ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1532 โดรนขู่คำราม

บทที่ 1532 โดรนขู่คำราม

ช่วงมื้ออาหารเย็น พ่อฉินกับแม่ฉินที่ได้ยินฉินสือโอวบอกว่าจะซื้อโดรนก็ถามด้วยความตกใจว่า “นี่ไม่เท่ากับว่าแกซื้อปืนใหญ่ไปยิงยุงหรอกหรือยังไง แค่ไล่นกต้องถึงกับซื้อโดรนเลยเหรอ? นี่มันชักจะตลกเกินไปแล้ว มีเงินให้ผลาญเล่นเยอะนักหรือยังไง?”

ฉินสือโอวทำได้แค่อธิบายอย่างใจเย็นว่า โดรนแบบนี้ไม่ใช่โดรนสำหรับทำสงครามแบบที่พ่อกับแม่เคยเห็นในข่าว เป็นโดรนของเล่นเด็กใช้รีโมตบังคับ”

ที่แคนาดากับอเมริกาโดรนนับว่าเป็นหนึ่งในของเล่นยอดนิยมในหมู่วัยรุ่น หลังจากที่เขาลองกลับมาค้นอินเทอร์เน็ตดูแล้ว เขาก็พบว่าเมื่อปีที่ผ่านมา บนอินเทอร์เน็ตทั่วทั้งเขตทวีปอเมริกาเหนือ มียอดการจำหน่ายโดรนมากถึงหนึ่งล้านเครื่อง ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมาก

แบล็คไนฟ์กับพวกที่เหลือถือเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ สมัยที่ยังเป็นทหารรับจ้างอาวุธคู่กายทั้งสองอย่างของพวกเขาก็คือปืนกับโดรนนั่นเอง

สำหรับพวกเขาแล้วโดรนเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์ใช้สอยอย่างมาก หากติดตั้งกล้องเข้าไปก็สามารถใช้บันทึกภาพและสอดแนมได้ หากติดตั้งตัวส่งสัญญาณก็สามารถส่งสัญญาณไปให้เพื่อนร่วมรบในพื้นที่ไร้สัญญาณได้ ทั้งยังติดตั้งระเบิดและจุดการระเบิดจากระยะไกลได้อีกด้วย

แบล็คไนฟ์แนะนำให้ ฉินสือโอวซื้อโดรนของแบรนด์สมาร์ทเบิร์ด เนื่องจากโดรนขนาดเล็กของแบรนด์นี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการใช้พลังงานในระยะยาว มีตัวเครื่องที่ทันสมัยที่สุด เฟรมของเครื่องถูกฝังด้วยแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งทำให้สามารถขับเคลื่อนได้อย่างอิสระเมื่อบินอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์

ฉินสือโอวบอกว่าไม่จำเป็นต้องไล่ฝูงนกออกไปไกลนัก แค่ไล่ไปให้พ้นเกาะก็พอ

แบล็คไนฟ์จึงกล่าวว่า “ประโยชน์ของโดรนไม่ได้มีแค่ใช้ขับไล่ แต่ในอนาคตยังสามารถใช้ในการตรวจสอบสืบสวนร่วมกับเทคโนโลยีรีโมตคอนโทรลไร้สาย ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วสามารถใช้ขับไล่เรือขโมยปลาได้อีกด้วย”

พอได้ฟังเขาพูด ฉินสือโอวก็คิดได้ทันทีว่าถ้าโดรนมีความสามารถและความแข็งแกร่งเพียงพอ เช่นนั้นเขาก็สามารถใช้พวกมันในการควบคุมดูแลฟาร์มปลาได้เช่นกัน

โดรนของบริษัทสมาร์ทเบิร์ด ไม่เพียงแต่มีความแข็งแกร่งในด้านความทนทานของการใช้งานเท่านั้นเนื่องจากผู้ก่อตั้ง บริษัทเป็นผู้เชี่ยวด้านเทคนิคอาวุโสของ บริษัทร็อคฮีทมาร์ตินดังนั้นเทคโนโลยีโดรนของพวกเขาจึงใกล้เคียงกับการใช้งานทางทหารมากที่สุด

ฉินสือโอวซื้อโดรนมา 5 ตัวในราคา 12,000 ดอลลาร์แคนาดา เป็นโดรนพลเรือนที่ทันสมัยที่สุดรุ่นหนึ่งในปัจจุบัน

โดรนรุ่นนี้มีชื่อว่า “ดีฟซีอีเกิ้ล” ซึ่งทำด้วยแอร์โฟลด์ วัสดุแบบใหม่ที่ให้น้ำหนักเบา น้ำหนักที่ลดลงจะเท่ากับความทนทานของโดรนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มันใช้เทคโนโลยีการประมวลผลสัญญาณและการสื่อสารขั้นสูงเพื่อปรับปรุงความเร็วในการส่งภาพและความเร็วในการรับส่งข้อมูลดิจิตอลของ ยูเอวี

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ดีฟซีอีเกิ้ล ใช้ระบบอัตโนมัติขั้นสูงในการขับเคลื่อน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีหน้าจอแสดงผลภาคพื้นดินเพื่อนำทางอีกต่อไป ตราบใดที่มีการตั้งค่าโปรแกรมการบินล่วงหน้ามันจะบินไปยังจุดโฮเวอร์และจะบินกลับมาเมื่อภารกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว

สาเหตุที่เขาซื้อมาห้าเครื่องเพราะว่าตอนนี้ บริษัทสมาร์ทเบิร์ดกำลังมีโปรโมชั่นส่วนลดสำหรับการสั่งโดรนซื้อห้าตัวพร้อมทั้งยังได้รับแท็บเล็ตสำหรับการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะเป็นของแถมอีกด้วย

หลังจากซื้อเสร็จแล้วฉินสือโอวก็บอกให้แบล็คไนฟ์เตรียมตัวรับคำสั่ง ขณะเดียวกันก็บอกเขาอย่างมีความสุขว่าเขามีคอมพิวเตอร์สำหรับเขียนโปรแกรมไว้ให้ใช้ด้วย แต่แบล็คไนฟ์กลับพูดอย่างเหยียดหยามว่า “ของพวกนั้นไม่มีประโยชน์หรอก มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ซื้อ นอกเสียจากว่าคุณจะมีวุฒิเป็นวิศวกรถึงจะได้ใช้งานมัน ถึงเวลานั้นจะมีโปรแกรมมาให้ติดตั้ง ใช้แค่โปรแกรมนั้นก็พอแล้ว”

ฉินสือโอวใช้สายตาดุดันจ้องหน้าเขา เขาถึงได้รีบอธิบายต่อว่า “ผมหมายถึงว่า มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ซื้อ แต่ถ้าเขาแถมมาให้ก็คงต้องใช้นั่นล่ะครับ!”

“วิศวกรไม่ใช่วุฒิการศึกษา!”ฉินสือโอวนิ่งไปพักหนึ่งแล้วถึงพูดออกมา เขาคิดว่าตัวเองคงถูกหลอกให้ซื้อโดรนห้าตัวนี้เสียแล้ว

ก่อนโดรนจะส่งมาถึงพวกฝูงนกนางนวลแฮริ่งก็ยิ่งรนหาที่ตาย

เดิมทีนกนางนวลเหล่านี้อาศัยอยู่ในน่านน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินเป็นหลัก เนื่องจากปลาและกุ้งในฟาร์มปลาต้าฉินอร่อยที่สุดจึงเป็นสาเหตุหลักที่ดึงดูดให้พวกมันอยู่ที่นี่ แต่เนื่องจากที่ฟาร์มปลามีทั้งนกจมูกหลอดหางสั้น มีแก๊งนกสามตัว ดังนั้นพวกมันบางส่วนจึงบินหนีไปยังในตัวเมืองกับนครเซนต์จอห์น

เมื่อนกนางนวลแฮริ่งมีมากขึ้น พวกมันก็เริ่มก่อกบฏ หลังจากนั้นสองวันก็เริ่มยึดครองหน้าข่าวท้องถิ่นของนครเซนต์จอห์น

เนื้อหาข่าวเล่าว่ามีคนเลี้ยงเต่าขนาดเล็กไว้ที่สวนหลังบ้าน ทว่าถูกนางนวลพลิกตัวและใช้ปากอันแหลมคมจิกลงไปที่ท้องของเต่าพวกนั้น…

นอกจากนี้ยังมีคนเลี้ยงหนูแฮมสเตอร์ ที่ก็ถูกนกนางนวลแฮริ่งจับหนูที่เขาเลี้ยงเอาไว้ไปกิน ในทีวีชายคนนั้นชี้ไปที่กรงเลี้ยงและพูดด้วยความโมโหและเศร้าเสียใจว่า “หนูแฮมสเตอร์สิบตัว สิบตัวเต็มๆ เลยนะ นั่นมันทั้งคอกเลยนะ! ถูกพวกมันจับกินไม่เหลือเลย!”

ที่น่าสงสารที่สุดก็คือกลุ่มคนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบเดียวกับพวกเกิงจุนเจี๋ยที่ถูกนกนางนวลแฮริ่งโจมตีนั่นเอง….

หลายวันมานี้ฉินสือโอวเป็นกังวลใจมาก เนื่องจากนกนางนวลแฮริ่ง งานประมงจึงล่าช้ากว่าเดิม และฤดูนี้ก็เป็นช่วงฟักตัวของหอยและสัตว์น้ำประจำปี พวกนกนางนวลสีเงินชอบกิน เมื่อปล่อยแม่พันธุ์หอยลงไป ก็จะถูกพวกมันค้นกิน…

เที่ยงวันหนึ่ง เสี่ยวหมิงวิ่งนำฝูงแม่ลูกกระรอกดินอย่างใจจดใจจ่อมันกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของ ฉินสือโอวและส่งเสียงร้องด้วยความโกรธ ร้องอยู่สักพักก็หันกลับไปมองแม่กระรอกที่อยู่ด้านล่าง ดวงตาของมันเต็มไปด้วยประกายความโมโหจนดูเหมือนจะระเบิดออกมา

ฉินสือโอวลองนับจำนวนกระรอกดินพวกนี้ดูก็พบว่าหายไปตัวหนึ่ง ทีแรกมีเจ็ดตัว ดังนั้นเข้าถึงได้เข้าใจในสิ่งที่เสี่ยวหมิงจะสื่อ แฟนของมันถูกนกนางนวลแฮริ่งถูกกินเข้าไปแล้วตัวหนึ่ง!

เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวย่อมต้องโกรธแทนเสี่ยวหมิงเป็นธรรมดา เดิมทีชีวิตของเสี่ยวหมิงก็งดงามดีอยู่แล้ว มันได้เป็นเจ้าบ่าวในทุกๆ วันตั้งแต่วันจันทร์ยันอาทิตย์ แต่เมื่อหายไปหนึ่งตัว เรื่องห้องหอวังหลังของมันก็จัดการได้ยากแล้ว!

ในตอนนี้คงมีแต่พวกแมวน้ำเท่านั้นที่รู้สึกมีความสุข นกจมูกหลอดหางสั้นจากไปแล้วเหลือไว้แต่นางนวล ช่วงนี้พวกมันจึงอิ่มหมีพีมันจนตัวอ้วนกลมไปหมด ฝูงแมวน้ำซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำ รอให้นกนางนวลมุดลงมาจับสัตว์ทะเลกินเมื่อไร ก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะของพวกมันทันที…

ท่ามกลางความวิตกกังวล ขนส่งของดีฟซีอีเกิ้ลก็ส่งมาถึงในที่สุด หลังจากฉินสือโอวรับสินค้าแล้ว เขาก็เรียกทหารรับจ้างมารวมตัวกันทันที จากนั้นก็รีบออกไปขับไล่นกนางนวลที่น่ารำคาญทันที

ดีฟซีอีเกิ้ลใช้เครื่องยนต์กังหันก๊าซซึ่งสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในกรณีที่ใช้ไฟฟ้าและน้ำมันควบคู่กัน ความอึดของพลังงานอาจเกิน 500 กิโลเมตรและสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหารได้

แบล็คไนฟ์อธิบายให้เขาฟังว่า “ปัจจุบันนี้ผู้ก่อการร้ายบางกลุ่มก็ใช้ของพวกนี้ อย่าได้ดูถูกมันเชียวล่ะครับ มันมีพลังที่แข็งแกร่งมาก มันสามารถใช้ร่วมกับปืนกลและเครื่องพ่นไฟได้ด้วย อย่าว่าแต่ไล่นกเลย ใช้มันไล่เสือก็ทำได้ง่ายๆ เหมือนกัน”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ฉินสือโอวก็ตาเป็นประกายขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นทำไมยังไม่รีบเอีกเล่า? รีบประกอบพวกมันให้เสร็จแล้วเอาไปจัดการนกนางนวลพวกนั้นเสียสิ!”

แบล็คไนฟ์ไหวไหล่พูดว่า “แบบนั้นผมต้องซื้อปืนหัวฉีดพ่นไฟก่อนนะ ช่างเถอะ ก็แค่ใช้ไล่นก แค่ติดตั้งเครื่องขยายเสียงเดซิเบลสูงๆ ไล่พวกมันไปก็พอแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าฆ่าพวกมันแล้วโดนจับเข้าคุกจริงๆ แล้วจะทำยังไงกันล่ะครับ?”

โดรนพวกนี้ไม่ใช่เครื่องบินในความหมายดั้งเดิมพวกมัน มันไม่เหมือนเครื่องบิน พวกมันเหมาะที่จะเรียกว่าอากาศยานทหารไร้พลขับมากกว่า แค่เปลี่ยนวงจร นำ MP3 และแอมพลิฟายเออร์มารวมเข้ากับโดรน หลังจากเขียนโปรแกรมด้วยซอฟต์แวร์แล้วพวกมันก็จะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้อย่างราบรื่น

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท