ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1518 เมล็ดพันธุ์มะฮอกกานีจีน

บทที่ 1518 เมล็ดพันธุ์มะฮอกกานีจีน

ไล่เรือขโมยปลาไปแล้ว ฉินสือโอวกอดปืนกลเบาเบรนพร้อมกับปรบมือให้ตัวเองสองที เขามองดูท่าทางองอาจของตัวเองในรูปแล้วพูดอย่างเสียดายว่า “เบิร์ด นายรู้ไหมว่าฉันเคยคิดอยากจะเป็นทหารรับจ้างมาก่อนด้วยนะ เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ ฉันว่าฉันก็เหมาะกับชีวิตที่ต้องเผชิญกับการทำสงครามและการต่อสู้อยู่เหมือนกัน”

มุมปากของเบิร์ดที่กำลังขับเฮลิคอปเตอร์อยู่ก็เกิดอาการกระตุกขึ้นมาสองที เขาพูดว่า “บอส ผมต้องขอบอกว่าคุณโชคดีมากๆ แล้วล่ะ ถ้าคุณไปเป็นทหารรับจ้างจริงๆ ก็คง…”

เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่แบะปากพร้อมกับส่ายหัวไปมาเท่านั้น

ฉินสือโอวจึงพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “นายก็ไม่เคยเป็นมาก่อนเหมือนกัน แล้วนายจะรู้ได้ยังไง? ถ้าแบล็คไนฟ์เป็นคนพูด ฉันคงจะเชื่ออยู่หรอก แต่สำหรับนายน่ะเหรอ?”

เขาเองก็แบะปากส่ายหัวบ้างแล้ว

เบิร์ดหัวเราะออกมาด้วยท่าทางที่เหมือนกับจะบอกว่าเขาช่างไร้เดียงสา “ใครบอกว่าผมไม่เคยทำงานแบบนั้นกันล่ะ? ผมไปทำได้แค่ครั้งเดียวก็รู้แล้วว่านี่ไม่ใช่งานที่คนปกติจะทำกัน ผมยอมกลับไปเป็นตำรวจตระเวนชายฝั่งดีกว่าจะไปหาเงินด้วยวิธีแบบนั้น”

ทั้งสองคนคุยกันมาตลอดทาง เฮลิคอปเตอร์บินกลับมายังบนฝั่งของฟาร์มปลา แต่ยิ่งบินก็ยิ่งบังคับเฮลิคอปเตอร์ได้ยากขึ้นเรื่อยๆ นกจมูกหลอดหางสั้นเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้ว แถมยังมีนกนางนวลบางส่วนบินปนเข้ามาในฝูงอีกด้วย ไม่รู้ว่าทำไมนกนางนวลพวกนี้ถึงได้เข้ามาอยู่ในฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นเสียได้

เพื่อป้องกันไม่ให้ขับไปชนเข้ากับนกจมูกหลอดหางสั้น เบิร์ดจึงต้องบังคับเฮลิคอปเตอร์ให้บินสูงขึ้น เมื่อมองดูฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นจากมุมสูงแบบนี้ก็ยิ่งดูน่าตกใจ

ศัตรูล้อมโจมตีดั่งเมฆดำ ชุดเกราะส่องสะท้อนแสงทองดั่งเกล็ดมังกร!

ข่าวรายงานว่านกจมูกหลอดหางสั้นอพยพมาถึงนครเซนต์จอห์นและเกาะแฟร์เวลแล้ว ด้วยเหตุนี้จำนวนของนักท่องเที่ยวจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาอันสั้น และส่วนใหญ่ยังพกปืนติดตัวมาด้วย พวกเขาตั้งใจจะไปล่านกนั่นเอง

นกจมูกหลอดหางสั้นกระจายตัวกันอยู่ในขอบเขตขนาดใหญ่ ปรากฏร่องรอยของพวกมันทั้งในเขตมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก พวกมันมีจำนวนประชากรนกเกินกว่ายี่สิบล้านตัว ไม่ได้ใกล้เคียงกับมาตรฐานสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เลยด้วยซ้ำ ทั้งยังมีแนวโน้มของจำนวนประชากรที่ค่อนข้างคงตัว และเนื่องจากถูกประเมินว่าเป็นสัตว์ที่ไม่ได้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ พวกมันจึงกลายเป็นสัตว์ที่ได้รับการอนุญาตให้จับได้

แต่วินนี่ก็คิดว่าควรจะคุ้มครองสัตว์ป่าเหล่านี้เอาไว้ ดังนั้นในฐานะที่เป็นนายกเทศมนตรีเธอจึงออกคำสั่งชั่วคราวว่าไม่อนุญาตให้ล่านกจมูกหลอดหางสั้นโดยการใช้ตาข่ายดักนก อนุญาตให้ใช้ได้แค่ปืนเท่านั้น

บรรยากาศการล่านกของเมืองนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว พอล ซาโกรกับโหวจื่อเซวียนจึงใช้โอกาสนี้จัดกิจกรรมล่านก โดยพวกเขาได้ให้บริการเช่าปืนพร้อมกับสอนวิธีล่านกจมูกหลอดหางสั้นให้กับบรรดานักท่องเที่ยว ซึ่งนั่นถือเป็นการยกระดับธุรกิจร้านเช่าปืนขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น

ที่ฟาร์มปลามีนกจมูกหลอดหางสั้นอยู่เยอะที่สุด นกพวกนี้ไวต่อสัมผัสยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก เคยกินไปแค่ไม่กี่ครั้งพวกมันก็รู้แล้วว่าปลาที่ไหนอร่อยและมีสารอาหารอุดมสมบูรณ์มากกว่ากัน ดังนั้นนกจมูกหลอดหางสั้นฝูงใหญ่จึงเริ่มลงมือสร้างรังบนชายหาดตั้งแต่ค่ำวันแรกที่มาถึง

ด้วยเหตุนี้บนชายหาดของฟาร์มปลาต้าฉินจึงเนืองแน่นไปด้วยรังนก จนถึงขั้นที่ว่าไม่มีที่ให้เดินกันเลยทีเดียว

ฝูงแมวน้ำก็พากันดีใจยกใหญ่ นอกจากกินปลา พวกมันยังสามารถล่านกมาเป็นอาหารได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าที่ฟาร์มปลาจะมีทรัพยากรสัตว์ทะเลอยู่เป็นปริมาณมาก แต่ถ้าจะจับปลาจับกุ้งก็ต้องดำน้ำลงไป จับนกจมูกหลอดหางสั้นง่ายกว่านั้นมาก เพราะตอนนี้ฝูงนกก็มาทำรังถึงหน้าประตูบ้านของพวกมันแล้ว

บรรดาแมวน้ำกรีนแลนด์เข้าไปทักทายกับเพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายมาใหม่อย่างมีความสุข ใช้ครีบหน้าตะปบลงไปทีเดียวแล้วหม่ำเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย

พวกหู่เป้าฉงหลัวกับลูกแมวป่าก็เข้าร่วมการล่านกจมูกหลอดหางสั้นเช่นกัน หมีสีน้ำตาล หมาป่าและแมวป่าเป็นสัตว์ที่กินนกเป็นอาหาร โดยเฉพาะลูกแมวป่าที่ชอบกินนกเป็นพิเศษ

ตกเย็นพวกมันก็พากันกลับไปพร้อมกับพุงกลมๆ ดูแล้วน่าจะอิ่มมาก อีกทั้งบนร่างกายก็มีขี้นกติดอยู่จนสกปรกเลอะเทอะไปทั่วทั้งตัว

เหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งวิ่งทั้งดันกันมาถึงประตู หลังจากนั้นพวกมันก็หันมามองหน้ากันแล้วนั่งลงตรงหน้าประตูโดยอัตโนมัติ เพราะไม่กล้าวิ่งเข้าไปข้างใน หลังเลิกงานวินนี่ดูอ่อนล้ามากๆ แต่เมื่อเห็นเหล่าสัตว์เลี้ยงกลับมาพร้อมเนื้อตัวมอมแมม เธอก็รู้ว่ามีเรื่องให้ต้องเหนื่อยอีกแล้ว

วินนี่บอกให้ฉินสือโอวไปเอาอ่างอาบน้ำของเถียนกวาออกมา เธอเติมน้ำอุ่นลงไปในอ่างแล้วอาบน้ำให้กับบรรดาสัตว์เลี้ยง เถียนกวากำลังนั่งเล่นของเล่นอยู่บนพื้นพอเห็นว่าหู่จือกับเป้าจือลงไปในอ่างอาบน้ำของตัวเอง หนูน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความคึกคักดีใจเพราะอยากจะลงไปอาบน้ำพร้อมกับพวกมันบ้าง

วินนี่รีบดึงเธอออกมา แล้วตะโกนเรียกฉินสือโอวด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักเพื่อให้เขาให้มาช่วยดูลูก เด็กน้อยไม่พอใจมากๆ เธอเอาแต่ยื่นแขนสั้นๆ ออกไปร้องจะลงไปอาบน้ำกับหู่จือเป้าจือไม่หยุด

ฉินสือโอวหมดปัญญาจะจัดการเรื่องนี้ เขาจึงพูดว่า “คุณพาพวกมันไปอาบน้ำที่บ่อแช่น้ำร้อนก็ได้นี่”

วินนี่ตอบกลับไปว่า “คุณล้อฉันเล่นแล้วล่ะ น้ำในบ่อน้ำร้อนแทบจะไม่มีการถ่ายเทเลย ถ้าพาไปอาบน้ำทั้งที่ตามตัวมีแต่ขี้นกแบบนี้ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็อย่าหวังว่าพวกเราจะได้ลงไปแช่อีกเลย”

สัตว์เลี้ยงตัวอื่นเธอยังยอมให้ได้ เถียนกวาอยากเล่นกับพวกมัน เลยไม่ได้ถือสาที่จะให้พวกมันใช้อ่างอาบน้ำของเธอ แต่พอถึงตอนที่หมีโลลิกำลังจะลงไปอาบ เธอก็เกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา จึงเบะปากพูดเหมือนกำลังจะร้องไห้ว่า “ไม่ได้! ไม่ได้! ไม่ให้ใช้ หม่าม๊าคะ ไม่ให้ใช้นะ!”

วินนี่จึงหันมาพูดกับเขาด้วยความร้อนรน “ยังไม่รีบพาลูกไปอีก!”

หลังจากอาบน้ำให้บรรดาสัตว์เลี้ยงจนพอจะสะอาดแล้ว วินนี่ถึงเพิ่งจะมีเวลาพักผ่อน พ่อของฉินสือโอวชงชาให้เธอหนึ่งแก้ว หลังจากเอ่ยขอบคุณเขา วินนี่ก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาส่งให้กับพ่อฉิน เธอแย้มยิ้มหวานพูดกับเขาว่า “พ่อคะ นี่เป็นของขวัญที่หนูอยากมอบให้พ่อกับแม่ค่ะ”

พ่อฉินยิ้มและหัวเราะพร้อมกับเปิดกล่องออก ข้างในมีเมล็ดพันธุ์สีน้ำตาลเข้มอยู่หนึ่งเม็ด เมื่อลองดมดูแล้วเขาก็ถามเธอด้วยความดีใจว่า “นี่คือเมล็ดพันธุ์ของต้นมะฮอกกานีจีนใช่ไหม?”

วินนี่พยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่ค่ะ หนูเห็นว่าพ่อกับแม่ชอบกินยอดอ่อนมะฮอกกานีจีนมากๆ แต่ที่นครเซนต์จอห์นไม่ได้ปลูกผักชนิดนี้ไว้เลย ซื้อเมล็ดพันธุ์มาให้พ่อกับแม่ปลูกน่าจะดีกว่า”

เนื่องจากปัญหาเรื่องภาษาในการสื่อสารทำให้หลังจากพ่อฉินกับแม่ฉินมาอยู่ที่นี่พวกเขาก็ไม่ได้มีเพื่อนที่ไหน ปกติแล้วก็ทำได้แค่จัดการงานบ้านกับดูทีวี แถมช่องทีวีภาษาจีนก็มีอยู่ไม่กี่ช่อง ซึ่งนั่นน่าเบื่อหน่ายมากๆ นอกจากนี้ งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของพวกเขาก็คือการเพาะปลูก ทั้งปลูกพืชสวนเกษตร ปลูกผัก ดูแลต้นองุ่น แต่นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาชอบ แท้จริงแล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่มีอะไรให้ทำต่างหาก

ดังนั้นพอวินนี่เห็นว่าพวกเขาชอบทานยอดอ่อนมะฮอกกานีจีน เธอจึงซื้อเมล็ดพันธุ์มะฮอกกานีจีนแล้วให้คนนำมาส่งให้

แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ หลังจากพ่อฉินบอกแม่ฉินว่าของในกล่องคือเมล็ดพันธุ์มะฮอกกานีจีน แม่ฉินก็ถึงกับยิ้มออกมา “กินข้าวเสร็จก็ไปเร่งให้ออกหน่อเลยแล้วกัน หลังอากาศอบอุ่นขึ้นก็จะแตกหน่อพอดี เอาไปลงดินเสร็จแล้วปีหน้าอาจจะได้กินมะฮอกกานีจีนที่ปลูกเองก็ได้”

ตลอดมื้ออาหารค่ำ พ่อฉินกับแม่ฉินต่างก็พูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น ว่าจะเร่งการแตกหน่อโดยวิธีไหนถึงจะได้ผลเร็วที่สุด

ฉินสือโอวได้เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกหัวเสียอยู่ไม่น้อย เขาหันไปเห็นเสี่ยวเถียนกวาที่สามารถจับช้อนทานไข่ตุ๋นเองได้แล้ว จึงพูดโพล่งออกไปว่า “พ่อครับแม่ครับ อีกสักสองสามเดือนรอให้เถียนกวาวิ่งได้คล่องแล้วพ่อกับแม่ก็กลับบ้านเลยนะ”

ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อก่อนพ่อกับแม่ถึงไม่อยากมาแคนาดา เขาอยากให้พ่อแม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่นี่ ทว่าความสุขที่พวกเขาได้รับกลับมีเพียงความสุขทางด้านวัตถุเท่านั้น พ่อฉินกับแม่ฉินต้องพบกับความโดดเดี่ยวเกินไป เขากับวินนี่ต่างก็มีงานที่ต้องทำกันทั้งคู่ คนแก่อย่างพวกเขาต้องอยู่บ้านกันแค่สองคน อย่างดีที่สุดก็มีเด็กๆ อีกห้าคนคอยอยู่เป็นเพื่อน

แบบนี้กลับไปอยู่ที่บ้านเก่าคงจะดีกว่า ที่บ้านเก่าพ่อฉินกับแม่ฉินรู้จักคนเยอะมาก ได้แวะไปหาคนในหมู่บ้านหรือนอกหมู่บ้านก็ยิ่งมีความสุข

พ่อฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไปล่ะ? ทำไมตอนนี้ถึงได้ไล่พ่อแม่กลับเสียแล้วล่ะ?”

ฉินสือโอวทานเนื้อย่างไปด้วยพูดไปด้วย “อืม ผมมีเมียเลยไม่ต้องการพ่อกับแม่แล้ว เพราะอย่างนั้นพ่อกับแม่พากันกลับบ้านเถอะครับ”

แม่ฉินเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ เธอพูดว่า “อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าพ่อกับแม่จะกลับก็ต้องรอให้เถียนกวาโตกว่านี้อีกหน่อย อย่างน้อยๆ ก็ต้องอยู่ดูจนกว่าหลานจะเข้าเรียนนั่นล่ะ”

วินนี่ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรค่ะ แม่คะ หนูจะเป็นคนดูลูกเองค่ะ เดี๋ยวหนูพาลูกไปที่ทำงานด้วยก็ได้ ลูกชอบห้องทำงานของหนูมากๆ เลยล่ะค่ะ”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท