ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1533 ผู้เล่นมืออาชีพ

บทที่ 1533 ผู้เล่นมืออาชีพ

โดรนห้าลำส่งเสียงคำรามบินร่อนอยู่เหนือฟาร์มปลา ระดับความเร็วของพวกมันไม่ได้สูงมากนัก ถึงยังไงหน้าที่ของพวกมันก็คือการขับไล่นกนางนวลแฮริ่ง ถ้าบินเร็วก็อาจจะไล่พวกมันไม่ไปก็ได้

โดรนส่งเสียงร้องประหลาดออกมาอย่างไม่ขาดสาย มีทั้งเสียงปืน เสียงนกอินทรี เสียงหมาป่าและเสียงเห่าของสุนัข แถมยังมีใครเอาเพลงแคลิฟอร์เนียโฮเทลเข้ามารวมอยู่ด้วยก็ไม่รู้…

“ชิท ทำไมถึงมีเพลงแคลิฟอร์เนียโฮเทลด้วยล่ะเนี่ย? จะเปิดต้อนรับให้พวกมันเข้ามาพักในฟาร์มปลาหรือยังไงกัน”ฉินสือโอวสบถด่าด้วยความโมโห

ทริกเกอร์จึงยิ้มแห้งๆ แล้วตอบว่า “เมื่อกี้ใส่เพลงผิดน่ะครับ แต่นกโง่พวกนี้คงฟังไม่ออกหรอกใช่ไหม? ถึงยังไงก็คงได้ผลเหมือนกัน”

เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียงพวกนี้ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย เมื่อเสียงปืนดังขึ้น เหล่านกนางนวลแฮริ่งที่บินร่อนอยู่บนท้องฟ้าอย่างสง่างามก็ตกใจบินหนีเตลิดทันที

โดรนทั้งห้าลำบินว่อนอยู่เหนือฟาร์มปลาอยู่ตลอด พวกมันบินล่องไปตามวิถีที่กำหนด ออกโจมตีไปทั่วทุกที่ในเวลากลางวันและบินใกล้บริเวณพื้นดินเหนือฟาร์มปลาในเวลากลางคืน

ดังนั้นในช่วงกลางวันฝูงนกนางนวลจึงหาอาหารกินได้ไม่ง่าย ตกกลางคืนก็พักผ่อนไม่ได้ อยู่ที่ฟาร์มปลาต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

ที่น่าเสียดายก็คือเสียงของโดรนดังเกินไปจนทำให้คนในฟาร์มปลาก็พักผ่อนได้ไม่ดีเช่นกัน ฉินสือโอวก็ทำได้แค่ซื้อหูฟังให้พวกเขาใส่

ทำบอย่างนี้อยู่สองวัน ฝูงนกนางนวลที่ยึดครองฟาร์มปลาก็ต้องยอมแพ้ พวกมันยอมละทิ้งปลาแสนอร่อย แล้วทยอยกันหนีไปจากฟาร์มปลา ส่วนมากบินไปที่ท่าเรือนครเซนต์จอห์น

แต่ด้วยเหตุนี้ นครเซนต์จอห์นที่มีชีวิตชีวา จู่ๆก็มีนกนางนวลแฮริ่งหลายหมื่นตัวปรากฏตัวขึ้นในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ พวกมันมีพลังรุนแรงมากกว่าผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคน เพราะอย่างน้อยผู้ลี้ภัยก็ปฏิบัติตามกฎหมายแต่นกนางนวลเหล่านี้ ไม่สนใจ พวกมันมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาเท่านั้น

นกพิราบในจัตุรัสเป็นพวกแรกที่ตกอยู่ในความโชคร้าย อาหารของนกพิราบเหล่านี้ถูกนกนางนวลขนาดใหญ่ปล้นไปจนหมด

ในวันเดียวกันมีการรายงานข่าวว่าเมื่อมีคนให้อาหารนกพิราบในจัตุรัส ขนมปังในมือก็จะดึงดูดความสนใจของนกนางนวลสีเงินเหล่านี้ และก็จะถูกพวกมันแย่งเอาไปในที่สุด คนที่ซวยตามๆ กันมาก็คือคนให้อาหารนกพิราบ ที่ทั้งมือและศีรษะต่างก็ได้รับบาดเจ็บไปตามๆ กัน

จากนั้นมีคนโพสต์ข่าวบนอินเทอร์เน็ตว่าสุนัขของเขาถูกนกนางนวลแฮริ่งรังแก พร้อมกับภาพชิวาวาเลือดไหลหยดทั่วดูน่าเวทนาจริงๆ

ฉินสือโอวที่ดื่มนมเปรี้ยวไปพร้อมๆ กับอ่านข่าวนี้ก็พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ทุกอย่างมันสายเกินจะแก้ไขแล้วล่ะ ดูนกนางนวลพวกนี้สิ แต่ก่อนเคยถูกเรียกว่าสติปัญญาแห่งท้องทะเล ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ? ผมว่าคนทั้งนครเซนต์จอห์นคงอยากจะเผาพวกมันให้วอดจนทนไม่ไหวแล้วล่ะ!”

“อย่าบอกนะว่ามีคนเผานกนางนวลแฮริ่งด้วยโดรนดัดแปลงติดเครื่องพ่นไฟจริงๆ น่ะ ปัญหานี้กำลังเป็นที่ถกเถียงกันทางออนไลน์เลยล่ะ”วินนี่พูดพร้อมสะบัดโทรศัพท์

หลังจากได้ยินเรื่องนี้ฉินสือโอวก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู บังเอิญจริงๆ แบล็คไนฟ์กับเขาก็เคยคุยกันว่าจะรวมโดรนกับปืนพ่นไฟเข้าด้วยกัน เขาไม่คิดว่าจะมีคนนำไปใช้จริงๆ จะพูดยังไงดี? วีรบุรุษยังไม่สิ้นแผ่นดินไงล่ะ!

ในข่าวออนไลน์มีรูปถ่ายของโดรนที่ดูเหมือนถูกปรับแต่งมาแล้วกำลังพ่นไฟอยู่ในอากาศ ที่มีนกนางนวลแฮริ่งสองตัวที่ดูตื่นตระหนกบินอยู่ข้างหน้า ขนของมันลุกเป็นไฟและเมื่อดูมาถึงภาพสุดท้ายก็ได้เห็นว่ามีกองวัตถุสีดำเหมือนถูกไฟเผาจนไหม้เกรียม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคือซากศพของนกนางนวลแฮริ่ง

ตามรายงานข่าวโดรนลำนี้ใช้ชิ้นส่วนจากเครื่องปรินต์ 3 มิติ ประกอบกับวงจรไฟฟ้าเชื่อมต่อเข้าด้วยกันหลายชิ้น และสุดท้ายก็ติดตั้งรวมกับเครื่องพ่นไฟขนาดเล็ก มันประสบความสำเร็จอย่างมาก ใช้น้ำมันเบนซินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงก็สามารถรักษาพลังงานในการยิงได้เป็นเวลาสองนาที

อย่างไรก็ตามการแสดงความคิดเห็นบนอินเทอร์เน็ตก็ค่อนข้างพูดถึงความระมัดระวัง มีคนกล่าวว่า: “คลิปวิดีโอพวกนี้จะทำให้คนรักโดรนทุกคนกลายเป็นพวกไร้ความรับผิดชอบ คนทั่วไปก็จะเห็นถึงความอันตรายที่มากับการใช้โดรน”

ผู้ใช้งานอีกคนก็แสดงความคิดเห็นไว้ว่า “ถ้าฉันติดโดรนด้วยเครื่องบังคับหรือปืนพ่นไฟ ฉันจะทำให้การใช้โดรนถูกด่าไปด้วยงั้นเหรอ? พระเจ้า อีกไม่นานรัฐบาลคงห้ามไม่ให้ใช้โดรนแล้วล่ะ”

กอร์ดอนเข้ามาดูใกล้ๆ หลังจากดูคลิปแล้วก็พูดขึ้นมาด้วยความตื่นใจว่า “พระเจ้า บนโลกนี้มีของที่เจ๋งขนาดนี้ด้วยเหรอ? ฉิน นี่แหละคือของขวัญวันคริสต์มาสที่ผมอยากได้!”

ฉินสือโอวตีเข่าเข้าให้หนึ่งที แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ของที่นายอยากได้น่ะไม่มีให้หรอกนะ จะมีก็แต่ฝ่ามือของฉันนี่แหละ จะเอาไหมล่ะ?”

กอร์ดอนแบะปาก กลอกตาไปมา จากนั้นก็หอบเอาไอแพดแล้ววิ่งหนีไป

ฉินสือโอวอ่านข่าวต่อ ข่าวเกี่ยวกับการติดตั้งโดรนเข้ากับเครื่องพ่นไฟกลายเป็นประเด็นร้อนอย่างรวดเร็ว หลังจากเกิดเรื่อง ตำรวจของนครเซนต์จอห์นก็ได้เริ่มต้นการสอบสวนทันที

อย่างไรก็ตามจากรายงานข่าว ตำรวจก็ได้ติดตามจับกุมนักออกแบบรายนี้ แต่ไม่ใช่เพราะเขาติดตั้งโดรนเข้ากับปืนพ่นไฟ แต่เป็นเพราะเขาทรมานและฆ่านกนางนวลแฮริ่งจำนวนมาก ซึ่งพวกมันเป็นนกที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ทว่าตอนนี้นกนางนวลแฮริ่งกำลังเป็นที่โกรธแค้นและถูกผู้คนก่นด่า ประชาชนขอให้เทศบาลแก้วิกฤตนกนางนวลแฮริ่งในครั้งนี้ หากเทศบาลนครไม่สามารถกำจัดนกนางนวลแฮริ่งได้ ก็ควรจะอนุญาตให้ประชาชนหาวิธีกำจัดนกนางนวลแฮริ่งได้เอง

สิ่งที่ทำให้ผู้คนหมดหนทางในการแก้ปัญหาอยู่ในตอนนี้ก็คือ นกนางนวลได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่า ถ้าต้องการขับไล่พวก ก็ต้องลงไม้ลงมือเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่นกนางนวลบางส่วนจะถูกฆ่าด้วยความรุนแรง

ในความเป็นจริงแล้วนกนางนวลสีเงินไม่ได้เป็นสัตว์ที่เลวร้าย แต่ด้วยความที่นกนางนวลชนิดนี้มีขนาดใหญ่และมีความเป็นอันธพาลกว่านกนางนวลชนิดอื่น และเนื่องจากว่าพวกมันเป็นนกอพยพร่างกายจึงเต็มไปด้วยพละกำลัง เมื่อมันหยุดที่ใดที่หนึ่ง พวกมันก็จะระบายความกระปรี้กระเปร่าออกมาจนสร้างความเดือดร้อนไปทั่วทุกที่

เทศบาลเมืองเซนต์จอห์นได้จัดประชุมกันในวันรุ่งขึ้นและลงมติให้ยกเลิกกฎหมายคุ้มครองนกนางนวลแฮริ่งเป็นการชั่วคราว โดยอนุญาตให้ผู้คนขับไล่นกนางนวลสีเงินออกไป แต่ห้ามใช้อวนจับและฆ่านกอย่างทารุณกรรม

นกนางนวลแฮริ่งสร้างปัญหาให้กับฟาร์มปลา โดยส่วนใหญ่จะทำให้การทำงานปกติของฟาร์มปลาในเมืองต่างๆ ล่าช้าลงกว่าเดิม อีกทั้งพวกมันยังบินข้ามสนามบินและทำให้เกิดปัญหากับเที่ยวบิน เที่ยวบินตอนเย็นของเซนต์จอห์นต้องถูกระงับ เนื่องจากว่ามีเครื่องบินลำหนึ่งชนเข้ากับนางนวลสีเงินขณะลดระดับลงต่ำจนเกือบจะประสบอุบัติเหตุ

ฉินสือโอวให้ความสนใจกับนักประดิษฐ์โดรนพ่นไฟที่ถูกตำรวจจับ หลังจากที่รัฐบาลของเมืองออกคำสั่งนี้ ตำรวจก็ปล่อยตัวชายคนนี้ให้เป็นอิสระ โดยอธิบายว่าพวกเขาไม่ได้จัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับโดรนดังนั้นจึงต้องมีการส่งมอบเรื่องดังกล่าวไปยังกรมบังคับการบิน

แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุด กรมบังคับการบินก็ได้โอนคดีไปยังสำนักงานตำรวจนครเซนต์จอห์น เนื่องจากขณะนี้แคนาดาไม่ได้กำหนดข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับโดรนพลเรือนเอาไว้ และหลังจากตรวจพบเรื่องนี้ตำรวจก็เชื่อว่าผู้ปฏิบัติการไม่ได้ละเมิดกฎหมายแต่อย่างใด จึงตัดสินถอนฟ้องในที่สุด

เมื่อเห็นข่าวนี้ ฉินสือโอวก็ดีใจแล้วเรียกแบล็คไนฟ์เข้ามาเพื่อบอกกับเขาว่า “เราจะติดโดรนกับเครื่องพ่นไฟเข้าด้วยกัน และถ้าหลังจากนี้มีเรือขโมยปลามาอีก พวกเราจะเผาพวกมันด้วยเครื่องพ่นไฟ!”

แบล็คไนฟ์นึกไอเดียอื่นขึ้นได้ จึงบอกกับเขาว่า “ไม่ใช่แค่ปืนพ่นไฟนะบอส แต่เรายังสามารถติดโดรนเข้ากับปืนไฟฟ้าได้ด้วย ปืนไฟฟ้าสำหรับพลเรือนจะไม่สร้างความเสียหายถาวรให้กับร่างกายมนุษย์ เหมาะกับการรับมือกับพวกคนบนเรือขโมยปลา”

เหล่าทหารเริ่มปฏิบัติการ พวกเขาเคยศึกษาการดูแลรักษาและการใช้โดรน มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขาเลยที่จะรวมโดรนเข้ากับอุปกรณ์อย่างอื่น หลังจากซื้อปืนไฟฟ้าและเครื่องพ่นไฟขนาดเล็กแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือดัดแปลงมันทันที

…………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท