ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1543 จัดการผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ก่อน

บทที่ 1543 จัดการผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ก่อน

ที่ทำให้ฉินสือโอวแปลกใจที่สุดก็คือ เสื้อกันกระสุนตัวนี้ไม่หนักเลย ความรู้สึกที่ถือไว้บนมือ น้ำหนักของทั้งชุดก็พอๆ กับโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่งเท่านั้น

ตามปกติแล้ว เสื้อกันกระสุนจะแบ่งเป็นชั้นเสื้อและชั้นกันกระสุน ชั้นเสื้อมักจะทำมาจากใยโพลีเอสเตอร์ ชั้นนี้จะค่อนข้างเบา แต่ชั้นกันกระสุนนั้นจะหนักกว่ามาก บางตัวจะใช้พวกเหล็กกล้าชนิดพิเศษ อะลูมิเนียม อัลลอย และไทเทเนียมมาทำ ส่วนบางตัวก็จะใช้พวกแผ่นเซรามิกจำพวกกะรุน โบรอนคาร์ไบด์ และซิลิกอนออกไซด์ จากนั้นค่อยใส่วัสดุอื่นๆ เช่นใยแก้ว ไนลอน เคฟล่าร์ และโพลีเอทิลีนโมเลกุลสูง เป็นต้น เพื่อนำมาผสมรวมเป็นโครงสร้างในการป้องกัน

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เสื้อกันกระสุนสำหรับคนหนึ่งตัวจะมีน้ำหนักถึงสิบกว่าถึงยี่สิบกิโลกรัม อุปกรณ์แบบนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้กับสุนัขทหารสักที เพราะว่าหากว่าเสื้อกันกระสุนของสุนัขหนักเกินไป จะส่งผลต่อความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวและความดุดันของสุนัขได้

ฉินสือโอวนำไปใส่ให้หู่จือกับเป้าจือ จากนั้นก็สวมหมวกกันน็อกใบเล็กให้พวกมัน ด้านหน้าหมวกกันน็อกยังมีการพ่นสีเป็นหน้าตาพวกมันด้วย ถือว่าเป็นชุดที่ออกแบบให้พวกมันโดยเฉพาะเลย

เดวิสยิ้มพร้อมอธิบายว่า “รูปที่พ่นไว้เป็นรูปที่ผมเข้าไปหาข้อมูลของสุนัขสองตัวนี้ในอินเทอร์เน็ตแล้วทำออกมาครับ คุณผู้อำนวยการ คุณว่าใช้ได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวไม่ยอมรับไม่ได้ว่า เจ้าหมอนี่ดูเป็นคนเถื่อนตัวใหญ่ก็จริง แต่ความจริงแล้วเป็นคนที่ละเอียดมากเลย ทำงานมาไม่ขาดตกบกพร่องเสียจริง

หากว่าเป็นของขวัญที่มอบให้เขา เขายังจะปฏิเสธได้ เพราะเขาแทบจะไม่ขาดอะไรเลย แต่ว่าของขวัญที่มอบให้หู่จือกับเป้าจือแบบนี้ เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้

หลังจากหู่จือกับเป้าจือใส่ชุดเสร็จแล้วก็ส่ายหางไปมา จากนั้นก็วิ่งออกไปสองสามก้าว เมื่อคุ้นเคยกับน้ำหนักของเสื้อกันกระสุน เจ้าสองตัวเล็กดีใจสุดขีด วิ่งไปทั่วเพื่ออวดของใหม่กัน

ฉินสือโอวพูดแสดงความเกรงใจกับเดวิสไปนิดหน่อย ถามเขาว่าเท่าไร เดวิสส่ายหัวแล้วพูดว่า “นี่คือของที่ผมฝากให้น้องชายหามาให้ ความจริงผมเองก็ไม่รู้ว่าเท่าไร แต่ไม่ว่าจะราคาเท่าไร ขอแค่ได้มอบให้สุนัขที่คู่ควรได้ใช้มันก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉินสือโอวตบไหล่แล้ว แล้วถามว่า “แล้วมีอะไรที่ผมสามารถช่วยคุณได้ไหม?”

เดวิสส่ายหัวแล้วหัวเราะ บอกว่าตอนนี้เขาโอเคทุกอย่าง ต่อไปหากต้องการอะไรค่อยมารบกวนผู้อำนวยการอีกที

เมื่อเห็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ หากว่าให้เจ้าหมอนี่ไปทำงานราชการในประเทศจีนก็คงดี เขาจะต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีของผู้บังคับบัญชาได้แน่

เมื่อไล่เรือหาปลาสี่ลำออกไปได้แล้ว ทุกคนก็คิดว่าเรื่องคงจะจบได้แล้ว พวกเขาจึงโทรศัพท์บอกเจ้าของฟาร์มปลาที่ยังไม่ถึงว่าไม่ต้องมาแล้ว ฉินสือโอวก็โทรศัพท์บอกวินนี่ด้วย ว่าเขาเตรียมจะกลับบ้านแล้ว

แต่สุดท้ายแผนการไม่เร็วเท่าการเปลี่ยนแปลง พลบค่ำวันเดียวกันนั้น ก็ได้มีเรืออีกหลายลำปรากฏมาบนท้องทะเลอีก

หลังจากฉินสือโอวได้รับข่าวแล้วก็ไปมองดูที่ท่าเรือ เรือที่มาครั้งนี้มีถึงสิบกว่าลำ จำนวนค่อนข้างมาก พวกเจ้าของฟาร์มปลามารวมตัวหารือกันก็ไม่ได้ข้อสรุป เขาจึงถามอารอนไปว่า “เมื่อก่อนมีเรือมาที่นี่เยอะขนาดนี้ไหม?”

อารอนคิดทบทวนอย่างจริงจังแล้วก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่มีครับ ผู้อำนวยการ นานๆ ทีจะมีมาสักลำสองลำเท่านั้นครับ”

ฉินสือโอวกวักมือขอกล้องส่องทางไกลอันหนึ่ง เขากวาดสายตามองไปที่ท้องทะเล พบว่าเรือพวกนี้มีหลากหลายรูปแบบ หลายประเภท จากนั้นอีกสักพัก เรือลำหนึ่งขับเข้ามา เมื่อมองไปที่ชื่อเรือแล้ว ก็พบว่าเป็นเรือปริ้นโอกีเยร์…

“ให้ตายสิ เป็นเรือล่าแมวน้ำ เจ้าโง่พวกนี้กลับมาอีกแล้ว!” ฉินสือโอวสะบัดกล้องส่องทางไกลลงแล้วพูดอย่างโกรธแค้นว่า “ไปบอกพี่น้องเรา ขึ้นเรือ เตรียมไปจัดการไอ้พวกสารเลว**พวกนี้!”

เมื่อได้ฟังคำนี้ เหล่าชาวประมงก็อึ้งไปตามๆ กัน “อะไรนะ? กลับมาอีกแล้วเหรอ? พวกเขาไปรวมเรือมากมายขนาดนี้มาจากไหนกัน?” “ผู้อำนวยการครับ นี่พวกมันมาเพื่อแก้แค้นแน่ พวกเราต้องระวังหน่อยนะครับ!” “ไม่ก็ไปแจ้งความเถอะครับ ให้พวกตำรวจทะเลมาจัดการพวกมัน!”

ฉินสือโอวใช้พลังโพไซดอนไปสังเกตการณ์ อันนี้จะเห็นได้ชัดเจนกว่า เขานับๆ ดูมีเรือมาทั้งหมดสิบเอ็ดลำ เรือที่ขับนำมาเป็นเรือลำใหญ่ น่าจะมีประมาณสองพันตันได้ ชื่อเรือว่า ‘ฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์’

ชื่อเรือคือการแสดงตัวตนบนท้องทะเล ทำให้ไม่สามารถใช้ซ้ำได้ เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้มีชื่อเรือทุกรูปแบบ แต่ว่าฉินสือโอวยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครกล้าตั้งชื่อให้เรือตัวเองว่า ‘ฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์’ มาก่อนเลย

แคนาดาไม่เหมือนกับจีน พวกเขาให้ความสำคัญกับลิขสิทธิ์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์เพลงหรือว่านิยาย จะไม่อนุญาตให้มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ตอย่างผิดกฎหมายเด็ดขาด จุดนี้ที่จีนมีปัญหามาก ไม่ออกประเทศยังดี หลังจากฉินสือโอวออกประเทศแล้ว พบว่าคำจำพวก ‘โจรภูเขา ละเมิดลิขสิทธิ์’ ได้กลายเป็นนามบัตรของประเทศจีนไปแล้ว

งานประมูลก่อนหน้านี้เขาได้ประมูลปลาชนิดหนึ่งที่พวกเจ้าของฟาร์มปลาเพาะเลี้ยงเอง มีเจ้าของฟาร์มปลาบางคนที่พอรู้ว่าเขาเป็นคนจีน ได้ให้เขาเซ็นสัญญารักษาความลับฉบับหนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ให้นำข้อมูลของพันธุ์ปลาประเภทนี้แพร่งพรายออกไป เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหดหู่มาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ดังนั้น เมื่อเห็นเรือลำนี้ถึงขั้นกล้าตั้งชื่อว่า ‘ฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์’ แล้ว ฉินสือโอวก็โบกมือ แล้วตะโกนออกไปว่า “ขึ้นเรือให้หมด ออกโจมตี ไปจัดการเจ้าพวกบัดซบพวกนี้ซะ! ฟังให้ดีนะ ไปจัดการเรือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ให้ฉันก่อน จัดการมันให้ราบคาบเลย”

เหล่าชาวประมงเคลื่อนตัว เรือลำแล้วลำเล่าเริ่มกลับหัวเปลี่ยนทิศทาง

ฉินสือโอวกำลังจะขึ้นเรือ ก็พลันมีความคิดใหม่ขึ้นมา ถามอารอนว่า “รอบๆ ทะเลแถบนี้มีเกาะตั้งมากมาย แสดงว่ามีโขดหินลับอยู่ด้วยใช่ไหม?”

อารอนพูดอย่างหมดหนทางว่า “ใช่ครับ มีโขดหินลับอยู่ สถานที่พวกนั้นอันตรายมากครับ แต่ผมว่าคนพวกนั้นถึงขั้นกล้ามาล่าแมวน้ำถึงที่นี่ แสดงว่าต้องทำความเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมของใต้ทะเลมาแล้วแน่ บนแผนที่ทะเลก็มีบอกถึงน่านน้ำที่มีโขดหินลับอยู่ด้วยครับ..”

“พอแล้ว แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” ฉินสือโอวฟังถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้มออกมา “เอาแผนที่ทะเลที่ละเอียดมาให้ฉันชุดหนึ่ง บอกพวกพ้องทั้งหลาย อีกสักพักให้ฟังคำสั่งของฉัน ไล่เจ้าพวกสารเลวพวกนี้ไปที่น่านน้ำโขดหินลับ ไม่นานก็จะมืดแล้ว พวกมันต้องชนเข้ากับโขดหินแน่นอน!”

อารอนนำแผนที่ทะเลมาให้ฉินสือโอวอย่างว่าง่าย แล้วพูดว่า “ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ ผู้อำนวยการ ผมไม่ได้สงสัยในตัวคุณนะครับ แม้ผมจะรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้เป็นพวกโง่ แต่พวกมันคงไม่โง่ถึงขั้นเข้าไปในน่านน้ำโขดหินลับหรอกใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพูดด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกมันจะเลือกได้หรอกนะ”

แน่นอนว่าเขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่โง่ถึงขั้นเข้าไปในน่านน้ำเขตโขดหินลับ เขาก็แค่อยากหาข้ออ้างให้ตัวเองเท่านั้น ขอแค่เรือพวกนี้เข้าใกล้โขดหินลับ งั้นปีศาจยักษ์ที่รออยู่นานก็จะสามารถแสดงอำนาจได้แล้ว

ทางฝ่ายฟาร์มปลามีเรือทั้งหมดยี่สิบกว่าลำ มีเจ้าของฟาร์มปลาทั้งหมดสามสิบกว่าคนมาช่วยเหลือ กว่าครึ่งในจำนวนนั้นล้วนขับเรือมาด้วย และในเจ้าของฟาร์มปลาเหล่านี้มีบางคนที่ขับเรือมาถึงสองลำ

กองเรือทั้งสองฝ่ายมองกันมาแต่ไกล เรือจับปลาสี่ลำที่หนีไปก่อนหน้านี้ได้ขับนำอยู่หน้าสุด ดูแล้วคงจะมาเพื่อแก้แค้นเป็นแน่ พวกเขาไม่ได้สนใจแมวน้ำหรือสัตว์ทะเลที่อยู่บนเกาะเลย แต่กลับพุ่งมาที่ฟาร์มปลาอย่างสบายใจแทน

เรือกำปั่นทะเลตะวันออกขับนำอยู่หน้าสุด ขับฝ่าคลื่นลมด้วยความเร็วสูงราวกับหัวหน้าฝูงแพะ เรือกำปั่นทะเลใต้ขับตามอยู่ข้างหลังมันไม่ไกลนัก ทำหน้าที่เป็นวิงแมนที่คอยให้ความปกป้องและช่วยเหลือ

ระหว่างเรือยอชต์มีระยะปลอดภัยอยู่ที่ประมาณสองกิโลเมตร ระยะหนึ่งกิโลเมตรถึงสองกิโลเมตรเรียกว่าระยะกันชน หากว่าเข้าใกล้มากกว่านี้ก็จะเป็นระยะอันตรายแล้ว สามารถถูกกระแสน้ำ แรงดันและคลื่นลมทำให้เกิดการชนกันขึ้นมาได้

เรือกำปั่นทะเลตะวันออกขับเข้าไปใกล้เรือยอชต์พวกนี้สองกิโลเมตรแล้วก็ยังคงขับแล่นไปข้างหน้าต่อ กองเรือฝ่ายตรงข้ามไม่คิดว่าเขาจะใจกล้าขนาดนี้ จึงทำได้แต่ลดความเร็วเรือตัวเองลง ไม่อย่างนั้นจะเกิดการเสี่ยงชนกันได้

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน