ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1524 เปิดอุตสาหกรรมใหม่

บทที่ 1524 เปิดอุตสาหกรรมใหม่

นกตัวอวบอ้วนของคาปาไลก็กำลังถูกย่างอยู่เช่นกัน เมื่อเช้าเขาจัดการกับนกจมูกหลอดหางสั้นโดยการยัดเลมอนกับโรสแมรีและหัวกระเทียม ส่วนด้านนอกก็ทาเกลือไว้หนึ่งชั้นเรียบร้อยแล้ว

หลังจากทานปลาทอดเสร็จ เขาก็นำเครื่องปรุงออกมาจากท้องของนกจมูกหลอดหางสั้น แล้วแทนที่ด้วยหัวหอม พริกเขียว กระเทียม สมุนไพรอิตาลีและพริกไทยโขลกละเอียด นอกจากนี้เขายังใช้ใบไม้สีเขียวห่อนกจมูกหลอดหางสั้นพร้อมกับนำโคลนมาพอกด้านนอกแล้วจึงนำไปย่างในกองไฟ

ได้เห็นวิธีการทำอาหารแบบนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกคุ้นหูคุ้นตาอยู่เหมือนกัน ที่จีนก็มีวิธีการหุงอาหารที่คล้ายกันกับวิธีนี้ ที่เรียกว่าไก่ขอทาน แต่ว่าด้านนอกของไก่ขอทานจะถูกห่อด้วยใบบัว เขาถามว่าใบไม้ที่คาปาไลใช้คือใบอะไร ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมันก็คือใบกระวานนั่นเอง มันคือเครื่องปรุงที่พบได้บ่อยในอาหารคิวบา

หลังจากนั้นจึงเปิดถังเบียร์ออก แล้วเทเบียร์เข้มข้นลงไปในแก้วแต่ละใบ ขณะนี้ทุกคนกำลังนั่งล้อมกองไฟรอนกย่างแบบคิวบาออกจากเตา ความรู้สึกเหน็บหนาวของค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลิถูกกองไฟขับออกไป ทำให้ทุกๆ คนได้พูดคุยกันพร้อมกับดื่มด่ำกับเบียร์ไปด้วย

เพราะเป็นการหมักแบบครัวเรือนจึงทำให้เบียร์ที่ได้มีระดับแอลกอฮอลล์ที่สูงกว่าถึงสิบกว่าระดับหรืออาจจะมากกว่านั้น ซึ่งเบียร์แบบนี้จะมีกลิ่นหอมเข้มข้นมากกว่า รสชาติก็ดียิ่งกว่า

ตอนพลบค่ำหลังจากน้ำลด บรรดาชาวประมงงมหอยทะเลหอยเชลล์ หอยนางรม หอยแมลงภู่ หอยกาบ หอยหลอดบางส่วนที่กองอยู่รวมกันขึ้นมา ที่ฟาร์มปลามีเตาย่าง เอาหอยขึ้นเตาโดยไม่ต้องปรุง รอแค่ให้หอยสุกจนฝาอ้าออกแล้วค่อยใส่ซอสพริกลงไปหน่อย ย่างสุกแล้วจะเหมาะกับการทานเป็นกับแกล้ม

กระดกเบียร์ลงท้องไปหนึ่งแก้ว เนื้อนกจมูกหลอดหางสั้นย่างก็ใกล้จะสุกได้ที่แล้ว ทุกคนจึงพากันเขี่ยกองไฟออก ข้างในมีไข่โคลนแข็งๆ อยู่หลายสิบลูก พอใช้ท่อนไม้ทุบ กลิ่นหอมของเถ้าไม้และพืชพรรณที่ผสมรวมกันก็โชยเข้ามาในจมูก เป็นกลิ่นหอมกรุ่นที่ดมดูแปลกประหลาด

พอเคาะไข่โคลนให้แตกออก ทันใดนั้นฉงต้าที่กำลังกินๆ เล่นๆ อยู่ก็หันมาทางฝั่งกองไฟด้วยดวงตาที่เป็นประกาย ฉงต้าเดินนำอยู่ด้านหน้า มีหู่จือเป้าจือเดินยักย้ายมาตามหลังพร้อมกับน้ำลายที่ไหลย้อยออกมาจากมุมปาก

วินนี่เคาะไข่โคลนลูกหนึ่งให้แตกแล้วนำออกมาแบ่งให้หู่จือกับเป้าจือ แล้วจึงแบ่งเนื้อชิ้นที่ใหญ่ที่สุดตรงส่วนอกให้ฉงต้า ส่วนหลัวปอกับซิมบ้าก็ได้เนื้อส่วนหลังไป เหล่าสัตว์เลี้ยงพากันเริ่มกัดกินอย่างตะกละตะกลามทันที

นกจมูกหลอดหางสั้นมีกล้ามเนื้อที่มีแข็งแกร่งมากจนน่าประหลาดใจ นี่ไม่ต่างกับลักษณะนิสัยของพวกมันเลย พวกมันเป็นนกที่ต้องบินวนรอบโลกในทุกๆ ปี กล้ามเนื้อทุกมัดบนร่างกายจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง

เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยทานเนื้อนกจมูกหลอดหางสั้นมาหลายครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งที่ทานก็เป็นเนื้อนกที่มีกลิ่นหอมในตัวแบบนี้ จะเห็นบ่อยที่สุดก็คือเมนูนกทอดที่มีวิธีทำแบบเดียวกันกับไก่ทอด ถึงวิธีทำจะไม่ซับซ้อน แต่ทำให้เนื้อนกเสียรสชาติ

สูตรของคาปาไลมีวิธีทำหลายขั้นตอน ในตอนแรกจะต้องยัดเครื่องเทศกับผักไว้ในท้องของนก และตอนที่นำไปย่างบนเตาก็ต้องยัดเครื่องเทศและผักใบเขียวชนิดอื่นเข้าไปอีกครั้ง จึงทำให้เนื้อของนกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผักและผลไม้ ต่อให้ทานเยอะแค่ไหนก็ไม่เลี่ยน

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพอกโคลนแล้วนำไปย่าง ทำให้กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์และผักไม่รั่วไหลออกมาข้างนอก ทำให้กลิ่นเหล่านั้นเกิดการผสมผสานกันซ้ำๆ จนกลายเป็นกลิ่นหอมแบบหนึ่ง ที่หอมกว่ากลิ่นของเนื้อนกและผักกับผลไม้

กีฬาเป็นของคู่กันกับเบียร์ ขณะที่กำลังดื่มเบียร์พวกเขาก็คุยกันเรื่องกีฬาไปด้วย แบล็คไนฟ์เป็นคนที่ชื่นชอบกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่สุด แต่พวกชาวประมงชอบฮอกกี ส่วนพวกเกิงจุนเจี๋ยก็ชอบฟุตบอล เลยทำให้พวกเขาคุยกันเรื่องนี้ไม่ได้

ท้ายที่สุดจึงให้ฉินสือโอวเป็นคนตัดสิน “พวกเราคุยกันเรื่องบาสเกตบอลเถอะ บอสเล่นเป็นแค่บาสเกตบอล!”

พอพูดถึงบาสเกตบอล เขาก็ถามมิเชลว่าช่วงนี้ฝึกชู้ตบาสไปถึงไหนแล้ว มิเชลจึงตอบเขาว่า “โค้ชกัวซงช่วยผมปรับวิธีชู้ตลูกแล้ว เมื่อก่อนผมใช้วิธีชู้ตแบบส่งแรงสองครั้ง (Two motion shot) โค้ชบอกว่าผมชู้ตลูกช้าเกินไป ให้ผมหัดชู้ตแบบส่งแรงครั้งเดียว (One motion shot) แบบสตีเฟ่น เคอร์รี่”

ฉินสือโอวพยักหน้ารับ กัวซงเชี่ยวชาญด้านนี้ คนคนนี้ถือเป็นอัจฉริยะ ถ้าเขาไม่ได้เป็นผู้พิพากษาแต่ไปฝึกบาสเกตบอลเขาก็คงจะทำเงินได้ก้อนใหญ่เหมือนกัน

หลังจากนั้นก็หันมาถามกอร์ดอนว่าฝึกบาสเป็นยังไงบ้าง กอร์ดอนที่กำลังแทะน่องนกย่างอย่างมีความสุขพอได้ยินเขาถามแบบนี้ก็ดูสงบเสงี่ยมลงไปทันที เขาเงียบอยู่นานกว่าจะตอบกลับไปด้วยท่าทีอ่อนปวกเปียก “ตอนนี้ผมกำลังตั้งใจเรียน เป้าหมายของปีนี้จะได้สำเร็จ”

ไม่ต้องพูดอะไรฉินสือโอวก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กคนนี้เบื่อที่จะเล่นบาสเกตบอล ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปสนใจอะไรแทนแล้ว

กอร์ดอนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการเล่นกีฬาที่สุดในบรรดาเด็กๆ ทั้งห้าคน ไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเภทไหนเขาก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ได้ใช้ความอดทนกับมัน พอเล่นจนเบื่อแล้วก็จะไปหาอย่างอื่นทำแทน ฉินสือโอวคิดว่าที่เขาเป็นแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถึงยังไงเขาก็จะเจอสิ่งที่เหมาะกับตัวเองที่สุดอยู่ดี

แบล็คไนฟ์ถามเขาว่าอยากหาเวลาพาทุกๆ คนไปดูบาสที่โทรอนโตไหม ฉินสือโอวชอบดูการแข่งขันบาสเกตบอลของเอ็นบีเอมากๆ เพียงแต่ว่าเขาก็ขี้เกียจบินไปโทรอนโตเพราะรู้สึกว่ามันวุ่นวายเกินไป เวลาที่ใช้ไปกับการเดินทางยังนานกว่าเวลาที่ดูบาสเกตบอลเสียอีก

แต่หลังจากคิดเรื่องนี้ดูแล้ว เขาก็บอกว่ารอให้ทีมโทรอนโตแร็ปเตอร์เข้าสู่การแข่งขันรอบตัดเชือกก่อน พอถึงช่วงฤดูร้อนเขาจะให้ชาวประมงหยุดพัก ทุกคนจะได้ไปดูการแข่งขันด้วยกันตลอดทั้งลีก รอบตัดเชือกเป็นรอบที่มีตารางการแข่งเนืองแน่นที่สุด ถ้าไปอยู่ที่นั่นสิบวัน ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะได้ดูการแข่งขันครบทั้งลีกเลยก็ได้

พอคุยกันเรื่องกีฬาเสร็จ ทุกคนก็เริ่มพากันบ่นเรื่องเศรษฐกิจ ฉินสือโอวจึงพูดกับพวกเขาว่า “อย่าเอาแต่บ่นฉอดๆ อยู่เลยน่า ทำอย่างกับว่าพวกนายหาเงินได้ไม่เยอะอย่างนั้นแหละ”

ชาร์คก็พูดด้วยท่าทีจนปัญญา “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แต่ว่าพวกเราใช้เงินไปเยอะแล้ว นับวันเงินดอลลาร์แคนาดาก็ยิ่งไร้มูลค่า บอสครับ ผมว่าคุณจ่ายเงินเดือนให้พวกเราเป็นเงินหยวนดีกว่าไหมครับ”

ช่วงสองปีมานี้ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาลดลงไม่น้อยเลย ซึ่งนี่ส่งผลให้ราคาของอาหารนำเข้าโดยเฉพาะเนื้อวัวเนื้อแกะและผลไม้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการแสดงสถิติของสำนักสถิติแคนาดา ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้แสดงให้เห็นว่า ราคาอาหารในแคนาดาเพิ่มสูงขึ้นจนทิ้งห่างราคาอาหารในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรป

วินนี่ก็จนปัญญาเหมือนกัน “นับวันผลกระทบจากค่าเงินดอลลาร์แคนาดาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมืองของพวกเราก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน ต้องหาวิธีจัดการเรื่องนี้ไม่อย่างนั้นชาวเมืองคงจะเดินขบวนประท้วงอีก”

นี่เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมาก เพราะตลาดการค้าของแคนาดานอกจากอาหารตามฤดูกาลกับอาหารท้องถิ่น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขาย เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์แคนาดาและดอลลาร์สหรัฐลดต่ำลง ตลาดการซื้อขายจึงค่อยๆ โยกย้ายเงินส่วนต่างให้ผู้บริโภคเป็นฝ่ายแบกรับภาระ ส่งผลให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น

ฉินสือโอวแสดงออกว่าเขาก็เสียใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเขาเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์ ปัจจุบันนี้อาหารที่แคนาดานำเข้าหลักๆ แล้วก็คือผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและการประมง ได้แก่ สัตว์ปีกที่ยังมีชีวิต ข้าวสาลี น้ำมันคาโนลา ผักสดและผลไม้รวมไปถึงผลไม้อบแห้ง นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องนำเข้าอาหารทะเลอีกหลายชนิด

ดังนั้นรัฐบาลแคนาดาจึงให้ความสำคัญกับฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์มากขนาดนี้ ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ที่เคยอุดมสมบูรณ์ได้กลายมาเป็นแหล่งพึ่งพาด้านอาหารทะเลของชาวแคนาดา เมื่อฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ล่มสลาย พวกเขาจึงหันไปพึ่งพาการนำเข้าอาหารทะเล ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชน

ฉินสือโอวถามเธอว่าทางเทศบาลวางแผนว่าจะจัดการควบคุมราคาของสินค้ายังไง? วินนี่ตอบเขาว่า “ตอนนี้สินค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคามากที่สุดก็คือผักกับผลไม้ สภาพภูมิอากาศของแคนาดาไม่เหมาะกับการพัฒนาเกษตรกรรมด้านนี้ แต่เพื่อควบคุมราคาสินค้า เราจึงต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเอง”

บนเกาะแฟร์เวลยังมีพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่อยู่ด้วย ถึงแม้ว่าพื้นที่เหล่านั้นจะเป็นดินทราย ซึ่งไม่เหมาะกับการทำการเกษตรเท่าไรนัก แต่วินนี่ก็คิดในแง่ดีว่าขนาดฟาร์มปลาที่มีแต่พื้นทรายยังสามารถปลูกผักกับผลไม้ได้ผลดีขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงปลูกผักในพื้นที่อื่นๆ บนเกาะได้เหมือนกัน

วินนี่บอกว่าเธอกำลังเตรียมตัวรับสมัครคนงานจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างโรงเรือนสำหรับปลูกผักและผลไม้ ซึ่งนับว่าเป็นการเปิดอุตสาหกรรมที่สามให้กับเมืองนี้

.…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท