ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1514 ไม่ได้เรื่องเลย

บทที่ 1514 ไม่ได้เรื่องเลย

บรรดาชาวประมงเห็นว่าฉินสือโอวกลับมาถึงแล้วจึงพากันรอเขาอยู่ที่นี่ ในตอนนี้เอง นายตำรวจคนหนึ่งก็เดินเบียดเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นชาแล้วสั่งให้พวกเขาขับรถออกไป เกิงจุนเจี๋ยจึงแกล้งทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง และพูดเสียงดังว่า “ซอรี่ แคน ยู สปีค ไชนีส?”

จ่าสิบตำรวจนายหนึ่งที่เป็นผู้นำทีมตำรวจชี้ไปที่เกิงจุนเจี๋ยแล้วพูดด้วยท่าทีเอาจริงเอาจังว่า “ฟังนะ มิสเตอร์ หลีกทางเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่านะ ผมไม่อยากทำให้เรื่องราวมันบานปลายไปกันใหญ่ ถ้าคุณยังยืนกรานจะทำผิดต่อไป ผมก็คงต้องใช้ข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมคุณ!”

เกิงจุนเจี๋ยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เลือกที่จะตะโกนถามเขาอีกครั้ง “ซอรี่ แคน ยู สปีค ไชนีส?”

จ่าสิบตำรวจนายนี้โมโหจนทนแทบไม่ไหว ทางด้านหลังมีตำรวจหนุ่มนายหนึ่งดึงเอากระบองตำรวจออกมา แล้วคิดที่จะลงไม้ลงมือกับเขา แต่ถูกจ่าสิบตำรวจปรามเอาไว้ บอกให้เขากลับไปรออยู่ทางด้านหลัง

ฉินสือโอวไม่กลัวว่าลูกน้องของเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แล้วเขาก็ไม่เชื่อด้วยว่านายตำรวจพวกนี้จะกล้ากระทำการอุกอาจในถิ่นของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนจีนก็ตาม

ผู้อพยพในแคนาดาไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิ์อย่างครอบคลุมเท่าไรนัก มักจะมีข่าวที่ว่าผู้อพยพต้องเผชิญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมให้เห็นอยู่บ่อยๆ ถ้าเป็นคนจีนที่เป็นแค่คนธรรมดาแล้วกล้าเอารถเข้ามาขวางทางแบบนี้ก็คงจะถูกจับไปตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าฉินสือโอวไม่ใช่คนจีนธรรมดาๆ ก็เท่านั้นเอง

นายตำรวจทั่วๆ ไปอาจจะไม่คุ้นเคยกับเขา แต่เมื่อเป็นตำรวจยศจ่าสิบก็จะรู้ถึงความสามารถของเขาแล้ว นี่เป็นถึงผู้สนับสนุนอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองนครเซนต์จอห์น เป็นประธานสหภาพการประมง เป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ของนิวฟันด์แลนด์ ถ้าพวกเขาทำผิดกับฉินสือโอว คนที่จะตกที่นั่งลำบากก็คือพวกเขานั่นแหละ

เพียงแต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้กลัวฉินสือโอวเหมือนกัน ขอแค่มีความได้เปรียบทางกฎหมาย ต่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีของแคนาดาพวกเขาก็กล้าจับ

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศกำลังตึงเครียด ฉินสือโอวจึงส่ายหัวเพื่อบอกให้เกิงจุนเจี๋ยและคนอื่นๆ หลีกทาง หลังจากนั้นเขาจะรับมือกับสถานการณ์นี้ต่อเอง ฉินสือโอวถามว่า “แล้ววินนี่ล่ะ? ทำไมเธอถึงไม่ได้อยู่ที่นี่?”

เกิงจุนเจี๋ยสูดจมูกพร้อมกับตอบเขากลับไป “นายหญิงกลับไปแล้ว เธอบอกให้พวกเรากันคนพวกนี้ไม่ให้เข้าไปข้างใน ส่วนเรื่องอื่นๆ เธอจะเป็นคนจัดการเอง”

เมื่อเห็นฉินสือโอวปรากฏตัวขึ้น พวกนายตำรวจก็พากันทำงานอย่างแข็งขันอีกครั้ง พวกเขาเดินเข้ามาปิดล้อมประตูทางเข้าเอาไว้

ฉินสือโอวเดินเข้าไปหาแล้วสบตากับจ่าสิบตำรวจคนนั้นโดยมีประตูกั้นพวกเขาเอาไว้ เขาถามกับตำรวจว่า “เกิดอะไรขึ้นครับ? ท่านทั้งหลาย? ที่พวกคุณเข้ามาปิดล้อมฟาร์มปลา เป็นเพราะผมทำอะไรผิดอย่างนั้นเหรอครับ?”

พอเห็นเขาท่าทีของจ่าสิบตำรวจนายนั้นก็อ่อนลงบ้างแล้ว เขาพูดว่า “คุณฉิน สวัสดีครับ ผมคือจ่าสิบตำรวจแลนซ์ เคดี้ ที่พวกเรามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อมาจับสัตว์เลี้ยงผิดกฎหมายในฟาร์มปลาของคุณ หวังว่าคุณจะช่วยให้ความร่วมมือกับพวกเรานะครับ”

ฉินสือโอวไหวไหล่พูดว่า “สัตว์เลี้ยงผิดกฎหมายเหรอครับ? ผมไม่คิดว่าผมเลี้ยงสัตว์ผิดกฎหมายอะไรไว้นะ มีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเปล่าครับ?”

ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เสียงร้องแหลมก็ดังขึ้นมาจากบนท้องฟ้า แก๊งนกสามตัวของบุชพอมองเห็นเขา ก็พากันบินถลาเข้ามาหาด้วยความดีใจ พวกมันแย่งกันบินลงมาเกาะไหล่ของเขา

ช่างเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ฉินสือโอวเกิดอาการกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที เขาโบกมือไล่นกทั้งสามตัวออกไป ทว่าพวกมันไม่ได้ว่าง่ายเหมือนกับพวกฉงต้า และเพราะไม่ได้เจอกันนาน พวกมันจึงรีบแสดงความคิดถึงที่พวกมันมีออกมา พอฉินสือโอวเหวี่ยงแขนออกไป แคลร์ก็รีบเกาะแขนของเขาเอาไว้ทันที

จ่าสิบตำรวจเคดี้ที่มองดูนกทั้งสามตัวอย่างตกตะลึงก็พูดกับเขาว่า “นี่ นี่ นี่คือนกอินทรีทอง นกอินทรีหัวขาวกับนกโจรสลัดเหรอ?!”

ฉินสือโอวกระแอมไอแล้วตอบว่า “เพื่อน คุณตาดีมาก ใช่แล้ว นี่คือนกอินทรีทอง นกอินทรีหัวขาวกับนกโจรสลัด แต่พวกมันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของผมนะ โอเคไหม นกโจรสลัดตัวนี้ผมเป็นคนเลี้ยงไว้เอง แต่นกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวน่ะไม่ใช่ของผม!”

จ่าสิบตำรวจเคดี้กระสับกระส่ายยิ่งกว่าฉินสือโอวเสียอีก นกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวขึ้นชื่อในเรื่องของความขบถและดุร้าย จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีนกอินทรีทองโตเต็มวัยตัวไหนที่ถูกฝึกได้สำเร็จ ถ้าโดนจับ พวกมันยอมฆ่าตัวตายดีกว่าจะยอมถูกมนุษย์ฝึกให้เชื่อง ดังนั้นถ้าจะเพาะพันธุ์นกอินทรีทอง ก็ต้องเลี้ยงไว้ตั้งแต่ยังเล็ก

แต่เพราะแคนาดามีกฎหมายควบคุมการเพาะพันธุ์นกอินทรีทองและนกอินทรีหัวขาว ดังนั้นจึงทำให้ไม่มีใครเลี้ยงสัตว์ปีกมีค่าเหล่านี้อย่างเปิดเผย

ฉินสือโอวเริ่มหยิบเอาทักษะการแสดงออกมาใช้ “นกโจรสลัดตัวนี้ชื่อเชสเตอร์ คุณน่าจะรู้จักมันอยู่แล้วใช่ไหมครับ? ผมเลี้ยงมันไว้เอง ตั้งแต่เล็กจนโตนั่นแหละ ส่วนนกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวพวกนี้ ที่จริงแล้วเป็นลูกของนกโจรสลัด! ใช่ คุณฟังไม่ผิดหรอก ไม่ต้องมองผมอย่างนั้นด้วย มันมีอะไรแปลกตรงไหนกัน?”

จ่าสิบตำรวจเคดี้ก็พูดว่า “ผมไม่ใช่คนโง่นะ คุณฉิน ดูเหมือนว่าสัตว์ที่ผมต้องจับกลับไปคงจะไม่ได้มีแค่หมีสองตัวกับเต่าอีกหนึ่งตัวแล้วล่ะ แต่ยังมีนกสองตัวนี้ด้วย”

พอฉินสือโอวสะบัดแขนไปทางเทือกเขาเคอร์บัล นกทั้งสามตัวก็กรีดเสียงร้องแล้วบินจากไปทันที พวกมันจะพากันไปล่าเหยื่อ

เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็มีข้ออ้างแล้ว “คุณดูสิ ผมไม่ได้ขังพวกมันไว้จริงๆ นกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวถูกพ่อแม่ทิ้งไว้ตั้งแต่ยังเล็ก เป็นเชสเตอร์ที่เก็บพวกมันมาเลี้ยง หลังจากนั้นนกทั้งสองตัวถึงได้ตามติดมันมาโดยตลอด แบบนี้คงไม่ผิดกฎหมายหรอกใช่ไหมล่ะครับ?”

จ่าสิบตำรวจเคดี้พยักหน้ารับ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ขอเพียงแค่ไม่ได้เลี้ยงนกอินทรีหัวขาวกับนกอินทรีทองแบบจับขัง เขาก็ไม่สามารถใช้อำนาจทางกฎหมายได้แล้ว เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้นกอินทรีหัวขาวกับนกอินทรีทองเลือกถิ่นที่อยู่อาศัยและพื้นที่ในการสร้างรังได้อย่างอิสระ

แก้ไขวิกฤตการณ์เรื่องนกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวได้แล้ว ต่อมาก็เป็นเรื่องของหมีทั้งสองตัว จ่าสิบตำรวจเคดี้แสดงหมายค้นที่กรมตำรวจส่วนภูมิภาคออกให้ เพื่อสั่งให้เขาขับรถออกจากทาง

เกิงจุนเจี๋ยกระแอมไอพร้อมกับส่งสายตาให้ฉินสือโอว ฉินสือโอวก็คิดว่าเขาคงมีเรื่องจะบอก เลยเข้าไปหาแล้วถามเขาเสียงเบาว่ามีอะไรหรือเปล่า แต่เกิงจุนเจี๋ยกลับใช้เสียงพูดที่เบากว่านั้นพูดกับเขาว่า “บอสครับ อยากให้ผมเป็นคนรับมือกับพวกเขาไหม? เมื่อกี้นี้พอฝรั่งพวกนั้นจะอ้าปากพูดผมก็บอกว่าผมไม่รู้ภาษาอังกฤษทันที ถ้าเขาเอาหมายค้นออกมาผมแค่บอกว่าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”

ฉินสือโอวหมดคำจะพูด นายไม่เข้าใจภาษาอังกฤษแล้วฉันไม่เข้าใจด้วยหรือยังไงเล่า? เรื่องมาถึงขนาดนี้ ถ้าฉันยังจะใช้มุกนั้นอยู่อีกก็คงหน้าไม่อายเกินไปแล้ว

ในตอนนี้ชาวประมงคนจีนคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “บอส พี่ใหญ่เกิง พวกพี่ไม่ต้องคุยกันให้มันดูลึกลับขนาดนั้นก็ได้ ถึงพวกเราจะโกหกว่าไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ฝรั่งพวกนี้ก็ฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่องจริงๆ นะ”

ฉินสือโอวสบตากับเกิงจุนเจี๋ย คนทั้งคู่ต่างก็หมดคำจะพูด

จ่าสิบตำรวจเคดี้รอจนทนไม่ไหวแล้ว เขาบอกว่าถ้าฉินสือโอวยังขัดขวางพวกเขาต่อไป เขาก็คงต้องใช้กำลังแล้ว พอเขาพูดแบบนี้ หู่จือกับเป้าจือที่ก่อนหน้านี้เคยนอนหมอบอยู่ข้างๆ ล้อรถอย่างว่านอนสอนง่ายก็พากันลุกขึ้นยืน พวกมันเริ่มอ้าปากร้องขู่ด้วยท่าทางดุร้ายทันที

เกิงจุนเจี๋ยหัวเราะแหะๆ พูดว่า “ผมเข้าใจแล้วว่าการอาศัยบารมีคนอื่นมาอวดเบ่งมันเป็นยังไง เมื่อกี้ตอนที่บอสยังไม่กลับมา หู่จือกับเป้าจือเรียกแล้วยังอ่อนปวกเปียกอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับพากันทำเป็นเท่ซะอย่างนั้น”

ฉินสือโอวตวาดหู่จือกับเป้าจือให้หยุด หลังจากนั้นก็ถามว่ากับตำรวจว่า “คุณตำรวจเคดี้ ผมไม่ได้มีเจตนาจะเหยียดหยามคุณ แต่ผมไม่ไว้ใจคุณต่างหาก และผมก็คิดว่า ถ้าต้องการจะจัดการเรื่องการเลี้ยงสัตว์ใหญ่ไว้ในบ้าน ตำรวจของเมืองนี้ก็ควรจะเป็นเป็นคนออกหน้าเองไม่ใช่เหรอครับ?”

จ่าสิบตำรวจเคดี้หัวเราะออกมา เขากวักมือไปทางด้านหลัง ตำรวจนายหนึ่งก็ก้าวออกมาจากรถตำรวจด้วยความกลัดกลุ้ม พอฉินสือโอวเห็นเขาก็ถึงกับหมดคำจะพูด ตำรวจนายนั้นก็คือสารวัตรโรเบิร์ตของเมืองนี้นั่นเอง

โรเบิร์ตจับพุงโตๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาเองพร้อมกับพูดออกมาอย่างจนปัญญาว่า “ฉิน ฉันพยายามแล้ว แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้”

พอโรเบิร์ตออกมาทางนี้แบบนี้ เหตุผลที่ฉินสือโอวยกมาใช้เมื่อสักครู่ก็ไม่เป็นผลแล้ว “อย่าพูดว่าช่วยอะไรไม่ได้ สารวัตร ผมแค่อยากถามว่า การดูแลความสงบเรียบร้อยของเมืองนี้มันเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่เหรอครับ? ทำไมตำรวจม้าแคนาดาถึงได้เข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ได้ล่ะ?”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท