ฉินสือโอวแสดงท่าทางบอกให้เขาถ่ายรูปได้ตามสบาย หลังจากนั้นก็พูดกับเขาว่า “พอถึงฤดูร้อนคุณก็ไปรับภรรยากับลูกให้มาเที่ยวที่นี่สักช่วงหนึ่งสิครับ ออกแค่ค่าเดินทางก็พอ ถ้ามาอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะค่าอาหารหรือค่าที่พักก็ไม่ต้องเสีย”
คาปาไลหัวเราะพร้อมกับแย้มรอยยิ้มซื่อไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาถ่ายรูปภาพไว้จำนวนหนึ่งพร้อมกับบันทึกวิดีโอไว้หนึ่งตอน เมื่อเห็นว่าน่าจะได้เวลาแล้วจึงกลับมาสอนพวกเขาหมักเบียร์ต่อ
หลังจากเสร็จจากการทำให้เป็นน้ำตาลแล้ว หลังจากนั้นจำเป็นต้องทำการกรองในขณะที่กำลังร้อนอยู่ คาปาไลใช้แก้วใบใหญ่ในการกรอง สีของเวอร์ต[1]ที่กรองออกมาได้ในตอนแรกสุดมีสีที่ขุ่นมาก เขาจึงอธิบายให้ฟังว่า “ในนี้ยังมีเศษมอลต์เล็กๆ ที่ไม่ละลายน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องเอากลับไปเทใส่กล่องเก็บรักษาอุณหภูมิก่อน ทำซ้ำสักสองสามรอบก็หายขุ่นแล้วล่ะครับ”
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ หลังจากผ่านการกรองไปไม่กี่ครั้ง น้ำมอลต์สกัดที่ยังคงความเข้มข้นไว้ก็เริ่มใสขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากกรองเสร็จแล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการต้ม ในตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ในกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิก็คือกากของข้าวมอลต์ ส่วนน้ำที่ได้จากการสกัดข้าวมอลต์ก็ถูกละลายในน้ำอุ่นแล้ว ต่อจากนั้นจึงทำการต้มด้วยไฟแรงต่อ
คาปาไลนำเบียร์ฮ็อพติดตัวมาด้วย ฉินสือโอวถามเขาว่านี่ใช่ของที่เขาทำเองหรือเปล่า เขาจึงยิ้มแล้วตอบว่า “เปล่าครับ มันมีขายในอีเบย์ คุณสามารถเลือกรสชาติตามความชอบได้เลย มีทั้งแบบแพงแบบถูก ที่ผมซื้อมาก็มีแต่พวกที่ราคาค่อนข้างถูกทั้งนั้น”
ต่อจากนั้นเขาอธิบายให้ทุกคนฟังอีกว่า การละลายที่ทำไปเมื่อก่อนหน้านี้เป็นขั้นตอนที่สามารถละไว้ได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็จำเป็นจะต้องต้มให้เดือดเพราะ หนึ่งต้องต้มให้กรดอัลฟาไลโปอิกออกมาจากเบียร์ฮ็อพ สองเพราะต้องทำให้โปรตีนในเวอร์ตเกิดการแยกตัวเพื่อให้เบียร์ใสและคงตัว และสามเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อ
หลังจากต้มมาได้ระยะหนึ่ง คาปาไลก็บอกให้แบล็คไนฟ์กับทริกเกอร์ยกหม้ออัดแรงดันลงมาวางไว้ในกล่องทำความเย็นบนสายการผลิตขนาดเล็ก “ปกติแล้วผมจะใช้อ่างน้ำระบายความร้อน แต่ถ้ามีกล่องทำความเย็นก็จะยิ่งดีกว่า เพราะมันมีอุณหภูมิคงที่ ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 25 องศาจะดีที่สุด ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยมาปลุกยีสต์”
คาปาไลใช้ประโยชน์จากช่วงที่รอเพื่อเริ่มหมักเบียร์ล็อตที่สอง โดยทำซ้ำขั้นตอนก่อนหน้านี้อีกครั้ง ตอนนี้มีมอลต์ที่ยังไม่ได้หมักอีกสิบกิโลกรัม เขาจึงมอบภาระงานให้ฉินสือโอวเป็นคนจัดการ ส่วนตัวเขาจะคอยสอนอยู่ข้างๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงการทำความเย็นสิ้นสุดลง คาปาไลนำท่อสอดเข้าไปในส่วนเชื่อมต่อของหม้ออัดแรงดัน แล้วบอกว่านี่คือการเติมออกซิเจนเข้าไปเพื่อทำให้ยีสต์เจริญเติบโต เมื่อเติมออกซิเจนลงไปได้พักหนึ่งหลังจากนั้นก็ให้เทยีสต์ที่ถูกปลุกแล้วลงไป แล้วจึงนำกลับไปใส่ในกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิอีกครั้ง แต่คราวนี้ให้ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียส
หลังจากทำทุกขั้นตอนเสร็จแล้ว คาปาไลก็ปรบมือให้พวกเขาแล้วพูดว่า “หลักๆ แล้วก็จะประมาณนี้ ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของยีสต์ เดี๋ยวพวกมันจะช่วยผลิตเบียร์อร่อยๆ ให้เอง”
ฉินสือโอวถามเขาว่าหลังจากนี้ไม่ต้องทำอะไรกับมันแล้วใช่ไหม คาปาไลจึงบอกเขาว่าสี่วันนับจากนี้ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เบียร์จะเกิดการหมักโดยอัตโนมัติเป็นเวลาสี่วัน และบนกล่องเก็บรักษาอุณหภูมิมีวาร์ลก๊าซอันหนึ่งอยู่ด้วย โดยที่หลังจากเปิดวาร์ลอากาศจะไหลออกได้อย่างเดียว ดังนั้นจึงสามารถระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการหมักเพื่อปรับความดันอากาศภายในให้เกิดความสมดุลได้ และนอกจากนี้ยังทำให้มั่นใจได้ว่าแบคทีเรียจะไม่เข้าไปข้างใน
“ต้องใช้เวลาสี่วันถึงจะได้ดื่มเบียร์เหรอ? ตอนนี้ยังดื่มไม่ได้ใช่ไหม?” ฉินสือโอวถามพร้อมกับใบหน้าที่ปรากฏร่องรอยของความผิดหวัง
คาปาไลจึงพูดกับเขาว่า “คุณฉิน คุณต้องอดทนก่อนนะครับ สี่วันมันไม่นานเลย ยังดีที่คุณมีอุปกรณ์สำหรับหมักเบียร์โดยเฉพาะ ถ้าใช้อุปกรณ์ของผมต้องรอเวลาตั้งเจ็ดวันเลยนะครับ”
“แต่จะว่าไป” คาปาไลเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “คืนนี้พวกเราก็มีเบียร์สดให้ดื่มนะ ก่อนหน้านี้ผมหมักเบียร์ไว้ส่วนหนึ่ง วันนี้ก็เอามาดื่มได้พอดี สดมากๆ เลยนะครับ เย็นนี้ขับรถไปเอามาที่นี่ได้เลย ผมไม่มีรถเลยไม่ได้เอามาด้วย”
ได้ยินอย่างนี้ฉินสือโอวก็กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง แค่มีเบียร์ให้ดื่มก็พอแล้ว
คาปาไลบรรยายงานส่วนที่เหลือให้พวกเขาฟัง เขาบอกว่าสิบชั่วโมงหลังจากนี้จะเป็นส่วนสำคัญของขั้นตอนการหมัก น้ำที่ได้จากการสกัดข้าวมอลต์จะเกิดฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นเรื่อยๆ ในปริมาณมาก ยิ่งหมักฟองก็จะยิ่งเยอะ
“พอถึงตอนนั้นโรงเบียร์ก็จะมีแต่กลิ่นแอลกอฮอล์ ดังนั้นต้องไม่ให้เด็กๆ เข้ามาในนี้ ลูกชายของผมทั้งสองคนเข้าไปอยู่ในโรงหมักเบียร์นานเกินไป พวกเขาเลยหัดดื่มเบียร์เป็นตั้งแต่ยังเล็ก ตอนนี้ก็เหมือนพ่อของพวกเขานี่ล่ะครับ กลายเป็นขี้เมาไปซะแล้ว” หลังจากพูดจบแล้วคาปาไลก็หัวเราะออกมา เมื่อพูดถึงลูกๆ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมาอย่างเด่นชัด
“หลังจากหมักได้สี่วันก็น่าจะได้ที่แล้ว ถึงตอนนั้นคุณค่อยเปิดกล่องออกแล้วลองชิมรสชาติของเบียร์ที่หมักเสร็จแล้ว ตอนนี้เบียร์ที่หมักยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี”
“ตอนนั้นผมต้องไปทำงาน อาจจะไม่มีเวลามาที่นี่ คุณฉินคุณต้องจำไว้ให้ดีนะครับ ว่าช่วงเที่ยงวันของวันนั้นจะต้องเติมน้ำตาลลงไปในถังหมักประมาณหนึ่งปอนด์ น้ำตาลที่ใช้ต้องละลายด้วยน้ำเย็น จะใช้เมเปิลไซรัปก็ได้ แบบนั้นจะยิ่งให้รสชาติที่ดียิ่งขึ้น ต้องมีน้ำตาลพวกนี้ ยีสต์ในเบียร์ถึงจะเกิดการหมักเป็นครั้งที่สองและผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งจะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับเบียร์ ทำให้เกิดความหลากหลายของรสสัมผัสมากยิ่งขึ้น”
“ครั้งนี้หลังจากหมักเบียร์เสร็จแล้ว คุณจะต้องเตรียมขวดเบียร์ไว้ให้พร้อม หลังจากนั้นก็บรรจุใส่ขวดแล้วนำไปแช่ตู้เย็น รอให้มันหมักต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ พอถึงตอนนั้นรสชาติที่ได้จะเยี่ยมยอดที่สุดเลยล่ะ!”
“หรือคุณจะใช้ถังเบียร์แทนก็ได้นะครับ ผมก็ทำแบบนี้เพราะมีขวดเบียร์อยู่ไม่เยอะ และถ้าใช้ถังเบียร์ก็จะได้ไม่ต้องใช้แก้วเบียร์อีก รสชาติอาจจะแย่กว่ากันนิดหน่อย แต่เวลาดื่มก็จะให้ความรู้สึกที่เยี่ยมยอดกว่าไม่ใช่เหรอครับ?”
ต่อจากนั้นคาปาไลก็กำชับเรื่องอื่นๆ อย่างละเอียด เขาบอกว่าจะมาที่นี่อีกในสัปดาห์หน้า ถึงตอนนั้นเขาจะติดตั้งสายการผลิตให้อีกสองสาย แต่คงจะต้องใช้อุปกรณ์แบบสายผลิตในครัวเรือนของเขา ที่ฟาร์มปลามีคนอยู่เยอะ สายผลิตแค่สายเดียวคงผลิตเบียร์ได้ไม่พอ
เขาหมักเบียร์สดไว้ที่บ้านสองถังใหญ่ ฉินสือโอวจ่ายเงินค่าเบียร์ให้เขาโดยอิงราคาตลาดพร้อมกับเงินสำหรับข้าวมอลต์ที่เขานำมา ที่คาปาไลช่วยเขาหมักเบียร์ก็เพื่อหารายได้ ฉินสือโอวจะเอาเปรียบเขาไม่ได้
คาปาไลเก็บเงินแล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขาเอาแต่พูดขอบคุณฉินสือโอวไม่หยุด
ฉินสือโอวจึงตบไหล่เขาพร้อมกับพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณผมหรอก นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? ถ้าอยากจะขอบคุณผมจริงๆ ก็ทำอาหารให้ผมกินสักมื้อใหญ่ๆ แล้วกันนะครับ”
คาปาไลตบอกตัวเองแล้วพูดด้วยความมั่นใจ “เรื่องนี้ปล่อยให้ผมเป็นคนจัดการเอง สองวันมานี้ผมย่างนกจมูกหลอดหางสั้นกินอยู่ตลอดเลย ซ่งชอบกินมากๆ เขากินหมดเป็นตัวๆ ทุกครั้งเลย”
เมื่อถึงช่วงพลบค่ำพวกเขาก็เริ่มเตรียมอาหารเย็น หลังจากที่ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นมาถึงฟาร์มปลา ฝูงปลาแคปลินก็มาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน ทุกวันหลังจากน้ำขึ้นจะมีปลาแคปลินอยู่บนชายหาดจำนวนมาก
แค่ทิ้งอวนฉินสือโอวก็จับปลาแคปลินตัวอวบอ้วนได้หนึ่งกองใหญ่ๆ แล้ว ปลาแคปลินที่เขาจับขึ้นมาคือปลาที่เลี้ยงไว้ในฟาร์ม หลังได้รับการปรับปรุงจากจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปลาแคปลินในฟาร์มก็มีรสชาติดีและมันอร่อยยิ่งกว่าปลาแคปลินตามธรรมชาติเสียอีก
วิธีปรุงปลาแคปลินที่ดีที่สุดก็คือการนำไปทอด ปลาเล็กพวกนี้มีขนาดความยาวและความหนาแค่หนึ่งนิ้วมือ และเนื่องจากน้ำทะเลของฟาร์มปลาที่มีความใสสะอาดเป็นพิเศษจึงไม่จำเป็นต้องนำปลาพวกนี้ไปทำความสะอาด เมื่อจับขึ้นมาจึงสามารถนำไปทอดได้เลย
ตั้งกระทะทอด พอนำปลาแคปลินลงไปชุบแป้งแล้วนำลงไปทอดในกระทะ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นสีเหลืองอ่อนทันที แป้งที่ใช้มีไข่ไก่ผสมอยู่ด้วย ดังนั้นนอกจากจะส่งกลิ่นหอมแล้วมันยังให้รสสัมผัสที่นุ่มหนึบด้วย
พอทอดปลากระทะแรกเสร็จ ฉินสือโอวก็เอาปลาทอดบางส่วนไปให้คาปาไลได้ลองชิมก่อน
คาปาไลทานปลาทอดเข้าไปครึ่งตัวภายในคำเดียว หลังจากนั้นเขาก็ยกส่วนที่เหลือขึ้นมาสังเกตดู แล้วพูดด้วยความประหลาดใจว่า “พระเจ้า ทำไมปลาตัวนี้ถึงได้มีไข่เยอะขนาดนี้ล่ะ?! มันหอมมากจริงๆ ผมไม่เคยกินปลาทอดที่หอมขนาดนี้มาก่อนเลย!”
ที่เขาพูดไม่ได้เกินความเป็นจริงเลย ปลาแคปลินเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน เนื่องจากมีไข่ปลาอยู่มาก นอกจากนี้ปลาแคปลินแบรนด์ต้าฉินยังได้รับการคัดเลือกจากสื่อด้านอาหารเพื่อสุขภาพหลายแห่งว่าเป็นอาหารทะเลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ
………………………………………………………
[1]เวอร์ตคือของเหลวที่สกัดจากมอลต์ เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเบียร์ที่ได้จากมอลต์