ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1519 นกอ้วนเป็นแหล่งอาหาร

บทที่ 1519 นกอ้วนเป็นแหล่งอาหาร

สุดท้ายการถกเถียงกันเรื่องกลับบ้านเก่าก็ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่ฉินสือโอวรู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาก็คิดถึงบ้านเหมือนกัน

จริงอยู่ว่าความสุขจากการที่ได้อยู่กับลูกชายและหลานสาวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันถือเป็นสิ่งที่งดงาม แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะมีสิ่งบันเทิงซึ่งเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิตสำหรับพวกเขาด้วย ชีวิตของคนเรานั้น หากราบรื่นเกินไปก็คงจะไม่น่าสนใจ อีกทั้งคนพอยิ่งแก่ตัวไปก็จะยิ่งนึกถึงวันคืนเก่าๆ ยิ่งชื่นชอบความครึกครื้น ต้องมาอยู่แต่ในฟาร์มปลาอย่างเหงาๆ แต่ละวันได้แต่เดินไปเดินมารอบๆ บ้านหลังใหญ่ ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง

ฉินสือโอวมองออกว่าพ่อกับแม่ของเขาคงจะรู้สึกอย่างนั้น

ดังนั้นหลังจากทานอาหารเสร็จ เขาก็โทรศัพท์ไปหาพี่สาวของเขา แล้วบอกเธอว่าพ่อกับแม่อาจจะกลับบ้านตอนช่วงฤดูร้อน ให้พี่ไปดูแลบ้านก่อนล่วงหน้า อันไหนควรเก็บก็เก็บ ของที่ควรเปลี่ยนก็เปลี่ยนซะ

นอกจากนี้เขายังบอกพี่สาวว่าในช่วงนี้ให้เอาใจใส่ให้มากขึ้นกว่าเดิม ลองหาดูหน่อยว่ามีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่พอจะเช่าเพื่อล้อมกระชังได้บ้างไหม ถ้าเช่าได้พอกลับไปจะได้ให้พ่อกับแม่เป็นคนดูแล ไม่อย่างนั้นถ้าไม่มีอะไรให้ทำเดี๋ยวพ่อกับแม่ก็กลับไปปลูกผักปลูกหญ้าอีก เทียบกันแล้วมันเหนื่อยกว่ากันมาก ให้เลี้ยงปลายังดีเสียกว่า

กิจการร้านอาหารของฉินสือโอวที่บ้านเก่าเปิดมาได้สักพักหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงเดียวกันกับที่เถียนกวายังเล็กอยู่มาก เขาออกไปที่อื่นไม่ได้ ช่วงเปิดร้านเลยไม่ได้กลับไป และปล่อยให้ต้วนเหล่ยเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด

ต้วนเหล่ยเป็นผู้จัดการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ แหล่งที่มาของลูกค้า หรือการติดต่อกับหน่วยงานราชการต่างๆ ล้วนแต่มีเขาเป็นคนจัดการทั้งสิ้น ส่วนหน้าที่ของฉินสือโอวก็คือการจัดหาอาหารทะเล ทั้งสองคนลงทุนร่วมกันจึงทำให้พวกเขาต่างก็ถือหุ้นกันคนละครึ่ง

ฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจกิจการร้านอาหารร้านนี้เท่าไรนัก เขามอบอำนาจในการบริหารจัดการทั้งหมดให้กับพี่สาวและพี่เขยของเขา ปล่อยให้ทั้งสองคนติดต่อพูดคุยกับต้วนเหล่ยเอาเอง บ่อเลี้ยงปลาในแม่น้ำไป๋หลงก็มอบหน้าที่ให้ทั้งสองคนเป็นผู้ดูแล ดังนั้นบ่อเลี้ยงปลาจึงกลายเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักสำหรับร้านอาหารของพวกเขา

เขามีตัวช่วยพิเศษอย่างหัวใจโพไซดอนอยู่ การที่เขาให้พ่อกับแม่กลับไปดูแลบ่อเลี้ยงปลา แท้จริงแล้วเขาจะเป็นคนลงแรงดูแลบ่อเลี้ยงปลาเอง พ่อกับแม่ของเขาไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ส่วนปลาในบ่อก็สามารถนำไปเป็นวัตถุดิบสำหรับร้านอาหารได้ด้วย

ด้วยความที่กิจการร้านอาหารเริ่มเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ วัตถุดิบจากบ่อปลาแห่งเดียวในแม่น้ำไป๋หลงจึงเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องขยายบ่อเลี้ยงปลา พี่สาวของฉินสือโอวได้ล้อมแม่น้ำไป๋หลงตรงบริเวณหน้าหมู่บ้านไว้ตลอดทั้งช่วง บ่อปลาถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบถึงสิบเท่า

คุยเรื่องนี้กับพี่สาวเสร็จแล้ว หลังจากกดวางสายฉินสือโอวก็ไปช่วยพ่อกับแม่คัดเมล็ดพันธุ์เพื่อนำมาเร่งให้แตกหน่อ

มะฮอกกานีจีนสามารถออกดอกผลได้มากพอดูทีเดียว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปลูกเมล็ดพันธุ์ในปริมาณมาก แต่จะมีอัตราการแตกหน่อที่ต่ำมาก ต่อให้คัดแต่เมล็ดพันธุ์ดีๆ อัตราการแตกหน่อก็อาจจะไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์จึงเป็นงานที่สำคัญมาก

เมล็ดพันธุ์ที่วินนี่สั่งซื้อมาเป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่อย่างดีที่ออกผลเมื่อปีที่แล้ว ฉินสือโอวคัดเอาแต่เมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์อวบอิ่มเป็นพิเศษ เขานำโคมไฟมาด้วยหนึ่งดวง เมล็ดพันธุ์ที่ดีจะสะท้อนแสงแวววาวภายใต้แสงไฟ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้รู้ได้ว่านั่นเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีพลังงานอยู่อย่างเต็มอิ่ม

เพื่อการแตกหน่ออย่างสมบูรณ์ จึงต้องทำการเร่งเมล็ดพันธุ์มะฮอกกานีจีนที่เลือกมาให้แตกหน่อ ซึ่งวิธีการจัดการก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิสูง 40 องศา เป็นเวลาประมาณ 5 นาที โดยจะต้องคนอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นก็นำมาแช่ในน้ำอุณหภูมิ 20 ถึง 30 องศา หนึ่งวันหลังจากนั้นก็เก็บเมล็ดพันธุ์ขึ้นจากน้ำแล้วรอให้แตกหน่อ

เมื่อถึงเวลาเข้านอนในตอนกลางคืน ก็มีเสียงนกร้องก็ดังลอดเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง เพราะมีนกจมูกหลอดหางสั้นอยู่เยอะเกินไป ดังนั้นแม้ว่าฉินสือโอวจะปิดม่านก็ไม่ได้ช่วยให้เสียงเบาลงแต่อย่างใด ถึงแม้ว่านกชนิดนี้จะล่าเหยื่อในเวลากลางวันและนอนในเวลากลางคืน ทว่าพวกมันก็มีจำนวนมากเกินไป ทำให้ถึงอย่างไรก็ยังมีนกบางส่วนที่กระพือปีกบินออกไปจับปลาอยู่ดี

ด้วยเหตุนี้จึงมักจะมีนกจมูกหลอดหางสั้นบินผ่านหน้าต่างอยู่เสมอ พวกมันกระพือปีกและส่งเสียงร้องออกมาไม่ขาด จนทำให้พวกเขานอนหลับได้ไม่สนิท

วินนี่ที่เหนื่อยล้ามาแล้วทั้งวันก็อยากจะนอนหลับให้สนิท พอนอนหลับไม่สนิทก็เป็นธรรมดาที่จะอารมณ์ไม่ดี

ฉินสือโอวพาแก๊งนกสามตัวมาไว้บนหลังคาวิลล่า ถ้ามีนกจมูกหลอดหางสั้นบินมา เขาก็จะให้พวกมันจู่โจมทันที ไม่ยอมให้พวกมันเข้ามาใกล้ได้เด็ดขาด

มีนกใหญ่ทั้งสามตัวคอยคุ้มกันวิลล่า หลังจากถูกโจมตีอยู่ไม่กี่ครั้งพวกนกจมูกหลอดหางสั้นก็รู้แล้วว่าที่ตรงนี้คือสถานที่ต้องห้าม จึงไม่กล้าเข้าใกล้อีก เมื่อเป็นเช่นนี้ในที่สุดพวกเขาก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบายแล้ว

เมื่อถึงตอนที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าในเวลาเช้าตรู่ ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นก็เริ่มออกปฏิบัติการ

ฉินสือโอวที่ได้ยินเสียงใสกังวานของนกก็ถึงกับยิ้มออกมา บรรยากาศในตอนนี้ช่างเหมือนกับโคลงกลอนโบราณบทหนึ่งที่ว่า ฤดูใบไม้ผลิหลับจนไม่รู้อรุณ เสียงนกร้องดังขจรทั่วทุกแห่งหน แต่น่าเสียดายที่เมื่อคืนนี้ฝนไม่ได้ตก ทำให้วันนี้พระอาทิตย์ลอยตัวสูง ไม่อย่างนั้นก็คงจะได้บรรยากาศที่สอดคล้องกับฤดูกาลยิ่งกว่านี้

เดินออกมาจากวิลล่าแล้วมองไปยังฝั่งทะเล เหนือมหาสมุทรเนืองแน่นไปด้วยนกจมูกหลอดหางสั้น พวกมันทิ้งขนไว้บนชายหาดเป็นจำนวนมาก บางทีอาจจะมีไข่นกอยู่ด้วย เพียงแต่ว่าไม่ได้โผล่พ้นผืนทรายขึ้นมาก็เท่านั้น

ยังดีที่นกชนิดนี้มีข้อดีอยู่หนึ่งอย่าง นั่นก็คือพวกมันชอบที่จะขับถ่ายบนผิวทะเล ดังนั้นจึงไม่ได้ทำให้ชายหาดกลายเป็นบ่ออึไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงจะทำความสะอาดได้ยากแน่ๆ

มูลของนกจมูกหลอดหางสั้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับฟาร์มปลา ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปชมน่านน้ำบริเวณแถบชายฝั่งทะเล พวกกุ้งเปปเปอร์มินต์ กุ้งสเตโนพุสกับกั้งตั๊กแตนก็พากันดีใจยกใหญ่ จนละเลยการทำหน้าที่หมอฟาร์มปลาของพวกมัน มีปลาเจ็บกุ้งป่วยส่งมาให้รักษาถึงที่แต่พวกมันก็ไม่สนใจ เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการกินอึนกทะเล

ฉินสือโอวคิดว่า หลังจากที่ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นจากไปคราวนี้ กุ้งพยาบาลในฟาร์มปลาคงจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

พวกหู่เป้าฉงหลัวกับแมวป่าเดินไปที่ชายหาดด้วยกันกับเขา หลังจากได้เห็นฝูงนก พวกมันก็กระโจนเข้าใส่ฝูงนกด้วยใจที่ฮึกเหิม ในตอนนี้ราชาเจ้าป่าซิมบ้าได้แสดงวิธีล่าสัตว์ที่ดุดันให้ได้เห็น มันวิ่งทะยานออกไปด้วยความว่องไว แล้วกระโดดขึ้นไปบนฟ้าสูงถึงสองเมตรกว่าๆ อุ้งเท้าหน้าตะครุบนกจมูกหลอดหางสั้นตัวหนึ่งที่เพิ่งจะบินขึ้นมาแล้วกดไว้บนพื้นทรายได้อย่างฉับไว

ปกติแล้วเหล่าสัตว์เลี้ยงไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ล่าสัตว์ ดังนั้นตอนนี้พวกมันจึงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้ แต่ละตัวทั้งวิ่งทั้งกระโดด จับนกจมูกหลอดหางสั้นมาได้เรื่อยๆ

สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ลงมืออย่างไร้การวางแผน นอกจากลูกแมวป่ากับหมาป่าขาว สัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ก็แค่อยากจะแกล้งแหย่นกจมูกหลอดหางสั้นเล่นเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่หลังจากถูกพวกมันแกล้งนกจมูกหลอดหางสั้นพวกนั้นก็จะตายลงในที่สุด

ฉงต้าฉงเอ้อกับหู่จือเป้าจือต่างก็กินนกเป็นอาการ ทว่านกไม่ใช่แหล่งอาหารที่เป็นตัวเลือกแรกของพวกมัน ดังนั้นเมื่อไม่ได้รู้สึกหิวและไร้ซึ่งความรู้สึกแปลกใหม่ พวกมันก็จะไม่กินนกจมูกหลอดหางสั้นที่ตายแล้ว

ฉินสือโอวจึงต้องเป็นคนไปจัดการเก็บกวาดนกจมูกหลอดหางสั้นพวกนั้น พ่อฉินกับแม่ฉินก็ยกอ่างน้ำใบใหญ่เพื่อมาถอนขนนกพวกนี้ เนื้อของนกจมูกหลอดหางสั้นมีรสชาติดีทั้งนุ่มเด้ง แต่ก่อนอื่นจะต้องจัดการล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อน เนื่องจากเนื้อของสัตว์ป่ามีแบคทีเรียอยู่ไม่น้อยเลย

ถอนขนและกำจัดเครื่องในรวมถึงตัดหัวและเท้าของนกจมูกหลอดหางสั้นเสร็จแล้วก็วางลงไปในกะละมัง หลังจากนั้นก็ปรุงรสอย่างง่ายๆ ด้วยการทาเกลือกับเครื่องเทศห้าชนิดลงไป แล้วจึงนำไปหมักกับเหล้าทำอาหาร พอถึงตอนค่ำก็นำไปทำนกย่างเตาอบได้แล้ว

แต่ปรากฏว่าพอพวกเขานำนกไปทำอาหาร บรรดาสัตว์เลี้ยงก็นึกว่าพวกมันจะต้องจับนกมาให้พวกเขาทำอาหาร จึงพากันกระตือรือร้นกับการจับนกยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดราชาเจ้าป่าซิมบ้าก็ได้โอกาสที่จะแสดงคุณค่าในตัวเองแล้ว หลังจากกินนกเข้าไปไม่กี่คำ มันก็เริ่มกระโดดไล่จับนกจมูกหลอดหางสั้นมาส่งให้พวกเขา

ฉินสือโอวบอกพวกมันว่าให้พอแล้วๆ แต่เหล่าสัตว์เลี้ยงก็เล่นไล่จับนกอย่างมีความสุข จึงไม่ได้สนใจว่าจะพอหรือไม่พอ แต่ยังพากันไล่จับนกต่อ!

ขณะที่กำลังหมักนกจมูกหลอดหางสั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น พอกดรับสายเสียงของฮานี่ย์ก็ดังทะลุออกมา “ฉิน เห็นแก่พระเจ้าเถอะนะ นายรีบพาคนมาที่นี่เร็ว มีคนหาเรื่องมาให้วินนี่แล้ว!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ฉินสือโอวก็ร้อนใจขึ้นมาทันที ใครมันช่างไร้ยางอายถึงขนาดว่ากล้ามาหาเรื่องภรรยาของเขากัน เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะล้างมือ รีบตะโกนเรียกเบิร์ดให้ตามเขาเข้าไปในเมือง

ในขณะนี้ฝูงคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมประตูทางเข้าหน่วยงานเทศบาลเอาไว้ ตรงนั้นมีรถตำรวจจอดอยู่ด้วยหนึ่งคัน ข้างๆ กันคือวินนี่ที่กำลังคุมเชิงกับวัยรุ่นอีกสองสามคน

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท