ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1516 มะฮอกกานีจีน

บทที่ 1516 มะฮอกกานีจีน

จ่าสิบตำรวจเคดี้กับพรรคพวกต่างก็มองหน้ากันไปมาแต่ไม่ได้พูดอะไร พวกเขารู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร แต่ถ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ตำรวจแคนาดาเป็นองค์กรที่ฉินสือโอวไม่สามารถเข้าใจได้เลยจริงๆ ถ้าจะบอกว่าพวกเขามีสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ แต่อัตราการสะสางคดีก็อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก เมื่อก่อนก็มีการรายงานข่าวว่าที่รัฐบริติชโคลัมเบียมีผู้อพยพชาวรัสเซียถูกฆาตกรรม จนเวลาผ่านมาห้าปีแล้วยังไขคดีไม่ได้ แต่กลับเป็นภรรยาของผู้อพยพคนนั้นเสียอีกที่ใช้เวลาห้าปีนั้นไล่จับฆาตกรได้สำเร็จเมื่อไม่นานมานี้

แต่ถ้าจะบอกว่าพวกเขาไม่มีสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่แบบนั้นก็ไม่ถูกเหมือนกัน องค์กรตำรวจของแคนาดาเป็นหน่วยงานที่มีความโปร่งใสติดอันดับต้นๆ ของโลก ขอแค่มีอำนาจทางกฎหมาย พวกเขาจะไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ว่านายกรัฐมนตรีหรือผู้ว่าการรัฐ พวกเขาก็กล้าที่จะดำเนินการตรวจสอบให้ถึงที่สุด

หรืออาจกล่าวได้ว่าจรรยาบรรณในการทำงานของพวกเขาเป็นเช่นนี้ บางคดีที่พวกเขาไม่สามารถสะสางให้สำเร็จได้ถึงจะเป็นแค่คดีง่ายๆ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยากไขคดี แต่เป็นเพราะไม่มีความสามารถที่จะทำมันให้สำเร็จต่างหาก คนแคนาดาก็ขึ้นชื่อในเรื่องการคิดวิเคราะห์อย่างเรียบง่ายเช่นกัน ที่พวกเขากล้าที่จะสอบสวนบางคดีจนถึงที่สุด นั่นก็เป็นเพราะพวกเขามีจิตสำนึกในหน้าที่ที่เด็ดเดี่ยว ทั้งยังมีพละกำลังในการปฏิบัติหน้าที่ที่แข็งแกร่ง

พูดง่ายๆ คือ ถ้าไม่มีอุปสรรคจากกำลังสมอง พวกเขาก็สามารถสะสางคดีได้เหมือนกัน

แต่ว่าตอนนี้ฉินสือโอวกำลังเจอกับปัญหาหนัก ตำรวจหัวรั้นพวกนี้เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาเลี้ยงสัตว์ผิดกฎหมายเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็จะจับพวกมันไปให้ได้

ฉินสือโอวทนไม่ไหวแล้ว เขาจึงพูดออกไปว่า “ถ้าคุณจะจับคุณขึ้นไปจับบนภูเขาเลยครับ อย่ามามัวเสียเวลาอยู่ในที่ของผม ไม่อย่างนั้นผมคงต้องแจ้งตำ…” เขาหันไปมองโรเบิร์ตที่ไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงไหนแล้ว เลยต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่เป็น “ไม่อย่างนั้นผมคงต้องฟ้องพวกคุณ!”

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเข้ามาถึงจุดที่เป็นเหมือนทางตัน เสียงโทรศัพท์ของจ่าสิบตำรวจเคดี้ก็ดังขึ้น เขากดรับแล้วถามคนปลายสายว่า “ท่านประธานแฮมเล็ต สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าท่านมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?”

เมื่อได้ยินชื่อที่เขาเรียก ฉินสือโอวก็เริ่มใจกระตุกขึ้นมาทันที เขารู้ว่าสายที่โทรเข้ามาคือสายของแฮมเล็ต หน้าที่ของแฮมเล็ตคือการเป็นนายกเทศมนตรีเมือง แต่ขณะเดียวกันเขาก็ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการบริหารหน่วยงานตำรวจระดับเทศบาลเมืองด้วย พวกตำรวจม้าจึงต้องเรียกเขาว่าท่านประธานในขณะที่กำลังออกปฏิบัติหน้าที่

ไม่รู้ว่าแฮมเล็ตพูดอะไรกับเขา จ่าสิบตำรวจเคดี้ตอบรับเขากลับไปไม่กี่ประโยค หลังจากวางสาย เขาก็ไหวไหล่แล้วพูดว่า “เอาล่ะ คุณฉินครับ ท่านประธานแฮมเล็ตช่วยรับประกันว่าหมีในฟาร์มปลาของพวกคุณไม่ใช่สัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้ แต่เป็นหมีป่าที่ลงมาจากภูเขา ถ้าอย่างนั้นผมหวังว่าหลังจากนี้คุณจะระมัดระวังและดูแลรักษาตัวเองให้ดีนะครับ”

ฉินสือโอวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ในใจของเขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้เขาต่อว่าแฮมเล็ตทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด และที่จริงแล้วแฮมเล็ตก็คิดจะหาวิธีช่วยเขาแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน

พวกตำรวจม้าก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน เมื่อได้รับคำอธิบายเช่นนี้พวกเขาก็พากันเตรียมตัวกลับ จ่าสิบตำรวจเคดี้ยืนมือออกมาพร้อมกับพูดว่า “ไว้เจอกันนะครับ คุณฉิน นายกเทศมนตรีวินนี่ ขอโทษด้วยที่งานของเราสร้างความวุ่นวายให้กับพวกคุณ แต่พูดกันตามจริง ผมเข้าใจได้นะว่าหมีสีน้ำตาลเป็นหมีที่ลงมาจากภูเขา แต่หมีขั้วโลกล่ะ?”

รอยยิ้มบนหน้าของฉินสือโอวนิ่งค้างไปในทันที จ่าสิบตำรวจเคดี้จึงหัวเราะออกมา “ผมล้อเล่นน่ะ ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจนะว่านี่คืองานของเรา”

วินนี่จับมือกับเขาแล้วพูดว่า “ฉันเข้าใจคุณค่ะ พวกเรามีภาระหน้าที่เหมือนกัน ขอให้พวกคุณโชคดีนะคะ ไว้เจอกันอีกครั้งค่ะ”

พวกตำรวจม้าขับรถออกไปแล้ว โรเบิร์ตก็จากไปพร้อมกับความหงอยเหงาเศร้าซึม ไม่กล้าแม้แต่จะเข้ามาบอกลาพวกเขาด้วยซ้ำ

ฉินสือโอวจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ที่รัก ตอนนี้คุณก็เป็นถึงนายกเทศมนตรีของเมืองนี้แล้ว คุณสามารถปลดสารวัตรของเมืองนี้ออกจากตำแหน่งเลยได้ไหม? คนอย่างโรเบิร์ตนี่ช่างเป็นพวกกินเงินเดือนกับอาศัยตำแหน่งอย่างเปล่าประโยชน์จริงๆ!”

สถานีตำรวจเป็นหน่วยงานสังกัดย่อยของเทศบาล เนื่องด้วยลักษณะแบบหน่วยงานอิสระ ทำให้ต้องพึ่งพาเงินที่เทศบาลจัดสรรไว้เพียงอย่างเดียว ดังนั้นนายกเทศมนตรีจึงมีอำนาจในการแต่งตั้งไปจนถึงการปลดตำรวจให้พ้นตำแหน่ง

วินนี่พูดอย่างจนปัญญาว่า “มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะคะ สารวัตรโรเบิร์ตมาจากการเลือกตั้งของชาวเมือง ถึงเขาจะไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เขาก็แก้ปัญหาเรื่องข้อพิพาทในละแวกใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี แล้วชาวเมืองก็พอใจกับการทำงานของเขามาก ฉันขัดข้อคิดเห็นของประชาชนไม่ได้หรอกนะคะ”

ฉินสือโอวก็แค่บ่นไปอย่างนั้นเอง ถึงโรเบิร์ตจะขี้ขลาด แต่เขาก็ไม่ใช่คนไม่ดี ไม่ได้คิดร้ายกับใคร คนแบบนี้เหมาะที่จะเป็นหัวหน้างานจราจรตามถนนในประเทศจีนมากกว่า ไม่เหมาะกับตำแหน่งสารวัตรเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อส่งตำรวจม้าที่มาก่อความวุ่นวายกลับไปแล้ว วินนี่ก็ไปที่ท่าเรือเพื่อพาฉงต้ากับฉงเอ้อกลับมา พวกมันทั้งสองตัวหลบอยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อน หลังจากลงมาจากเรือแล้วพวกมันก็โผเข้าหาเธอด้วยความดีใจ พร้อมกับออดอ้อนขออ้อมกอดทั้งยังขอให้เล่นกับพวกมันไม่หยุด ส่วนทางฝั่งมาสเตอร์ รายนั้นถูกพาไปไว้ในทะเลจริงๆ ตอนนี้มันก็กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ในนั้นอย่างมีความสุข

พ่อของฉินสือโอวตะโกนเรียกให้พวกเขากลับไปทานอาหาร ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแล้ว พวกตำรวจม้าทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มกำลังจนฟ้าเปลี่ยนสี เมื่อเห็นแบบนี้แล้วฉินสือโอวก็คิดว่าไม่ควรไปต่อกรกับพวกเขาอีก

พอถึงเวลานั่งโต๊ะอาหาร ฉินสือโอวที่ได้กลิ่นหอมแปลกๆ ก็สอดสายตามอง แล้วถามออกมาด้วยความประหลาดใจ “โห นี่ยอดมะฮอกกานีจีนผัดไข่เหรอครับ? พ่อ พ่อไปหามาจากไหน?”

พ่อฉินหัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “ซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองมีขายน่ะ วันนี้พ่อไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกับแม่แก เห็นตรงโซนผักมีของแบบนี้อยู่ แถมยังไม่มีให้เห็นบ่อยๆ อีกต่างหาก ที่แคนาดาก็มีของแบบนี้เหรอ?”

ยอดมะฮอกกานีจีนสีเขียวแก่เหลือบม่วงถูกผัดเข้ากับน้ำมันจนเป็นประกายมันวาว ไข่ไก่หวานละมุนก็ถูกผัดจนเป็นสีเหลืองทอง ช่วยสร้างความอยากอาหารได้ดีมาก

ฉินสือโอวคิดว่ามะฮอกกานีจีนพวกนี้น่าจะเป็นผักที่คนจีนปลูกไว้ในโรงเรือน ในฤดูนี้ถ้าปลูกไว้นอกโรงเรือนมันคงจะไม่ผลิยอดอ่อนแน่ๆ ด้วยจำนวนประชากรชาวจีนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหลายปีที่ผ่านมา ผักสดจำนวนมากจึงถูกจากจีนส่งมายังแคนาดา เมื่อก่อนของบางอย่าง อย่างเช่นเต้าหู้ ถั่วงอก แล้วก็มะฮอกกานีจีนพวกนี้แทบจะไม่มีให้เห็นในแคนาดาเลยด้วยซ้ำ

เขาเร่งรีบเดินทางจนไม่ได้ทานอาหารกลางวัน ตอนนี้ท้องเลยเริ่มหิวแล้ว เมื่อเห็นว่ามีมะฮอกกานีจีนผัดไข่ให้ทาน เขาจึงรีบใช้ตะเกียบคีบมันเข้าปากทันที

ฉงต้าเดินโขยกเขยกตามมาทางด้านหลัง มันก็ได้กลิ่นหอมของมะฮอกกานีจีนผัดไข่เช่นกัน ตาดวงเล็กเป็นประกายแวววับ มันวิ่งส่ายก้นเข้ามาหา พอมาถึงก็ลุกยืนขึ้นแล้วชะเง้อคอมองขึ้นไปบนโต๊ะอาหาร

พ่อฉินตีฉินสือโอวไปหนึ่งที ทั้งยังพูดกับเขาอย่างไม่พอใจ “เป็นพ่อคนแล้วนะ ทำไมยังทำตัวไม่รู้ความแบบนี้? ยังไม่มีใครมานั่งโต๊ะเลย แกจะกินก่อนคนอื่นได้ยังไง?”

พอพูดจบ เขาก็หยิบชามใบเล็กมาใส่อาหาร แล้วส่งชามอาหารใบนั้นให้กับฉงต้าด้วยสีหน้าท่าทางแบบคุณปู่ใจดี พ่อฉินลูบขนเส้นละเอียดขึ้นเงาสวยบนหัวของฉงต้าพร้อมพูดกับมันว่า “น่าสงสารจริงๆ วันนี้ฉงต้าคงจะตกใจแย่เลย เอาเถอะ รีบกินซะสิ ขวัญเอยขวัญมานะ”

ฉินสือโอวที่อยู่ข้างๆ ก็ถึงกับตกตะลึงจนตาค้าง เขาร้องขึ้นมาว่า “พ่อ ใครเป็นคนเสียขวัญกันแน่? เห็นๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอว่าผมต่างหากที่กลัวจนใจเสีย”

ฉงต้าใช้ปากคาบชามใบเล็ก เดินโขยกเขยกไปหาหมีโลลิแล้วเอาไข่ผัดที่อยู่ในชามให้มันกิน

หมีขั้วโลกมีลักษณะนิสัยในการกินอาหารที่หลากหลาย ตอนนี้หมีโลลิก็กินอาหารได้ทุกอย่าง ดื่มนมได้ กินไข่กินเนื้อกินปลาก็ได้ ดังนั้นมันจึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้ผอมติดกระดูกเหมือนตอนที่ได้พบกันครั้งแรก ตอนนี้ตัวมันโตเท่ากับแกะที่โตเต็มวัยแล้ว

ทว่าตอนนี้เสี่ยวเถียนกวาเองก็โตขึ้นจนไล่ตามมันทันแล้วเช่นกัน หมีโลลิโตขึ้น เธอก็กำลังโตเหมือนกัน และเนื่องจากเธอเอาแต่ไล่ตามหู่จือเป้าจือหรือไม่ก็คอยแต่จะกลั่นแกล้งฉงต้ากับเด็กอ้วน นั่นจึงทำให้เสี่ยวเถียนกวาทั้งโตเร็วทั้งแข็งแรง

ยอดมะฮอกกานีจีนนุ่มๆ กับไข่ไก่หวานละมุนจากแม่ไก่ที่เลี้ยงไว้เอง วัตถุดิบทั้งสองอย่างส่งมอบรสชาติความอร่อยได้เป็นอย่างดี อาหารจานนี้จึงกลายมาเป็นเมนูสำคัญที่ทำให้เกิดการต่อสู้แย่งชิง เชอร์ลี่ย์กับไวส์และเด็กๆ ที่เหลือทั้งห้าคนต่างก็แย่งกันตักใส่จานข้าวของตัวเองเรื่อยๆ จนเกือบจะทำให้พวกเขาทะเลาะกันเอง

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท