ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1523 ลิ้มรสอาหารที่สดใหม่

บทที่ 1523 ลิ้มรสอาหารที่สดใหม่

ฉินสือโอวแสดงท่าทางบอกให้เขาถ่ายรูปได้ตามสบาย หลังจากนั้นก็พูดกับเขาว่า “พอถึงฤดูร้อนคุณก็ไปรับภรรยากับลูกให้มาเที่ยวที่นี่สักช่วงหนึ่งสิครับ ออกแค่ค่าเดินทางก็พอ ถ้ามาอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะค่าอาหารหรือค่าที่พักก็ไม่ต้องเสีย”

คาปาไลหัวเราะพร้อมกับแย้มรอยยิ้มซื่อไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาถ่ายรูปภาพไว้จำนวนหนึ่งพร้อมกับบันทึกวิดีโอไว้หนึ่งตอน เมื่อเห็นว่าน่าจะได้เวลาแล้วจึงกลับมาสอนพวกเขาหมักเบียร์ต่อ

หลังจากเสร็จจากการทำให้เป็นน้ำตาลแล้ว หลังจากนั้นจำเป็นต้องทำการกรองในขณะที่กำลังร้อนอยู่ คาปาไลใช้แก้วใบใหญ่ในการกรอง สีของเวอร์ต[1]ที่กรองออกมาได้ในตอนแรกสุดมีสีที่ขุ่นมาก เขาจึงอธิบายให้ฟังว่า “ในนี้ยังมีเศษมอลต์เล็กๆ ที่ไม่ละลายน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องเอากลับไปเทใส่กล่องเก็บรักษาอุณหภูมิก่อน ทำซ้ำสักสองสามรอบก็หายขุ่นแล้วล่ะครับ”

แล้วก็เป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ หลังจากผ่านการกรองไปไม่กี่ครั้ง น้ำมอลต์สกัดที่ยังคงความเข้มข้นไว้ก็เริ่มใสขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากกรองเสร็จแล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการต้ม ในตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ในกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิก็คือกากของข้าวมอลต์ ส่วนน้ำที่ได้จากการสกัดข้าวมอลต์ก็ถูกละลายในน้ำอุ่นแล้ว ต่อจากนั้นจึงทำการต้มด้วยไฟแรงต่อ

คาปาไลนำเบียร์ฮ็อพติดตัวมาด้วย ฉินสือโอวถามเขาว่านี่ใช่ของที่เขาทำเองหรือเปล่า เขาจึงยิ้มแล้วตอบว่า “เปล่าครับ มันมีขายในอีเบย์ คุณสามารถเลือกรสชาติตามความชอบได้เลย มีทั้งแบบแพงแบบถูก ที่ผมซื้อมาก็มีแต่พวกที่ราคาค่อนข้างถูกทั้งนั้น”

ต่อจากนั้นเขาอธิบายให้ทุกคนฟังอีกว่า การละลายที่ทำไปเมื่อก่อนหน้านี้เป็นขั้นตอนที่สามารถละไว้ได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็จำเป็นจะต้องต้มให้เดือดเพราะ หนึ่งต้องต้มให้กรดอัลฟาไลโปอิกออกมาจากเบียร์ฮ็อพ สองเพราะต้องทำให้โปรตีนในเวอร์ตเกิดการแยกตัวเพื่อให้เบียร์ใสและคงตัว และสามเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ

หลังจากต้มมาได้ระยะหนึ่ง คาปาไลก็บอกให้แบล็คไนฟ์กับทริกเกอร์ยกหม้ออัดแรงดันลงมาวางไว้ในกล่องทำความเย็นบนสายการผลิตขนาดเล็ก “ปกติแล้วผมจะใช้อ่างน้ำระบายความร้อน แต่ถ้ามีกล่องทำความเย็นก็จะยิ่งดีกว่า เพราะมันมีอุณหภูมิคงที่ ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 25 องศาจะดีที่สุด ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยมาปลุกยีสต์”

คาปาไลใช้ประโยชน์จากช่วงที่รอเพื่อเริ่มหมักเบียร์ล็อตที่สอง โดยทำซ้ำขั้นตอนก่อนหน้านี้อีกครั้ง ตอนนี้มีมอลต์ที่ยังไม่ได้หมักอีกสิบกิโลกรัม เขาจึงมอบภาระงานให้ฉินสือโอวเป็นคนจัดการ ส่วนตัวเขาจะคอยสอนอยู่ข้างๆ

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงการทำความเย็นสิ้นสุดลง คาปาไลนำท่อสอดเข้าไปในส่วนเชื่อมต่อของหม้ออัดแรงดัน แล้วบอกว่านี่คือการเติมออกซิเจนเข้าไปเพื่อทำให้ยีสต์เจริญเติบโต เมื่อเติมออกซิเจนลงไปได้พักหนึ่งหลังจากนั้นก็ให้เทยีสต์ที่ถูกปลุกแล้วลงไป แล้วจึงนำกลับไปใส่ในกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิอีกครั้ง แต่คราวนี้ให้ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส

หลังจากทำทุกขั้นตอนเสร็จแล้ว คาปาไลก็ปรบมือให้พวกเขาแล้วพูดว่า “หลักๆ แล้วก็จะประมาณนี้ ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยีสต์ เดี๋ยวพวกมันจะช่วยผลิตเบียร์อร่อยๆ ให้เอง”

ฉินสือโอวถามเขาว่าหลังจากนี้ไม่ต้องทำอะไรกับมันแล้วใช่ไหม คาปาไลจึงบอกเขาว่าสี่วันนับจากนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เบียร์จะเกิดการหมักโดยอัตโนมัติเป็นเวลาสี่วัน และบนกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิมีวาร์ลก๊าซอันหนึ่งอยู่ด้วย โดยที่หลังจากเปิดวาร์ลอากาศจะไหลออกได้อย่างเดียว ดังนั้นจึงสามารถระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการหมักเพื่อปรับความดันอากาศภายในให้เกิดความสมดุลได้ และนอกจากนี้ยังทำให้มั่นใจได้ว่าแบคทีเรียจะไม่เข้าไปข้างใน

“ต้องใช้เวลาสี่วันถึงจะได้ดื่มเบียร์เหรอ? ตอนนี้ยังดื่มไม่ได้ใช่ไหม?” ฉินสือโอวถามพร้อมกับใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยของความผิดหวัง

คาปาไลจึงพูดกับเขาว่า “คุณฉิน คุณต้องอดทนก่อนนะครับ สี่วันมันไม่นานเลย ยังดีที่คุณมีอุปกรณ์สำหรับหมักเบียร์โดยเฉพาะ ถ้าใช้อุปกรณ์ของผมต้องรอเวลาตั้งเจ็ดวันเลยนะครับ”

“แต่จะว่าไป” คาปาไลเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คืนนี้พวกเราก็มีเบียร์สดให้ดื่มนะ ก่อนหน้านี้ผมหมักเบียร์ไว้ส่วนหนึ่ง วันนี้ก็เอามาดื่มได้พอดี สดมากๆ เลยนะครับ เย็นนี้ขับรถไปเอามาที่นี่ได้เลย ผมไม่มีรถเลยไม่ได้เอามาด้วย”

ได้ยินอย่างนี้ฉินสือโอวก็กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง แค่มีเบียร์ให้ดื่มก็พอแล้ว

คาปาไลบรรยายงานส่วนที่เหลือให้พวกเขาฟัง เขาบอกว่าสิบชั่วโมงหลังจากนี้จะเป็นส่วนสำคัญของขั้นตอนการหมัก น้ำที่ได้จากการสกัดข้าวมอลต์จะเกิดฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นเรื่อยๆ ในปริมาณมาก ยิ่งหมักฟองก็จะยิ่งเยอะ

“พอถึงตอนนั้นโรงเบียร์ก็จะมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ ดังนั้นต้องไม่ให้เด็กๆ เข้ามาในนี้ ลูกชายของผมทั้งสองคนเข้าไปอยู่ในโรงหมักเบียร์นานเกินไป พวกเขาเลยหัดดื่มเบียร์เป็นตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้ก็เหมือนพ่อของพวกเขานี่ล่ะครับ กลายเป็นขี้เมาไปซะแล้ว” หลังจากพูดจบแล้วคาปาไลก็หัวเราะออกมา เมื่อพูดถึงลูกๆ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมาอย่างเด่นชัด

“หลังจากหมักได้สี่วันก็น่าจะได้ที่แล้ว ถึงตอนนั้นคุณค่อยเปิดกล่องออกแล้วลองชิมรสชาติของเบียร์ที่หมักเสร็จแล้ว ตอนนี้เบียร์ที่หมักยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี”

“ตอนนั้นผมต้องไปทำงาน อาจจะไม่มีเวลามาที่นี่ คุณฉินคุณต้องจำไว้ให้ดีนะครับ ว่าช่วงเที่ยงวันของวันนั้นจะต้องเติมน้ำตาลลงไปในถังหมักประมาณหนึ่งปอนด์ น้ำตาลที่ใช้ต้องละลายด้วยน้ำเย็น จะใช้เมเปิลไซรัปก็ได้ แบบนั้นจะยิ่งให้รสชาติที่ดียิ่งขึ้น ต้องมีน้ำตาลพวกนี้ ยีสต์ในเบียร์ถึงจะเกิดการหมักเป็นครั้งที่สองและผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับเบียร์ ทำให้เกิดความหลากหลายของรสสัมผัสมากยิ่งขึ้น”

“ครั้งนี้หลังจากหมักเบียร์เสร็จแล้ว คุณจะต้องเตรียมขวดเบียร์ไว้ให้พร้อม หลังจากนั้นก็บรรจุใส่ขวดแล้วนำไปแช่ตู้เย็น รอให้มันหมักต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ พอถึงตอนนั้นรสชาติที่ได้จะเยี่ยมยอดที่สุดเลยล่ะ!”

“หรือคุณจะใช้ถังเบียร์แทนก็ได้นะครับ ผมก็ทำแบบนี้เพราะมีขวดเบียร์อยู่ไม่เยอะ และถ้าใช้ถังเบียร์ก็จะได้ไม่ต้องใช้แก้วเบียร์อีก รสชาติอาจจะแย่กว่ากันนิดหน่อย แต่เวลาดื่มก็จะให้ความรู้สึกที่เยี่ยมยอดกว่าไม่ใช่เหรอครับ?”

ต่อจากนั้นคาปาไลก็กำชับเรื่องอื่นๆ อย่างละเอียด เขาบอกว่าจะมาที่นี่อีกในสัปดาห์หน้า ถึงตอนนั้นเขาจะติดตั้งสายการผลิตให้อีกสองสาย แต่คงจะต้องใช้อุปกรณ์แบบสายผลิตในครัวเรือนของเขา ที่ฟาร์มปลามีคนอยู่เยอะ สายผลิตแค่สายเดียวคงผลิตเบียร์ได้ไม่พอ

เขาหมักเบียร์สดไว้ที่บ้านสองถังใหญ่ ฉินสือโอวจ่ายเงินค่าเบียร์ให้เขาโดยอิงราคาตลาดพร้อมกับเงินสำหรับข้าวมอลต์ที่เขานำมา ที่คาปาไลช่วยเขาหมักเบียร์ก็เพื่อหารายได้ ฉินสือโอวจะเอาเปรียบเขาไม่ได้

คาปาไลเก็บเงินแล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขาเอาแต่พูดขอบคุณฉินสือโอวไม่หยุด

ฉินสือโอวจึงตบไหล่เขาพร้อมกับพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมหรอก นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? ถ้าอยากจะขอบคุณผมจริงๆ ก็ทำอาหารให้ผมกินสักมื้อใหญ่ๆ แล้วกันนะครับ”

คาปาไลตบอกตัวเองแล้วพูดด้วยความมั่นใจ “เรื่องนี้ปล่อยให้ผมเป็นคนจัดการเอง สองวันมานี้ผมย่างนกจมูกหลอดหางสั้นกินอยู่ตลอดเลย ซ่งชอบกินมากๆ เขากินหมดเป็นตัวๆ ทุกครั้งเลย”

เมื่อถึงช่วงพลบค่ำพวกเขาก็เริ่มเตรียมอาหารเย็น หลังจากที่ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นมาถึงฟาร์มปลา ฝูงปลาแคปลินก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน ทุกวันหลังจากน้ำขึ้นจะมีปลาแคปลินอยู่บนชายหาดจำนวนมาก

แค่ทิ้งอวนฉินสือโอวก็จับปลาแคปลินตัวอวบอ้วนได้หนึ่งกองใหญ่ๆ แล้ว ปลาแคปลินที่เขาจับขึ้นมาคือปลาที่เลี้ยงไว้ในฟาร์ม หลังได้รับการปรับปรุงจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปลาแคปลินในฟาร์มก็มีรสชาติดีและมันอร่อยยิ่งกว่าปลาแคปลินตามธรรมชาติเสียอีก

วิธีปรุงปลาแคปลินที่ดีที่สุดก็คือการนำไปทอด ปลาเล็กพวกนี้มีขนาดความยาวและความหนาแค่หนึ่งนิ้วมือ และเนื่องจากน้ำทะเลของฟาร์มปลาที่มีความใสสะอาดเป็นพิเศษจึงไม่จำเป็นต้องนำปลาพวกนี้ไปทำความสะอาด เมื่อจับขึ้นมาจึงสามารถนำไปทอดได้เลย

ตั้งกระทะทอด พอนำปลาแคปลินลงไปชุบแป้งแล้วนำลงไปทอดในกระทะ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นสีเหลืองอ่อนทันที แป้งที่ใช้มีไข่ไก่ผสมอยู่ด้วย ดังนั้นนอกจากจะส่งกลิ่นหอมแล้วมันยังให้รสสัมผัสที่นุ่มหนึบด้วย

พอทอดปลากระทะแรกเสร็จ ฉินสือโอวก็เอาปลาทอดบางส่วนไปให้คาปาไลได้ลองชิมก่อน

คาปาไลทานปลาทอดเข้าไปครึ่งตัวภายในคำเดียว หลังจากนั้นเขาก็ยกส่วนที่เหลือขึ้นมาสังเกตดู แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “พระเจ้า ทำไมปลาตัวนี้ถึงได้มีไข่เยอะขนาดนี้ล่ะ?! มันหอมมากจริงๆ ผมไม่เคยกินปลาทอดที่หอมขนาดนี้มาก่อนเลย!”

ที่เขาพูดไม่ได้เกินความเป็นจริงเลย ปลาแคปลินเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน เนื่องจากมีไข่ปลาอยู่มาก นอกจากนี้ปลาแคปลินแบรนด์ต้าฉินยังได้รับการคัดเลือกจากสื่อด้านอาหารเพื่อสุขภาพหลายแห่งว่าเป็นอาหารทะเลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ

………………………………………………………

[1]เวอร์ตคือของเหลวที่สกัดจากมอลต์ เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเบียร์ที่ได้จากมอลต์

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท