว่าห้องกิจกรรมบันเทิงห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุคเจ็ดศูนย์ ซึ่งนั่นเป็นสมัยที่เออร์บักยังหนุ่มยังแน่นอยู่ เขาเชื่อว่าคุณปู่จะต้องสนใจห้องนี้แน่ๆ

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ พอได้เข้ามาเห็นสไตล์การตกแต่งและการจัดวางภายในห้อง ใบหน้าของเออร์บักที่มักจะดูนิ่งขรึมอยู่ตลอดเวลาก็เผยสีหน้าตกตะลึงแบบที่ฉินสือโอวไม่เคยเห็นมาก่อนออกมาทันที

“พระเจ้า!” เออร์บักหลุดคำอุทานออกมา

ครั้งที่แล้วฉินสือโอวแค่ดูอย่างผ่านๆ เหตุผลหลักๆ แล้วก็เป็นเพราะว่าพอเข้ามาในห้องนี้จับบาร์ก็เริ่มรำพึงรำพันเพราะความเศร้า เขาเลยต้องเป็นคนคอยปลอบเจ้าหมอนั่น มาคราวนี้ถึงได้เดินดูห้องกิจกรรมบันเทิงอย่างละเอียด

ตรงประตูทางเข้าห้องกิจกรรมบันเทิงมีโต๊ะบิลเลียดตัวเก่าอยู่หนึ่งตัว แผ่นปูโต๊ะผุพังไปแล้ว ลูกบิลเลียดจำนวนสิบกว่าลูกวางกระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ บนโต๊ะ เขาเดินเข้าไปข้างหน้าเพื่อดูโต๊ะ พบว่าน่าจะเป็นโต๊ะที่ทำมาจากไม้สน ขอบโต๊ะถูกเคลือบด้วยยางโดยรอบ

ผนังห้องเป็นส่วนที่ได้รับการตกแต่งมากที่สุด ทั้งแขวนยางรถ ทั้งหางเสือที่ถูกถอดออกมา นอกจากนี้ยังติดโปสเตอร์สีซีดๆ บางส่วนไว้อีกด้วย

สิ่งที่สะดุดตาที่สุดในโปสเตอร์คือเอลวิสกับวงโรลลิงสโตนส์ และยังมีภาพถ่ายที่ดูหล่อเหลาของอัลปาชิโนใบใหญ่ ณ ตอนนั้นก๊อดฟาเธอร์ยังเป็นหนุ่มน้อย เขานั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับไขว้ขาทั้งสองข้าง ด้วยท่าทางที่ดูกบฏและดื้อรั้น แต่ทำไมฉินสือโอวถึงรู้สึกว่าเขามีท่าทางคล้ายกับโจว เหวินฟะในหนังเรื่องคนตัดคนก็ไม่รู้

เมื่อเปิดลิ้นชักออก ก็เห็นว่าข้างในลิ้นชักมีของแปลกๆ อยู่ไม่น้อย เขาเจออัลบั้มรูปเล่มหนึ่ง หลังจากเปิดออกดูก็ได้เห็นรูปภาพของผู้คนส่วนหนึ่งที่แต่งตัวแบบชาวประมง ซึ่งก็น่าจะเป็นบรรพบุรุษของจับบาร์ ในภาพถ่ายผู้คนเหล่านั้นพากันสวมใส่ชุดยีน กลางเกงยีนที่พวกเขาสวมใส่คือกางเกงยีนขากระดิ่งที่ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว ต่อจากนั้นก็มีภาพถ่ายอีกส่วนหนึ่งที่มีผู้หญิงสวมรองเท้าส้นตึกอยู่ในภาพ

บาร์เหล้าเล็กๆ ในห้องไม่มีเหล้าหลงเหลืออยู่แล้ว ข้างใต้เคาน์เตอร์บาร์มีเครื่องบันทึกเทปขนาดใหญ่กับกล่องใส่เทปหนึ่งกล่อง เออร์บักลองเปิดมันดู หลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้ย นี่มันของดีนี่หว่า”

ฉินสือโอวไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับวงการดนตรีของแคนาดาในยุคเจ็ดศูนย์มากนัก เขาเลยไม่รู้ว่าของดีที่ว่ามันดียังไง

อันที่จริงแล้วเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศแคนาดาในยุคเจ็ดศูนย์เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รู้สึกว่าห้องกิจกรรมบันเทิงห้องนี้มีอะไรที่น่าสนใจ ทว่าเออร์บักกลับดูกระตือรือร้นมากๆ จนถึงกับบอกว่าเขาขออยู่ในห้องนี้ต่ออีกสักพัก

ชายชราไม่ได้แค่ขออยู่ในห้องนั้นต่อเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากนั้นเขายังไล่ให้ฉินสือโอวไปซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดมาจากในเมือง เพราะเขาจะทำความสะอาดห้องนี้อีกต่างหาก

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท