ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1539 จุดที่ดีที่สุด

บทที่ 1539 จุดที่ดีที่สุด

บริเวณน่านน้ำนี้มีเรือประมงจอดอยู่ทั้งหมดสี่ลำ พวกเขาน่าจะมาด้วยกัน เพราะเรือพวกนี้เป็นเรือเดินสมุทร และมีชื่อที่สอดคล้องกัน ได้แก่ เรืออัศวินออร์แลนโด เรือคนเถื่อนผู้ยิ่งใหญ่รินัลโด เรืออัครมุขนายกโทบิน และ เรือเจ้าชายออณีเย

ฉินสือโอวอาศัยอยู่ในแคนาดามาสักระยะหนึ่งแล้ว และเพราะว่าครอบครัวของวินนี่มีความสัมพันธ์กับชาวฝรั่งเศสอยู่…พี่เขยของเธอ อาร์ม็องเป็นชาวฝรั่งเศส ดังนั้นเธอจึงมีความเข้าใจในเรื่องของตำนานและเรื่องเล่าของชาวฝรั่งเศส และทำให้ฉินสือโอวเข้าใจในบางเรื่องด้วยเช่นกัน

ชื่อเรือทั้งสี่ลำนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันเชื่อมโยงกัน พวกเขาทั้งสี่คนเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงที่สุดในสิบสองอัศวินแห่งฝรั่งเศส โดยมีการอ้างสิทธิ์มากมาย

คนเหล่านี้เคยติดตามจักรพรรดิชาร์เลอมาญผู้ยิ่งใหญ่ในสงครามทางตอนใต้และเหนือ ประมาณแปดร้อยปีฝีมือการทำสงครามระหว่างชาวคริสต์และชาวซาราเซ็นเป็นที่โดดเด่นมาก เหตุผลที่มีอัศวินเทพทั้ง 12 คนก็เพราะเลข 12 นี้ก็เป็นจำนวนสาวกขององค์พระเยซูเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วจำนวนทหารที่ใกล้ชิดและคนใกล้ชิดของจักรพรรดิชาร์เลอมาญนั้นไม่ได้มีจำนวนน้อยขนาดนี้

เมื่อฉินสือโอวคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ระวังตัวเพิ่มขึ้น ฝ่ายตรงข้ามทำงานอย่างเป็นระบบ แต่เรือปิศาจมาลาจิกิหรือเรือกษัตริย์บริตานีอย่ามาอีกเลย การที่ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากอาจทำให้ผู้คนตกอกตกใจได้

เรือล่าประมงทั้งสี่ลำนี้มีพลังอย่างมากมายมหาศาล คนพวกนี้ไม่เคยได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์มาก่อน ทำให้เกิดความตื่นตระหนกจนเรือชนกันอย่างต่อเนื่อง และมันก็ยังคงเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะที่ใกล้ที่สุดอยู่เรื่อยๆ

ฉินสือโอวยังเห็นอีกว่า บนหัวเรืออัครมุขนายกโทบินมีกล่องใบหนึ่งวางอยู่ ในกล่องใบนั้นมีปืนไรเฟิลบรรจุอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเล็งไปที่แมวน้ำบนเกาะ

เบิร์ดก็สังเกตเห็นเช่นกัน เขาพูดออกมาเสียงต่ำว่า “บอส ทำยังไงดีครับ? ”

กำลังหลักของพวกเขายังมาไม่ถึง พวกเขามีแค่เฮลิคอปเตอร์ลำเดียว ฉินสือโอวตัดสินใจที่จะแสดงความกล้าและความบ้าเลือดของเขาออกมา เขาหยิบปืนออกมาแล้วพูดว่า “ลงไปข้างล่าง เราจะใช้ปีกในการจัดการกับเจ้าลูกหมาพวกนี้เอง! ”

เบิร์ดดันคันโยกนำเครื่องลง เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ลดระดับลงช้าๆ ปีกเฮลิคอปเตอร์หมุนไปมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกระแสลมแรง คนที่อยู่บนเรือต่างก้มตัวลงกับพื้นพลางกอดเสื้อผ้าของตัวเองไว้ จะยืนขึ้นก็ยืนไม่ได้ จึงไม่สามารถเล็งปืนได้

ฉินสือโอวมองลงมาจากหน้าต่าง คนที่อยู่บนเรือเงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมก่นด่าออกมา เขาหัวเราะหึหึออกมา แต่อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้ยินเสียงด่าของพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย

เฮลิคอปเตอร์บินวนไปมารอบๆ เรืออยู่สักพัก คนบนเรือก็ค่อนข้างแข็งแรงเช่นกัน มีคนยกปืนขึ้นมา แล้วเหนี่ยวไกมายังเฮลิคอปเตอร์

‘ปังๆ ๆ ‘ เกิดเสียงดังกระทบขึ้นที่ใต้ท้องเฮลิคอปเตอร์ จากนั้นเฮลิคอปเตอร์ก็สั่นไปมาหลายที ทันใดนั้นทีหน้าผากฉินสือโอว เบิร์ดและบีบีซวงก็มีเหงื่อไหลผุดออกมา

นี่ไม่ใช่เฮลิคอปเตอร์ทหาร การกันกระสุนจึงค่อนข้างแย่มาก ด้านล่างของห้องโดยสารนั้นยังดี เนื่องจากเป็นสเตนเลส แต่ถ้าพวกมันยิงเข้ามาในประตู เป็นไปได้ว่ามันอาจจะทะลุเข้ามาข้างในได้!

ฉินสือโอวไม่คิดว่าพวกมันจะกล้าหาญขนาดนี้ พวกมันกล้าที่จะยิงพวกเขาโดยตรง เขาสังเกตเห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่าการปะทะกันก่อนหน้านี้ และเขาคิดว่าพวกเขาทุกคนเป็นมือปืนสมัครเล่น ไม่ได้คิดเลยว่าคนพวกนี้จะเป็นมือปืนอาชีพและมีความสามารถที่เก่งกาจ

แม้ว่าเบิร์ดจะตกใจ แต่เขาก็ยังมีสติมั่นคงเหมือนหินผา ในท้ายที่สุดเขาก็ปีนฝ่าห่ากระสุนออกมาได้ เบิร์ดเข้าไปควบคุมที่จอยบังคับอย่างรวดเร็ว พลางถามฉินสือโอวออกมาว่า “เจ้านาย จะให้ต่อสู้กลับหรือไม่ครับ? ”

ว่ากันตามตรง ฉินสือโอวกลัวตายมาก แต่เขาต้องการที่จะปกป้องแมวน้ำและสัตว์ทะเล เขาสามารถช่วยอารอนได้ แต่เขาไม่สามารถเสี่ยงชีวิตเพื่อทำสิ่งนี้ได้ เขายังมีเงินมากมายมหาศาล รวมถึงพ่อแม่และลูกเมียที่ต้องดูแลอยู่!

ดังนั้น เขาจึงจ้องมองไปยังเรือประมงด้วยความโกรธ และโบกมือไปมาอย่างเย็นชาพร้อมพูดว่า “บินขึ้น ให้ตายเถอะ พวกเราสังเกตการณ์พวกมันก่อนเถอะ ”

เฮลิคอปเตอร์กลับมาบินขึ้นสูง เหล่าผู้คนที่อยู่บนเรือยกนิ้วกลางขึ้นมาให้พวกเขาอย่างเย้ยหยัน และมีคนบางส่วนที่ยกปืนขึ้นแสดงออกถึงการต่อต้านพวกเขา

ฉินสือโอวไม่ได้เข้าต่อสู้กับคนพวกนั้น เขาเพียงมองลงมาด้วยสายตาเย็นชา

เรือประมงเคลื่อนตัวเข้าใกล้เกาะที่มีแมวน้ำอาศัยอยู่ มีคนถือปืนขึ้นไปยิงแมวน้ำบนเกาะที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในช่วงน้ำตื้น

เมื่อเห็นแบบนั้น ฉินสือโอวรู้สึกอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เขาหยิบปืนออกมา แล้วสั่งให้เบิร์ดลดระดับเฮลิคอปเตอร์ลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ให้บีบีซวงหยิบบาซูก้าออกมาจากกล่อง

เฮลิคอปเตอร์ลดระดับลงเรื่อยๆ คนที่อยู่บนเรือประมงเล็งปืนมาอีกครั้ง ตอนนั้นเองก็มีคนเห็นว่าบนไหล่ของบีบีซวงนั้นมีปืนอยู่ ทันใดนั้นพวกเขาก็ตกใจจนร้องอุทานออกมาว่า “พระเจ้า! อาร์พีจี! ”

บีบีซวงดึงสลักออก ลูกปืนที่ห่อหุ้มไปด้วยน้ำแข็งแห้งและฟองอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วส่งเสียงหวีดและพุ่งตัวออกไป ใช้เวลาเพียงสองวินาทีก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นที่ดาดฟ้าของเรือประมง เกิดควันหนาและเปลวไฟขึ้นที่เรือลำนั้นอย่างรวดเร็ว

เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวให้บีบีซววงใส่กระสุนเข้าไปอีกลูก และรอให้เรือประมงลำอื่นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้จากนั้นก็ยิงปืนใหญ่ออกไปอีกครั้ง

เรือที่ได้รับความเสียหายคือเรืออัครมุขนายกโทบิน ส่วนเรืออีกสามลำนั้นหยุดเคลื่อนตัวด้วยความตกใจ พวกมันตีโค้งออกจากเกาะไปทีละลำ และเคลื่อนตัวเข้าใกล้เรืออัครมุขนายกโทบินเพื่อช่วยเพื่อน

เบิร์ดขับเฮลิคอปเตอร์ออกไปไกล มีคนบนเรืออัศวินออร์แลนโดยิงปืนมาทางพวกเขาด้วยความโกรธ แต่เนื่องจากด้วยระยะที่ห่างไกลและมีลมรบกวน กระสุนจึงไม่สามารถปะทะเข้ากับเฮลิคอปเตอร์ได้เลย

ฉินสือโอวแน่ใจว่าคนพวกนี้จะไม่เข้าใกล้เกาะแห่งนี้ไปอีกสักพัก เขาจึงเคลื่อนตัวกลับมา

ในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน เรือกกำปั่นทะเลตะวันออกและเรือกกำปั่นทะเลใต้ก็ได้เดินมาถึงฟาร์มปลา บนเรือทั้งสองลำเต็มไปด้วยทหารฝีมือเยี่ยม เกิงจุนเจี๋ยยืนตัวตรงถือปืนเรมิงตันอยู่ในมือทั้งสองข้าง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความเงียบขรึม และสายตาอันแหลมคมกำลังมองมาข้างหน้า ท่าทางการยืนของเขาบนหัวเรือนั้นสง่างามจริงๆ

แอรอนตกใจกับภาพที่เห็น เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พระเจ้า ท่านประธาน คุณไปหาลูกน้องแบบนี้มาจากที่ไหนกัน? พวกเขาเป็นบุคคลทรงพลังที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาโดยแท้! ”

ในตอนที่เกิงจุนเจี๋ยถอยออกไป ก็มีทหารอีกคนขึ้นมาส่งปืนให้เขา หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา สายตามองไปข้างหน้าด้วยความเฉียบคม จากนั้นนายทหารคนนั้นก็นั่งยองๆ ลงกับพื้นและถ่ายรูปให้เขา…

คนแล้วคนเล่า ทุกคนขึ้นมาถ่ายภาพทีละภาพโดยมีพื้นหลังเป็นที่ตกปลาและท่าเรือเหมือนกันหมด

ฉินสือโอว “…”

โชคดีที่ทุกคนมารวมตัวกันแล้ว เรือกกำปั่นทะเลทั้งสองลำก็มาถึงแล้ว และยังมีเรืออีกลำขับเข้ามาอีก บนเรือมีชาวประมงร่างใหญ่อยู่ ผู้นำของเรือลำนั้นโพกผ้าสีแดงบนหัว เขาโบกมือให้พร้อมตะโกนออกมาว่า “อารอนหัวโล้น เราพี่น้องมาช่วยแล้ว! ”

อารอนกอดต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น และแนะนำเขาให้กับฉินสือโอว “ท่านประธาน นี่คือ…

“รูดี้ เคลลิสครับ แน่นอนว่าผมรู้ว่าเขาเป็นใคร เขาคือเจ้าของฟาร์มปลาผู้โด่งดังของพวกเราชาวแลบราดอร์ ” ฉินสือโอวจับมือกับชายร่างใหญ่ เขามีความจำที่ยอดเยี่ยม เขาจำชื่อลูกน้องที่อยู่ใต้บัญชาเขาได้หมดทุกคน

ตกกลางคืน รกกระบะทั้งสองคันขับจากฝั่งมายังท่าเรือทีละคัน เจ้าของฟาร์มปลาที่ชื่อเบอร์ตัน ไรซ์ มายังท่าเรือแฮร์ริงตันด้วยตัวเอง นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในสมาชิกของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์อีกด้วย

จากนั้นก็มีรถอีกสองสามคันขับตามเข้ามา พวกเขาต่างเป็นเจ้าของฟาร์มปลาในแลบราดอร์ทั้งหมด ไม่นานเจ้าของฟาร์มปลาและชาวประมงทั่วทั้งเมืองก็ออกมารวมตัวกัน

…………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท