ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1529 โครงการหัวอาหาร เริ่มขึ้นแล้ว

บทที่ 1529 โครงการหัวอาหาร เริ่มขึ้นแล้ว

ถึงแม้ว่าจะมีทิญากับเควนตินคอยไกล่เกลี่ย ทว่าระหว่างฉินสือโอวกับคนของบริษัท ABTX ก็ยังมีความขัดแย้งที่ไม่สามารถตกลงกันได้ อีกฝ่ายมองดูฟาร์มปลาของเขาด้วยความละโมบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นปลาเทราต์แอตแลนติกตามธรรมชาติตัวอวบอ้วนพวกนี้ พวกเขาก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าที่นี่เป็นฟาร์มปลาคุณภาพดี

เนื่องจากปลาเทราต์แอตแลนติกตามธรรมชาติเติบโตได้ช้าจึงทำให้เกิดความคิดที่จะนำพวกมันมาผสมพันธุ์กับคิงแซลมอน และในเมื่อฟาร์มปลาแห่งนี้สามารถเลี้ยงปลาเทราต์แอตแลนติกตามธรรมชาติได้อ้วนพีถึงขนาดนี้ แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นปลาเทราต์น้ำดีจะยิ่งขนาดไหนกัน?

เทอร์รี่กับเบลดโซคาดหวังกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ฉินสือโอวไม่ยอมปล่อยให้พวกเขามีความหวังเลยแม้แต่นิดเดียว!

หลังจากวนดูรอบๆ ฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็พาคนกลุ่มนี้กลับไปที่นครเซนต์จอห์น เขาไว้หน้าแมทธิว จินด้วยการเลี้ยงอาหารคนพวกนี้อย่างอิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ ทั้งยังจองโรงแรมให้พวกเขาอีกต่างหาก ถ้าพวกเขามีความต้องการทางเพศ ฉินสือโอวก็ไม่ถือสาที่จะออกค่าใช้จ่ายให้

เขายินดีที่จะสร้างมิตรภาพแถมยังไม่คิดเสียดายเงิน แต่ถ้าคิดจะทำให้ฟาร์มปลาของเขาเกิดปัจจัยเสี่ยง แบบนั้นเขาไม่มีทางยอมเด็ดขาด

สองวันหลังจากนั้นการประชุมของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนในนครเซนต์จอห์นก็ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยมีฉินสือโอวเป็นคนอำนวยการ

เนื่องจากการแสดงออกอย่างแข็งกร้าวของเขาในการประชุมที่ออตตาวา ความเคารพยำเกรงที่บรรดาเจ้าของฟาร์มปลามีต่อเขาจึงยิ่งเพิ่มพูนขึ้น สมาชิกกลุ่มพันธมิตรจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าคนต่างก็มาถึงที่นี่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งยังมีคนกว่าสี่สิบห้าสิบคนที่มาสมัครเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรเพิ่มอีก

ก่อนเริ่มการประชุม เทอร์รี่ เบลดโซและฉินสือโอวก็ได้ทำการปรึกษาหารือร่วมกันก่อนเป็นอันดับแรก เขาอธิบายสถานการณ์ของกลุ่มเจ้าของฟาร์มปลาให้ทั้งสองคนฟังอย่างคร่าวๆ แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรนัก พวกเขาเพียงแต่ตอบอืมๆ อือๆ อยู่ไม่กี่คำเท่านั้น

ฉินสือโอวไม่ถือสา เขาก็พูดของเขาต่อไป เมื่อพูดจบแล้วจึงถามขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านพอจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพการณ์ทั่วๆ ไปของกลุ่มพันธมิตรบ้างแล้วหรือยังครับ? ถ้ายังมีข้อสงสัย สามารถถามผมได้ทันทีเลยนะครับ”

เทอร์รี่กับเบลดโซหันมาสบตากัน ก่อนที่เทอร์รี่จะลองถามหยั่งเชิงเขาว่า “คุณฉิน ฟาร์มปลาของคุณเยี่ยมยอดมาก พอจะบอกพวกเราได้ไหมว่าธนาคารประเมินมูลค่าฟาร์มปลาของคุณไว้ที่เท่าไร?”

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นจะต้องปิดบังอยู่แล้ว ฉินสือโอวจึงตอบพวกเขาว่า “ได้อยู่แล้วครับ มูลค่าก็ประมาณสองพันล้านดอลลาร์”

พอได้ยินอย่างนี้ทั้งสองคนก็พากันเบิกตาโตแล้วถามเขาด้วยความตื่นตกใจ “มูลค่าสูงขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วพูดกับพวกเขาเล่นๆ ว่า “แน่สิครับ ถ้ามูลค่าไม่สูง แล้วกรมสรรพากรจะเก็บภาษีเยอะๆ ได้ยังไงกันล่ะ?”

เทอร์รี่ฝืนหัวเราะจนไม่เป็นธรรมชาติ เขาลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วจึงถามขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณฉินครับ ผมขอถามหน่อยว่าคุณคิดจะนำหุ้นมาแบ่งขายบ้างไหม?”

ฉินสือโอวเข้าใจแล้วว่าเทอร์รี่กำลังคิดอะไรอยู่ บริษัท ABTX หมายตาฟาร์มปลาของเขาไว้แล้ว เลยอยากจะใช้เงินมาแบ่งซื้อหุ้นจากเขา หลังจากนั้นก็จะเอาปลาเทราต์น้ำดีมาเพาะเลี้ยงในฟาร์มยังไงล่ะ

แน่นอนว่าเขาไม่ยอมอยู่แล้ว ฉินสือโอวส่ายหัวปฏิเสธอย่างหนักแน่น “ไม่ครับ ฟาร์มปลาของผมเป็นสมบัติของครอบครัวที่คุณปู่มอบให้ แล้วผมก็อยากเก็บไว้ให้ลูกของผม ดังนั้นผมจึงเอาหุ้นไปขายไม่ได้”

เทอร์รี่กับเบลดโซยังคิดที่จะโน้มน้าวเขาต่อ ทว่าฉินสือโอวกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปคุยเรื่องอื่น แล้วพาพวกเขาเข้ามายังห้องเสียก่อน

เมื่อได้พบกับเจ้าของฟาร์มปลาทั้งสองร้อยกว่าชีวิต เทอร์รี่กับเบลดโซก็เริ่มใช้วาทศิลป์พูดชักจูงพวกเขา มอมเมาสมาชิกด้วยการบรรยายถึงข้อมูลด้านเทคโนโลยีและด้านการเงิน พร้อมกับใช้น้ำเสียงชวนลุ่มหลงเพื่อบรรยายถึงแบบร่างแผนการพัฒนาตลาดปลาเทราต์ที่ยิ่งใหญ่ชวนฝัน ด้วยหวังว่าบรรดาเจ้าของฟาร์มปลาจะยอมเพาะเลี้ยงปลาเทราต์แอตแลนติก

หลังจากจบการบรรยาย เทอร์รี่ก็พูดขึ้นมาว่า “ทุกคนครับ เชื่อผมเถอะ ปลาเทราต์น้ำดีจะกลายเป็นดาวเด่นที่สุดของตลาดประมงในอีก 10 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน รีบนำพวกมันไปเพาะเลี้ยงไว้ในฟาร์มปลาของพวกคุณตั้งแต่ตอนที่มันยังไม่เพิ่มจำนวนมากขึ้นดีกว่านะครับ บอกผมหน่อยว่า มีใครอยากได้สิทธิ์ในการนำพวกมันไปเพาะเลี้ยงบ้าง?”

หลังจากนั้นก็มีเจ้าของฟาร์มปลาคนหนึ่งลุกยืนขึ้น เทอร์รี่จึงแสดงสีหน้าดีอกดีใจขึ้นมาทันที ปรากฏว่าเจ้าของฟาร์มปลาคนนั้นกลับไม่ได้มองไปที่เขา แต่กลับหันไปถามฉินสือโอวว่า “ท่านประธานกรรมการบริหารครับ ผมขอถามหน่อยว่าคุณได้วางแผนที่จะรับปลาเทราต์ชนิดนี้เข้าไปไว้ในอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินบ้างหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ ตอนนี้ผมยังไม่ได้วางแผนเรื่องนี้เลย ส่วนในอนาคต ก็คงมีแต่พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้”

ต่อจากนั้นก็มีเจ้าของฟาร์มปลาอีกคนที่ลุกยืนขึ้น แต่คราวนี้เขาหันไปที่เทอร์รี่แล้วถามว่า “คุณครับ ถ้าพวกเราเพาะพันธุ์ปลาเทราต์น้ำดี แล้วหลังจากนั้นพวกเราจะเอามันไปขายที่ไหนเหรอครับ? ไม่ทราบว่าบริษัทของพวกคุณได้จัดหากิจการที่จะรับซื้อไว้ด้วยไหม?”

คำถามข้อนี้ทำให้เทอร์รี่รู้สึกลำบากใจเป็นอย่างมาก เขาหลีกเลี่ยงปัญหาหนักด้วยการตอบกลับไปว่า “คุณต้องรู้ก่อนนะว่าปัจจุบันนี้ตลาดมีความต้องการปลาเทราต์ในปริมาณที่สูงมาก ปีที่แล้วอเมริกานำเข้าปลาเทราต์แอตแลนติกกว่า 200,000 ตัน แคนาดานำเข้า 60,000 ตัน แล้วคุณรู้ไหมว่าญี่ปุ่นนำเข้าเท่าไร? พวกคุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ 500,000 ตันเต็มๆ เลยล่ะ!”

ปลาเทราต์แอตแลนติกเป็นวัตถุดิบหลักในการทำแซลมอนซาซิมิ ในญี่ปุ่นมีตลาดค้าขายมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกทั้งยอดขายทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ถึงอย่างไรบรรดาเจ้าของฟาร์มปลาก็เป็นนายทุนเหมือนกัน จะถูกหลอกง่ายๆ ได้ที่ไหนกันล่ะ? คำตอบของเทอร์รี่ทำให้บรรดาเจ้าของฟาร์มปลารู้สึกไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาต่างก็พากันส่ายหัวให้ และหลังจากนั้นก็ยังมีคนไล่จี้ถามเขาว่ามีช่องทางการจัดการที่แน่นอนไหม

เทอร์รี่แอบสบถด่าอยู่ในใจ ถ้ามีช่องทางในการจัดการที่มั่นคงแล้ว พวกเขาจะยังต้องมาเร่ขายลูกพันธุ์ปลาอยู่อีกไหมเล่า? ก็คงจะเลี้ยงเองไปแล้วน่ะสิ! บริษัท ABTX มีศักยภาพที่แข็งแกร่ง พวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ของทั้งอุตสาหกรรมเกษตร ปศุสัตว์รวมทั้งการประมงและป่าไม้ การซื้อฟาร์มปลาสักแห่งจึงไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร

การนำเสนอสินค้าในครั้งนี้จึงต้องจบลงทั้งที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากคนในกลุ่มพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ต่างก็ไม่ยินดีที่จะเพาะพันธุ์ปลาชนิดนี้ ปลาเทราต์น้ำดี เป็นสัตว์เศรษฐกิจดัดแปลงพันธุกรรมพวกแรกของโลก ใครจะยอมเสี่ยงเป็นหนูทดลองให้ล่ะ?

ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีรสชาติดี แต่ของสิ่งนี้ก็อาจจะสามารถฆ่าคนให้ตายได้ก็ได้

คณะของเทอร์รี่กับเบลดโซเดินทางออกจากนครเซนต์จอห์นไปพร้อมกับความผิดหวังเศร้าซึม พวกเขายังไม่ได้กลับอเมริกา แต่จะมุ่งหน้าไปทางตอนเหนือ ในเมื่อฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ไม่ยินดีที่จะเพาะพันธุ์มัน พวกเขาก็ต้องไปหาคนอื่นที่ยอมเลี้ยงแทน ในแคนาดายังมีเจ้าของฟาร์มปลาอยู่อีกเยอะแยะ

แต่จะว่าไปแล้ว ฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ก็เป็นที่ที่เหมาะกับการเพาะเลี้ยงที่สุดแล้วจริงๆ เพราะว่าแหล่งเพาะพันธุ์อยู่ในเกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ดซึ่งอยู่ข้างๆ กันกับนครเซนต์จอห์น และเนื่องจากปลาสายพันธุ์นี้ไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้เอง จึงต้องใช้วิธีผสมเทียมในการขยายพันธุ์เพียงอย่างเดียว

การประชุมครั้งนี้เป็นการรวมตัวกันของเจ้าของบรรดาฟาร์มปลาพอดี ฉินสือโอวจึงอาศัยโอกาสนี้ในการชี้แจงโครงการหัวอาหารปลาครั้งใหญ่

ฟาร์มปลาจำเป็นต้องใช้อาหารปลากันแทบจะทุกแห่ง ฟาร์มปลาอย่างฟาร์มปลาต้าฉินที่อาศัยแค่สาหร่ายทะเลเพียงอย่างเดียวเพื่อเลี้ยงห่วงโซ่ระบบนิเวศทั้งหมดก็แทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว

เขากล่าวว่า “ผมกำลังจะเพาะพันธุ์สาหร่ายทะเลกับหญ้าทะเลเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารปลาชั้นดีโดยเฉพาะ ทุกคนสนใจอยากจะซื้ออาหารปลาจากผมไหมครับ?”

บรรดาเจ้าของฟาร์มปลาต่างก็มองไปที่เขาด้วยความมึนงงและความรู้สึกประหลาดใจ ประธานกรรมการบริหารไม่มียางอายแบบเขาคงมีให้เห็นไม่บ่อยนัก พวกเขาเคยเห็นคนที่ใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่พอรับตำแหน่งแล้วก็รีบหาเงินเข้ากระเป๋าทันที แบบนี้ไม่น่าเกลียดไปหน่อยเหรอ?

ฉินสือโอวไม่สนใจสายตาของคนพวกนี้ เขาพูดต่ออีกว่า “ฟาร์มปลาที่ใช้อาหารปลาต้าฉิน ผลผลิตที่ได้จะเข้าไปอยู่ในอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินโดยอัตโนมัติ และผมจะรับซื้อปลาพวกนั้นในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด 10%”

เมื่อได้ยินอย่างนี้ พวกเจ้าของฟาร์มปลาก็เริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที ทำไมพวกเขาถึงเข้าร่วมกับพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์น่ะเหรอ? เพื่อสิ่งที่เรียกว่าข่าวคราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการประมงอะไรนั่นน่ะเหรอ? ผิดแล้ว พวกเขาเห็นแก่ฉินสือโอวที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร พวกเขาต่างก็อยากจะนำอาหารทะเลของตัวเองเข้าไปชุบทองด้วยแบรนด์ต้าฉินกันทั้งนั้น!

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท