ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1513 นำหายนะมาสู่ฉงต้า

บทที่ 1513 นำหายนะมาสู่ฉงต้า

เมื่อเออร์บักออกคำสั่ง ท่านชายฉินก็กลายเป็นเด็กรับใช้ฉินทันที ชายชรามีตัวตนอยู่ในฟาร์มปลาอย่างที่เรียกได้ว่าอยู่ภายใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ถึงแม้ว่าบางครั้งจะไม่ได้พบเขาจนรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยก็ตาม

ทว่า คำว่าภายใต้คนคนเดียวสำหรับเขาไม่ได้หมายถึงฉินสือโอว แต่เป็นพ่อกับแม่ของฉินสือโอวต่างหาก เรื่องนี้ท่านชายฉินก็พอจะเข้าใจได้ ก็มันเกี่ยวกับความกตัญญูเอย อายุเอย ความอาวุโสเอย อะไรแบบนั้นใช่ไหมล่ะ

พอเดินออกมาจากห้องกิจกรรมบันเทิง เขาก็เรียกนีลเซ็นเข้ามาหา “ไปซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาด เอาแบบครบชุดเลยนะ จะได้มาช่วยคุณปู่ปัดกวาดทำความสะอาด”

นีลเซ็นมีความสามารถในการทำงานที่ดีเยี่ยม เขาสตาร์ทรถขับออกไปทันที หลังจากนั้นก็ซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดกลับมาแบบครบเซต พอลองมองดูฉินสือโอวก็เห็นว่ามีทั้งไม้ถูพื้น แปรงขัดทำความสะอาด ถุงขยะ ลูกกลิ้งกำจัดฝุ่นกับถังขยะ กระทั่งไม้กวาดก็มีครบ

นอกจากนี้แล้วเขายังได้ซื้อน้ำหอมปรับอากาศ ใบชา น้ำยาทำความสะอาด กล่องใส่กระดาษชำระ กระดาษทิชชูไร้แกน แปรงขัดพื้น ผ้าเช็ดครัวชนิดต่างๆ รวมถึงสบู่และไดร์เป่าผมมาพร้อมกันอีกด้วย ทั้งยังมีของที่ฉินสือโอวไม่เคยเห็นมาก่อนอีก

ไม่รู้ก็ต้องถาม ฉินสือโอวชี้นิ้วไปที่ถังใบเล็กหลายๆ ใบแล้วถามว่าอะไรอยู่ในนั้น นีลเซ็นตอบเขาว่า “นี่คือน้ำยาเคลือบหิน นี่คืออุปกรณ์ขัดหิน น้ำยารักษาเนื้อไม้ ส่วนนี่คือแปรงขัดแก้ว…”

ฉินสือโอวเข้าใจได้ทันที เขาซื้อของมาครบครันพร้อมสรรพจริงๆ

ในเมื่อนีลเซ็นซื้อของมาครบทุกอย่างแล้ว ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะทำความสะอาดวิลล่าสักหน่อยแล้วกัน เขาเพิ่งจะเก็บของออกมาพ้นประตูได้ไม่เท่าไร ก็มีสายโทรศัพท์จากวินนี่โทรเข้ามา หลังจากกดรับสายวินนี่ก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงกระสับกระส่าย “คุณยังอยู่ที่นั่นหรือเปล่าคะ? รีบกลับมาที่นี่ทีค่ะ ตำรวจจากสำนักงานตำรวจม้านครเซนต์จอห์นเข้ามาตรวจค้นที่นี่ บอกว่าจะพาพวกฉงต้ากับฉงเอ้อไป”

พอได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอวก็เกิดอาการกระวนกระวายขึ้นมาทันที นี่มันเรื่องอะไรกัน? จะพาฉงต้ากับฉงเอ้อไปเหรอ? จะทำแบบนั้นได้ยังไง เขาจึงให้นีลเซ็นไปเตรียมรถแล้วขับไปยังสนามบินลือเนนบูร์กเพื่อบินกลับไปที่นครเซนต์จอห์นทันที

น้ำเสียงของวินนี่ดูร้อนรนมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นนี่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงจริงๆ ไม่บ่อยนักที่ฉินสือโอวจะได้ยินน้ำเสียงแบบนี้จากเธอ

ขณะเดินทางกลับ ฉินสือโอวก็โทรกลับไปหาวินนี่อีกครั้งแล้วถามเธอว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมตำรวจถึงจะพาตัวฉงต้ากับฉงเอ้อไปล่ะ? พวกมันก่อนเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

วินนี่พูดด้วยอารามร้อนใจว่า “เปล่าค่ะ ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่พวกเราโชคไม่ดีเอง เมื่อไม่กี่วันก่อน สมาคมพิทักษ์สัตว์ของนครเซนต์จอห์นจับจระเข้จากสวนองุ่นแห่งหนึ่งได้เป็นฝูงเลย! ให้ตายเถอะ ไม่รู้ว่าใครมันช่างว่างจนมีเวลามาเลี้ยงจระเข้แบบนี้! ช่างเถอะค่ะ ฉันจะส่งลิงก์ข่าวไปให้คุณลองอ่านดูแล้วกันนะคะ ไม่มีเวลามาเล่าแล้ว พวกตำรวจยังอยู่ข้างนอกอยู่เลย”

ต่อจากนั้นลิงก์ข่าวก็ถูกส่งมา ฉินสือโอวกดเปิดลิงก์เข้าไปอ่าน เรื่องเกิดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เมืองนครเซนต์จอห์นมีคนโทรไปแจ้งตำรวจว่าสวนองุ่นข้างๆ เลี้ยงสัตว์ผิดกฎหมายไว้ข้างในทะเลสาบเล็กๆ ในสวนองุ่นแห่งนั้น

ตำรวจนึกว่ามีคนเลี้ยงปลาจำพวกปลาปิรันยาเอาไว้ เพราะเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ปรากฏว่าคราวนี้พวกเขาถึงกับต้องตาค้าง เพราะสัตว์เลี้ยงผิดกฎหมายในครั้งนี้สุดยอดเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้มาก เพราะพวกมันคือจระเข้ตีนเป็ดหลากสายพันธุ์!

เมื่อฉินสือโอวมองดูจระเข้ตัวเล็กใหญ่ท่าทางดุร้ายพวกนั้น เขาก็อดอุทานออกมาไม่ได้ เวรเอ๊ย เขาว่าที่เขาเลี้ยงหมี เลี้ยงหมาป่าแมวป่าไว้ก็สุดยอดมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเลี้ยงจระเข้ด้วย! แถมยังเลี้ยงไว้เยอะขนาดนี้อีก!

ตามการรายงานข่าว คนคนนี้เลี้ยงจระเข้ไว้ทั้งหมด 140 ตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงมาก หลังจากนั้นต้องใช้กำลังและความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลานกับตำรวจในพื้นที่กว่ายี่สิบคน กับเวลาอีกสี่วันถึงจะสามารถจับจระเข้พวกนี้ไปส่งไว้ที่สวนสัตว์สัตว์เลื้อยคลานแม่น้ำอินเดียนได้

หลังจากเรื่องนี้ถูกตีแผ่ในรัฐนิวฟันด์แลนด์ มันก็สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนหมู่มาก จนมีคนบางพวกที่ไม่มีการมีงานทำเขียนโพสต์รายงานลงไปบนเว็บบอร์ดชื่อดัง เพื่อเรียกร้องให้ทุกคนแจ้งตำรวจให้เข้าไปตรวจสอบเพื่อนบ้านหรือฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์ผิดกฎหมายที่พวกเขาเคยพบ

การรายงานข่าวสิ้นสุดลงเท่านี้ ฉินสือโอวจึงเข้าไปค้นหาโพสต์การรายงานสัตว์ผิดกฎหมายอันนั้น โพสต์นี้ดังมากๆ หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้นมันก็แพร่กระจายจากนครเซนต์จอห์นจนเป็นที่รู้จักทั่วทั้งประเทศแคนาดา ทั้งยังมีคนเขียนความคิดเห็นตอบกลับมากกว่าหมื่นคน

เริ่มแรกสัตว์ที่ถูกรายงานในโพสต์นั้นคือพวกสุนัขพันธุ์ใหญ่ แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แปลกประหลาดขึ้นไปเรื่อยๆ มีตั้งแต่กิ้งก่า แมวดาว งูหลาม แมวป่า ไปจนถึงสุนัขจิ้งจอก แถมยังเป็นสัตว์พันธุ์ดีอีกต่างหาก คนในท้องถิ่นของเมืองนครเซนต์จอห์นเลี้ยงจระเข้ตีนเป็ดเอาไว้ ส่วนที่รัฐออนแทรีโอก็มีคนเลี้ยงฮิปโปโปเตมัส ช้าง แรด เสือโคร่งเบงกอล สิงโตกับหมีไว้เหมือนกัน

ฉินสือโอวเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้างแล้ว นอกจากเขาก็ยังมีคนแคนาดาอีกไม่น้อยที่เลี้ยงหมีสีน้ำตาลเป็นสัตว์เลี้ยง คนที่เลี้ยงหมีขั้วโลกก็มีให้เห็นหนึ่งคน ส่วนคนที่เลี้ยงเต่าอัลลิเกเตอร์ก็ยิ่งมีเยอะขึ้นไปอีก

เพียงแต่ว่า คนที่เลี้ยงทั้งหมีขั้วโลกทั้งหมีสีน้ำตาลและเต่าอัลลิเกเตอร์กลับมีท่านชายฉินแค่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงได้ขึ้นเป็นพาดหัวข่าวไปโดยปริยาย

โชคดีที่ทุกคนต่างก็คิดว่าหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว หลัวปอจึงถูกสรุปว่าเป็นเพียงหมาป่าที่กลายพันธุ์จนขนเป็นสีขาวเท่านั้น และโชคยังดีที่ผู้รายงานเรื่องนี้ไม่เคยเห็นสัตว์ดุร้ายอย่างนกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวของเขามาก่อน ไม่เช่นนั้นคราวนี้ท่านชายฉินคงจะรับผลที่ตามมาไม่หวาดไม่ไหวแน่นอน

เลี้ยงสัตว์อื่นๆ ยังไม่เท่าไร แต่กฎหมายของแคนาดาได้กำหนดไว้ว่าไม่อนุญาตให้เพาะเลี้ยงนกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวเด็ดขาด

ที่จริงก็เป็นอย่างวินนี่ว่าไว้ พวกเขาแค่ดวงไม่ดีก็เท่านั้น คนที่นำรูปของฉงต้าไปโพสต์ไม่ได้มีเจตนาจะแจ้งจับพวกเขา แต่แค่อยากจะโชว์คนอื่นก็เท่านั้น เขาเขียนบรรยายในโพสต์นั้นว่าเมืองนี้ก็มีคนเลี้ยงสัตว์ที่อาจจะเป็นอันตรายเหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วพวกมันแสนรู้แล้วก็น่ารักมากๆ ไม่เป็นอันตรายเลยแม้แต่นิดเดียว

แต่พวกตำรวจไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้หรอก พวกเขาแค่ออกค้นหาจากโพสต์นั้นตามหน้าที่ก็เท่านั้น

ที่สนามบินเล็กๆ ของเมืองลือเนนบูร์ก ในหนึ่งสัปดาห์จะมีเที่ยวบินไปนครเซนต์จอห์นแค่สองเที่ยวเท่านั้น

ฉินสือโอวจองตั๋วไม่ทัน ในตอนนี้เขาจึงนึกถึงบัตรอเมริกัน เอ็กซ์เพรสที่ไม่ได้ใช้บริการมานาน เขาแสดงบัตรให้ผู้ดูแลสนามบินดู หลังจากนั้นก็โทรไปหาเจนนิเฟอร์เพื่อแจ้งความต้องการของเขาให้เธอได้รู้

วางสายได้ไม่ถึงยี่สิบนาที ผู้ดูแลสนามบินก็มาบอกกับฉินสือโอวว่าพวกเขาได้จัดเตรียมเครื่องบินลำหนึ่งสำหรับเขาโดยเฉพาะแล้ว และจะสามารถขึ้นบินได้ทันที

เป็นอีกครั้งที่ฉินสือโอวได้สัมผัสกับผลประโยชน์ของอำนาจและเงินตรา ซึ่งนี่เป็นสาเหตุที่ชาวแคนาดาทำงานหาเงินอย่างบ้าคลั่ง สำหรับประเทศนี้ถ้ามีเงินคุณก็จะได้รับการดูแลดุจดั่งพระเจ้า

พอเครื่องบินลงจอดที่สนามบินนครเซนต์จอห์น บีบีซวงก็ขับเฮลิคอปเตอร์มารออยู่ที่นั่นแล้ว ฉินสือโอวนั่งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ที่ช้ากว่าเครื่องบินโดยสารตั้งไม่รู้เท่าไรก็ถึงกับส่ายหัวให้กับความเชื่องช้านี้ น่าเสียดายที่ช่วงนี้เขาหมดเงินไปกับการลงทุนหลายอย่างแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาต้องซื้อเฮลิคอปเตอร์ลำใหม่อย่างแน่นอน

รับสายโทรศัพท์เมื่อช่วงบ่าย พอถึงเวลาพลบค่ำฉินสือโอวก็กลับมาถึงฟาร์มปลาแล้ว ขณะที่เฮลิคอปเตอร์กำลังบินวนอยู่ในอากาศ เขาก็มองเห็นว่ามีรถตำรวจหลายคันกำลังจอดอยู่ที่ประตูทางเข้าฟาร์มปลา นอกจากนี้ยังมีรถติดกรงเหล็กสำหรับขนสัตว์ป่าโดยเฉพาะอีกด้วย ตำรวจพวกนี้กระจายตัวอยู่บริเวณรอบๆ ประตูทางเข้า

พอลงจากเฮลิคอปเตอร์เขาก็ยังไม่สามารถเข้าไปทักทายพ่อกับแม่ของเขาได้ ฉินสือโอวเดินไปยังประตูทางเข้าฟาร์มปลาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พวกฉงต้า ปอหลัว หลัวปอที่หลบอยู่ตรงประตูก็กำลังพากันยื่นหัวออกมา เมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้ว จึงพากันส่งเสียงร้องครวญครางพร้อมกับวิ่งออกมาจากที่ซ่อน ทางด้านหลังของพวกมันยังมีหมีโลลิอีกหนึ่งตัวที่กำลังยื่นหัวเล็กๆ มองออกไปข้างนอกด้วยความขลาดอาย

ฉินสือโอวโบกมือเพื่อบอกให้เหล่าสัตว์เลี้ยงพากันกลับไป บรรดาสัตว์เลี้ยงฝูงเล็กที่เพิ่งจะวิ่งออกมาจึงต้องถอยเท้าเดินหันหลังกลับด้วยความเศร้าสร้อย

บรรยากาศในบริเวณประตูทางเข้าเป็นไปด้วยความเคร่งเครียด เกิงจุนเจี๋ยพาพวกชาวประมงมาขวางประตูเอาไว้ ทั้งยังใช้รถยนต์สองคันกั้นประตูใหญ่ไว้ด้วย รถพอร์ช 918 กับรถคาดิลแลควันต่างก็เป็นรถหรูราคาแพงทั้งคู่ ทำให้พวกตำรวจไม่กล้าใช้กำลังรุนแรงกับพวกเขาง่ายๆ

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท