ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1517 ความขัดแย้งภายในของนกจมูกหลอดหางสั้น

บทที่ 1517 ความขัดแย้งภายในของนกจมูกหลอดหางสั้น

ไหนๆ ก็กลับมาแล้ว ฉินสือโอวจะยังไม่ออกไปไหนอีกสักพักก็แล้วกัน ฟาร์มปลาต้าฉินสองหว่านเมล็ดพันธุ์ปลูกสาหร่ายทะเลแล้ว ฟาร์มปลาดาราจะยังไม่ถูกใช้งานชั่วคราว เขาต้องส่งคนไปดูแลที่นั่นเสียก่อน

ในเวลาเช้าตรู่ ฉินสือโอวเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายเสร็จแล้วก็ออกไปวิ่งข้างนอก พ่อฉินเห็นเขาสวมเสื้อผ้าชั้นเดียวออกไปข้างนอก ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดกับเขาว่า “จะฤดูหนาวหรือใบไม้ร่วงใบไม้ผลิก็ต้องใส่เสื้อผ้าให้มันหนาๆ อากาศแบบนี้แกใส่เสื้อผ้าพวกนี้ออกไปข้างนอกทำไมกัน? จะไปอวดเนื้อหนังให้ใครดูหรือยังไง?”

ฉินสือโอวยิ้มแห้งๆ พูดกับพ่อว่า “พ่อ ทำไมพูดอะไรไม่น่าฟังเลยล่ะ อวดเนื้อหนังอะไรกัน? ผมจะพูดให้พ่อฟังนะ ที่พ่อพูดมันไม่สมเหตุสมผลเลย ตอนฤดูหนาวสวมเสื้อนวมบุฝ้ายมาตั้งหลายเดือนแล้ว พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็ควรจะสวมเสื้อผ้าบางๆ ระบายอากาศ แบบนี้ถึงจะเรียกว่าลดภาระให้กับร่างกาย”

ที่จริงแล้วตั้งแต่กลับมาจากกรีนแลนด์ ฉินสือโอวคิดว่าไม่ว่าอากาศจะหนาวแค่ไหนก็คงทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ไม่ได้พูดไปเรื่อย ที่ขั้วโลกเหนือ เวลาออกไปฉี่ในตอนกลางคืน พอปัสสาวะที่เป็นของเหลวอุณหภูมิสูงตกลงไปบนพื้นก็จะกลายเป็นน้ำแข็งทันที ถ้าใช้เรื่องนี้เป็นมาตรฐาน สภาพอากาศบนเกาะแฟร์เวลก็คงจะมีแต่ฤดูร้อนตลอดทั้งปี

ได้ยินเสียงสองพ่อลูกกำลังเถียงกัน แม่ฉินจึงยื่นหัวออกมาจากห้องครัวแล้วพูดกับพวกเขาว่า “พอแล้ว พ่อก็บ่นให้มันน้อยๆ หน่อย เสี่ยวโอวน่ะเหรอจะไม่รู้ความ? คนหนุ่มเขาก็มีกำลังวังชาของเขา อย่าไปสนใจพ่อแกเลย ออกไปข้างนอกเถอะ”

ฉินสือโอววิ่งออกไปพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พอออกมาพ้นประตูนกจมูกหลอดหางสั้นหลายตัวก็พากันบินผ่านหัวของเขาไป พอมองเห็นฉินสือโอวนกตัวหนึ่งก็หันกลับมาร้องจิ๊บๆ ใส่เขา

นกจมูกหลอดหางสั้นกลายมาเป็นนกประจำถิ่นของเกาะแฟร์เวลแล้ว ผ่านการแพร่พันธุ์มาเป็นระยะเวลาสองปีกว่า จากตอนแรกที่มีอยู่แค่ไม่กี่พันตัว นกพวกนี้ก็ขยายพันธุ์จนกลายเป็นนกฝูงใหญ่ที่มีสมาชิกมากว่าสามหมื่นสี่หมื่นตัว

เนื่องจากที่ฟาร์มปลามีแหล่งอาหารอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ สภาพอากาศก็ไม่ถือว่าเลวร้าย พวกนกจมูกหลอดหางสั้นเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของที่นี่ได้แล้ว จำนวนประชากรของนกจมูกหลอดหางสั้นจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นกพวกนี้อยู่ดีกินดีจนแทบจะมีพุงอ้วนกลมกันทุกตัว จนบางครั้งก็ตกลงไปบนผิวทะเลเพราะไม่มีแรงจะตีปีกบิน…

ฉินสือโอววิ่งอยู่บนชายหาด เขาพบว่ามีนกจมูกหลอดหางสั้นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะอย่างนั้นตอนที่กำลังทานอาหารเช้าเขาจึงเสนอข้อคิดเห็นกับวินนี่ว่า “ผมขอถามหน่อยว่า เทศบาลพอจะมีวิธีควบคุมจำนวนนกจมูกหลอดหางสั้นบ้างไหม? ที่นี่มีศัตรูทางธรรมชาติของนกพวกนี้บ้างไหม แบบนี้มันมีแนวโน้มที่จะแพร่ระบาดได้ง่ายๆ เลยนะ”

วินนี่กัดตะเกียบพร้อมกับตอบเขาว่า “อื้ม ที่คุณพูดก็มีเหตุผล เดี๋ยววันนี้ตอนไปทำงานฉันจะเรียกประชุมเพื่อขอคำปรึกษาสำหรับเรื่องนี้ดูก็แล้วกันนะคะ” หลังจากพูดจบ พอเธอก็เปิดหน้าต่างออกไปมองข้างนอกเธอก็ถึงกับอุทานออกมาว่า “พระเจ้า คงต้องควบคุมการแพร่พันธุ์ของพวกมันบ้างแล้วจริงๆ ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นมันใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

ฉินสือโอวที่ตามเข้าไปดูก็ตกใจจนตัวโยน ฝูงนกขนาดใหญ่ฝูงหนึ่งกำลังบินมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน พวกมันบินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือฟาร์มปลาหนึ่งรอบ แล้วก็พากันบินถลาลงไปในทะเล ราวกับก้อนเมฆที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า

“เวร นกฝูงใหญ่มาถึงแล้วเหรอเนี่ย?” ฉินสือโอวถึงกับสะดุ้งตกใจ

เมื่อปีสองปีก่อนตอนที่นกจมูกหลอดหางสั้นฝูงใหญ่อพยพมาที่นี่ ในช่วงแรกก็มีลักษณะคล้ายๆ ตอนนี้ ถึงแม้ว่าเกาะแฟร์เวลจะมีนกจมูกหลอดหางสั้นอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้ก็เหลืออยู่ไม่ถึงห้าหมื่นตัวแล้ว ทั้งยังมีพวกที่บินมาก่อนล่วงหน้าอยู่หลายกลุ่ม รวมทั้งหมดจะมีนกอยู่ประมาณหนึ่งแสนกว่าตัว

นกจมูกหลอดหางสั้นจะมีทิศทางอพยพที่แน่นอน แต่จะไม่มีเส้นทางการอพยพที่ตายตัว ปัจจุบันนกอพยพส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องอพยพเป็นกลุ่มใหญ่ พวกมันจะเปลี่ยนเส้นทางอพยพทุกปี

หลังจากที่แวดวงด้านชีววิทยาได้ทำการวิจัย ผลการศึกษาก็ได้ระบุไว้ว่านี่เกิดจากการบีบบังคับของมนุษย์ ตอนนี้พวกนกเกิดการเรียนรู้แล้ว พวกมันจึงไม่เดินทางปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกอยู่ในกับดักของมนุษย์จนสูญพันธุ์กันทั้งฝูง

เมื่อฤดูใบไม้ผลิของปีที่แล้ว ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นไม่ได้อพยพผ่านฟาร์มปลา ได้ยินมาว่าพวกมันบินไปที่แซงปีแยร์และมีเกอลงแทน ไม่คิดว่าปีนี้จะมาที่นี่อีก

หากนกจมูกหลอดหางสั้นอพยพมา นั่นก็หมายความว่าฝูงปลาแคปลินก็กำลังจะมาที่นี่ แบบนั้นคงทำให้ฟาร์มปลาเริ่มคึกคักขึ้นแล้ว

เหนือกว่าความคาดหมายของเขา ยังไม่ทันไรฟาร์มปลาก็คึกคักจนถึงขั้นวุ่นวายแล้ว ช่วงเช้าฉินสือโอวหยิบเอากล้องถ่ายรูปออกมาตั้งใจว่าจะไปถ่ายรูปฝูงนกอพยพไว้สักหน่อย แต่ปรากฏว่าพอไปถึงริมชายหาด เขาก็เห็นนกจมูกหลอดหางสั้นตัวอวบอ้วนฝูงหนึ่งบินขึ้นมาจากป่าบนเกาะเล็ก พวกมันบินขึ้นไปบนอากาศเหนือผิวทะเลแล้วเริ่มโจมตีนกจมูกหลอดหางสั้นอีกฝูงด้วยท่าทางดุดัน

หลังจากที่นกจมูกหลอดหางสั้นทั้งสองฝูงได้พบกัน พวกมันก็เริ่มสงครามด้วยการจิกทึ้งกันทันที เขามองเห็นเพียงนกขนสีเทาเข้มที่บินอุตลุดอยู่บนท้องฟ้า เสียงนกร้องจิ๊บๆ ดังขึ้นมาอย่างไม่จบสิ้น นกจมูกหลอดหางสั้นก็ร่วงลงมาบนผิวทะเลอยู่ไม่ขาด แต่หลังจากนั้นนกที่ตกลงมาก็จะบินขึ้นไปสู้ต่อ

ฉินสือโอวจึงเกิดความรู้สึกประหลาดใจ ทำไมพวกนกจมูกหลอดหางสั้นถึงทะเลาะกันเองเสียได้ล่ะ? แต่แค่ครู่เดียวเขาก็เข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว นกจมูกหลอดหางสั้นตัวอวบอ้วนพวกนั้นคือนกที่อยู่ที่นี่จนกลายเป็นนกประจำถิ่น ส่วนนกที่ดูผอมแห้งพวกนั้นคือนกอพยพที่เพิ่งจะมาถึง ทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาณาเขต

ถึงจะมีบรรพบุรุษเป็นพวกเดียวกัน ถึงขั้นที่ว่าต่อให้นับขึ้นไปอีกสองสามรุ่นก็ยังถือว่านกพวกนี้เป็นครอบครัวเดียวกัน แต่หลังจากที่แยกย้ายกันไปสองปี นกจมูกหลอดหางสั้นประจำถิ่นก็ถือว่าฟาร์มปลาเป็นถิ่นฐานของพวกมันไปแล้ว เมื่อมีสัตว์สายพันธุ์เดียวกันอพยพมาที่นี่ พวกมันจะไม่รู้สึกยินดีและอยากไล่ไปให้พ้นก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา

หลังจากนกทั้งสองฝูงบุกปะทะกัน สถานการณ์การต่อสู้ก็ดูน่าเวทนาอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ทั้งสองฝ่ายมีข้อได้เปรียบด้วยกันทั้งคู่ จึงต่อสู้ติดพันกันได้อย่างไม่มีใครยอมใคร

ข้อได้เปรียบของนกจมูกหลอดหางสั้นเจ้าถิ่นก็คืออาหารจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่พวกมันกินเข้าไปทุกวัน ดังนั้นอย่ามองว่าพวกมันอ้วน ที่จริงแล้วนั่นเรียกว่าบึกบึนแข็งแรงต่างหาก พวกมันมีแรงขับเคลื่อนเต็มเปี่ยม พละกำลังมาก ทั้งยังบินได้เร็ว ทำให้พวกมันได้เปรียบในเรื่องของสมรรถภาพร่างกาย

ส่วนพวกนกจมูกหลอดหางสั้นที่อพยพมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย พวกมันมีจำนวนมากและยังผ่านความยากลำบากจากการเดินทางไกลในทุกๆ ปี ดังนั้นพวกมันจึงมีความอดทนที่เยี่ยมยอด ถึงจะไม่ชำนาญการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่เวลาต่อสู้ร่วมกันกับฝูงพวกมันก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ

การต่อสู้กินระยะเวลากว่าครึ่งวัน พอถึงช่วงบ่ายเมื่อกองกำลังหลักของฝูงนกอพยพมาถึง นกประจำถิ่นก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ เมื่อเป็นเช่นนี้จำนวนนกจึงเพิ่มเป็นหลายแสนตัว!

หลังจากได้เห็นเหตุการณ์การต่อสู้ในครั้งนี้ฉินสือโอวก็ตกอยู่ในอารมณ์เดือดพล่าน พอดีกับที่ตอนนี้มีเรือขโมยปลาลำหนึ่งกล้าเข้ามาในฟาร์มปลาของเขาอย่างไม่กลัวตาย เขาจึงถือปืนกลเบาเบรนนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไปหาทันที

เรือขโมยปลาลำนั้นดวงซวยไปหน่อย คาดว่าเจ้าของเรือน่าจะเป็นคนต่างถิ่นเลยไม่รู้ถึงกิตติศัพท์ความองอาจของฟาร์มปลาต้าฉิน ด้วยชื่อเสียงของฉินสือโอวที่ดังกระฉ่อนออกไป ในช่วงเวลากว่าครึ่งปีนี้เรือที่มาขโมยปลาจึงลดจำนวนลงไปมากแล้ว เรือผีฟลาวเวอร์ฟอกซ์เองก็ถูกจอดทิ้งไว้ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว

พวกบีบีซวง ออสเปรกับคนอื่นๆ ได้แต่ทำงานดูแลความปลอดภัยแต่ไม่ได้ออกทะเล เลยรู้สึกค่อนข้างเหนื่อยหน่าย พอเห็นว่ามีเรือขโมยปลาบุกเข้ามา พวกเขาจึงแย่งกันออกไปขู่คนบนเรือ

ฉินสือโอวบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ตอนนี้เขากำลังอยากระบายอารมณ์พอดี กว่าจะมีที่ให้ลงแบบนี้ ทำไมจะต้องใช้เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ด้วยล่ะ?

คนบนเรือขโมยปลาเพิ่งจะทิ้งอวนได้แป๊บเดียว ชาวประมงกลุ่มนั้นกำลังมองดูเครื่องตรวจหาปลาพร้อมกับเพ้อฝันถึงผลเก็บเกี่ยวจำนวนมหาศาลที่พวกตนจะได้ติดมือกลับไป แต่กลับกลายเป็นว่ามีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งบินมาจอดอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะของพวกเขาเสียก่อน ต่อจากนั้นวิทยุสื่อสารก็แผดเสียงดังออกมา “เรือเมจิคฟิชสเปียร์กรุณาฟังทางนี้! เรือเมจิคฟิชสเปียร์กรุณาฟังทางนี้! ขณะนี้พวกคุณกำลังรุกล้ำเขตคุ้มครองสัตว์พันธุ์หายาก กรุณาออกจากที่นี่ภายในสิบวินาที ไม่อย่างนั้นก็เตรียมตัวรับไฟแค้นจากกลุ่มผู้คุ้มครองได้เลย!”

คนบนเรือขโมยปลาถึงกับไปไม่เป็น ทำไมคำพูดพวกนั้นถึงเหมือนกับว่ากำลังถ่ายหนังอยู่เลยล่ะ? ไฟแค้นอะไร นึกว่าเป็นพวกกองทัพแห่งหายนะอะไรพวกนั้นเสียอีก

เวลาสิบวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขายังสับสนมึนงงไม่หาย ประตูของเฮลิคอปเตอร์ถูกเปิดออก ปืนกลเบากระบอกหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาแล้วเช่นกัน เสียงลูกกระสุนที่ถูกยิงลงไปในน้ำทะเลข้างๆ เรือดังโป้งป้างขึ้นมา ทำให้ชาวประมงบนเรือตกใจจนฉี่แทบราด

ที่จริงแล้วฉินสือโอวไม่กล้าทำร้ายใครหรอก กองกำลังทหารอาสาของพวกเขาเป็นเพียงกองกำลังที่ก่อตั้งขึ้นตามระเบียบกองทัพแคนาดา กองทัพบกแคนาดาอนุญาตให้พวกเขาก่อตั้งกองกำลังนี้ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่สร้างปัญหา ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ผู้ที่จะรับมือกับพวกเขาก็คือกองทัพบกแคนาดา

ชาวประมงบนเรือไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขานึกว่าตัวเองมาเจอกับคนบ้า จึงพากันขับเรือหนีไปด้วยความหวาดหวั่น ขณะเดียวกันก็กล่าวขอโทษผ่านทางวิทยุสื่อสารไปด้วย ส่วนเรื่องที่ว่าจะแจ้งตำรวจน่ะเหรอ? พวกเขาเป็นเรือขโมยปลา ถ้าแจ้งตำรวจก็เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนไม่ใช่เหรอ?

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท