ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1531 สิ่งสำคัญในการขับไล่นกนางนวลแฮริ่ง

บทที่ 1531 สิ่งสำคัญในการขับไล่นกนางนวลแฮริ่ง

ฉินสือโอวรีบก้าวยาวๆ เดินเข้าไปหา ลูกกระรอกดินตัวหนึ่งกำลังมองมาที่เขาด้วยท่าทางน่าสงสาร วินนี่เองก็ช่วยสางขนให้มัน บนหลังของมันมีปากแผลอยู่หนึ่งที่ แต่ว่ารอยเลือดที่ติดอยู่แห้งไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แผลที่ได้มาจากเมื่อกี้

แต่เห็นได้ชัดว่าบาดแผลนี้มีความเกี่ยวข้องกับนกนางนวลแฮริ่ง ก่อนหน้านี้เขาลืมไปว่าไม่ได้มีแค่ปลากับกุ้งที่เป็นอาหารของนกนางนวลแฮริ่ง แต่ยังมีสัตว์ฟันแทะด้วย ถึงแม้ว่าลูกกระรอกดินจะมีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่แต่ก็ยังเป็นเหยื่อของพวกมันเช่นกัน

หลังจากที่ฉินสือโอวกับวินนี่เดินเข้ามาหาแล้ว พุ่มไม้ตรงนั้นก็สั่นขึ้นมาทันที เมื่อลูกกระรอกดินตัวอื่นๆพากันมุดออกมาจากพุ่มไม้ หลังจากนั้นพวกมันก็สังเกตดูรอบๆ อย่างวิตกกังวล หลังจากเห็นว่าไม่มีอันตรายแล้วถึงได้วิ่งออกมาร้องจี๊ดๆ อยู่ข้างๆ ฉินสือโอวด้วยท่าทางปวดร้าว

“ไอ้เวรปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว!” ท่านชายฉินตัดสินใจแล้ว เขาชี้นิ้วออกคำสั่งบอกให้บุกได้ ทันใดนั้นหู่จือกับเป้าจือก็กระโจนออกไปแล้วมุ่งหน้าไปทางชายหาดด้วยความรวดเร็ว

ฉินสือโอวตกอยู่ในความหดหู่ เขาร้องตะโกนว่า “กลับมาๆ พวกแกสองตัวไปแล้วมีประโยชน์อะไร? ฉันไม่ได้สั่งพวกแก!”เขาเงยหน้าขึ้นไปมองพวกบุชที่กำลังบินร่อนอยู่บนท้องฟ้าด้วยความดุดันแล้วจึงชี้นิวไปที่นกนางนวลแฮริ่งพร้อมกับออกคำสั่งอีกครั้ง “ไป ไปไล่นกพวกนั้นซะ!”

พวกบุชเมื่อเห็นท่าทางมือของเขาก็เข้าใจความหมายของคำสั่ง พวกมันส่งเสียงร้องก้องกังวาน แล้วบินไปหาฝูงนกนางนวลแฮริ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย

ถึงนกโจรสลัดจะไม่ถนัดด้านการต่อสู้ แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นนกตัวใหญ่ เมื่อกางปีกทั้งสองข้างออกกลับดูทรงพลังยิ่งกว่าพญาอินทรีเสียอีก ทั้งยังดูค่อนข้างน่าหวาดหวั่น ปกติแล้วเพียงแค่มันปรากฏตัวขึ้น พวกนกนางนวลก็จะหลบห่างออกไปให้ไกลทันที

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวเลย อาหารของนกนักล่าสองชนิดนี้รวมนกบนท้องฟ้าไว้แทบจะทุกชนิด กับนกนางนวลยิ่งเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย ที่จริงแล้วในเวลาปกติพวกมันจะไม่ล่านกนางนวลมาเป็นอาหาร แก๊งสามเกลอของนกอินทรีทองถือว่าัวเองเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง ฝูงเหยี่ยวหางแดงกับครอบครัวนกอินทรีทองบนภูเขาตากหากถึงจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมัน

วันนี้ได้รับคำสั่งจากฉินสือโอว นกสามเกลอจึงต้องไปสู้รบกับพวกนกนางนวลแฮริ่งอย่างช่วยไม่ได้ พวกมันไม่ให้ความสำคัญกับคู่ต่อสู้พวกนี้ เพราะจากที่พวกมันรู้ เพียงแค่พวกมันกางปีกออกแล้วส่งเสียงร้องออกไปสักครั้ง นกขี้ขลาดพวกนี้ก็พากันบินหนีอุตลุดแล้ว

คราวนี้ก็เหมือนว่าจะไม่ต่างกันนัก แก๊งสามเกลอไปปรากฏตัวที่ไหน ฝูงนกนางนวลแฮริ่งที่อยู่ตรงนั้นก็จะแตกตื่นจนหนีกระเจิง

แสงอาทิตย์อัสดงส่องกระทบลงบนตัวของสามเกลอ ปีกของพวกมันส่องประกายแสงออกมา สยายปีกทั้งสองข้างออกกว้างอย่างโอหัง เชิดหน้าอกตั้งตรงพร้อมทั้งกรงเล็บแหลมคมที่ถูกเก็บไปทางด้านหลัง หากบอกว่าพวกนกนางนวลแฮริ่งเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเหมือนกับเครื่องบินขนาดย่อมๆ พวกมันในตอนนี้ก็เป็นเครื่องบินรบลำใหญ่ดีๆ นี่เอง

หลังจากที่ฝูงนกนางนวลแฮริ่งกระจายตัวกันไปพวกมันก็ไม่ได้หนีไปไหนไกล แต่รอจนสามเกลอบินไปที่อื่นแล้วพวกมันก็บินกลับมาที่เดิม แล้วบินร่อนลมเล่นอย่างสบายใจต่อไป พอหาที่พักได้แล้วถึงร่อนลงไปพักผ่อน

เมื่อได้เห็นภาพนี้ สามเกลอจึงพากันโมโหขึ้นมา พวกมันเก็บท่าทีเกียจคร้าน แล้วเผยสายตาดุดันบุกเข้าหาฝูงนกพวกนั้นด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ทั้งใช้ปากจิก ใช้กรงเล็บฉีกทึ้ง สยายปีกโจมตี ใช้สารพัดวิธีมาโจมตีฝูงนางนวลเหล่านี้

เหล่านกนางนวลร้องครวญอย่างตื่นตระหนก แล้วจึงบินแยกย้ายกระจายกันไปทั่วทุกทิศ นกสามเกลอไล่ตามอยู่ด้านหลัง ขนนกปลิวว่อนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า บ่อยครั้งจะมีนกนางนวลแฮริ่งที่ถูกโจมตีจนร่วงหล่นลงมาจากบนฟ้า ดูท่าว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้นแล้ว

แต่นานๆ ไปเรื่องราวก็ค่อยๆ พลิกกลับ

ที่นี่มีนกนางนวลอยู่เยอะเกินไป และน่าจะมากกว่าหมื่นตัว หลังจากบินหนีไปแล้วอีกครู่เดียวพวกมันก็บินกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ความกลมเกลียวทำให้พวกมันมีความกล้าหาญและกล้าตัดสินใจที่จะต่อต้านพวกสามเกลอ ขณะที่แคลร์กำลังบินเจาะเข้าไปในฝูงนกนางนวล ทันใดนั้นมันก็พบว่าสถานการณ์เริ่มจะไม่ดีแล้ว!

นกนางนวลแฮริ่งพวกนี้ไม่ได้บินหนีด้วยความตื่นตระหนกอีกต่อไป แต่กลับเปิดจะงอยปากแหลมคมแล้วเริ่มเปิดการโจมตีใส่มัน

จะดูถูกพลังการโจมตีของนกนางนวลไม่ได้เลย แน่นอนว่าพวกมันเทียบชั้นกับนกอินทรีทองและนกอินทรีหัวขาวไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นนกใหญ่นกที่สามารถเติบโตได้ถึงหกสิบกิโลกรัม จะงอยปากก็แหลมคมกว่าใคร ทั้งยังบินร่อนได้อย่างคล่องแคล่ว เมื่อมีพวกมากพลังการต่อสู้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

นกนางนวลแฮริ่งหลายร้อยตัวตีวงล้อมแคลร์ที่บุ่มบ่ามบินเข้ามาเพราะประมาทคู่ต่อสู้ พวกมันทยอยกันผลัดกันจิก เช่นเดียวกับการแหย่รังแตน เพียงไม่นานพวกมันก็ล้อมนกอินทรีทองเอาไว้ได้

บุชกับนิมิตส์จึงรีบบินลงไปให้ความช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าคู่ต่อสู้ของพวกมันมีจำนวนมากเกินไป ทำให้พวกมันเองก็ถูกนกนางนวลตัวอื่นๆ บินล้อมเอาไว้ด้วย

ทันใดนั้น เสียงร้องคร่ำครวญของแก๊งสามเกลอก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงร้องที่เปล่งออกมาทั้งดังและแหลมสูง ทั้งหวาดวิตกและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน คราวนี้พวกมันต้องพบกับความพ่ายแพ้เสียแล้ว

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฉินสือโอวตกตะลึงจนตาค้าง พวกมันกล้าต่อต้านกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ กระทั่งนกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวก็ถูกล้อมโจมตีเนี่ยนะ? ท่านสีพูดถูกแล้ว คนเยอะกว่าย่อมมีกำลังเยอะกว่าจริงๆ!

แต่ตอนนี้เขาก็ยังหาทางแก้ไม่ได้นี่หว่า เขาเป็นสัตว์บก การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นบนอากาศ นี่มันเหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะจัดการได้แล้วนะ

ฉินสือโอวรีบวิ่งกลับมาหยิบปืนที่บ้านอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้ายิงมั่วๆ สถานการณ์ตอนนี้กำลังเป็นไปอย่างชุลมุนวุ่นวาย ถ้ายิงไปโดนเจ้าพวกสามเกลอเข้า แบบนั้นจะทำยังไงดีล่ะ? ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้แค่เต้นเร่าๆ ด้วยความร้อนใจอยู่ตรงนั้น

โชคดีที่พวกสามเกลอได้รับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนจนกลายเป็นสัตว์ที่ฉลาดล้ำ หลังจากที่พวกมันถูกล้อมโจมตีอยู่ท่ามกลางอากาศ พวกมันก็รีบคว้าโอกาสที่จะบินฝ่าออกมา ไม่ได้บินสูงขึ้นไปทางบนอีก เพราะข้างบนยังมีฝูงนกนางนวลปิดล้อมพวกมันเอา จึงเลือกบินลงมาข้างล่างพื้นดินแทน

หลังจากบินลงมาสู่พื้นดินแล้ว แคลร์กับบุชสะบัดกรงเล็บออกแล้ววิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่ง เหมือนแม่ไก่ไม่มีผิด

นิมิตส์น่าเวทนาที่สุดแล้ว ปีกทั้งสองข้างของนกโจรสลัดไม่ได้มีพละกำลังมากมายอะไร วิ่งก็ไม่เก่ง แถมขาข้างหนึ่งของมันก็ยังมีแผลเก่าอยู่อีกต่างหาก เลยทำได้แค่วิ่งตุปัดตุเป๋

พวกนกนางนวลแฮริ่งไม่ได้ไล่ตามลงมา พวกมันบินอวดศักดาอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับส่งเสียงร้อง ‘วี้ดๆๆ’ ลอย่างลำพองใจจนทำให้ฉินสือโอวรู้สึกเจ็บแค้นอย่างถึงที่สุด

ตอนนี้ปืนที่เอามาจึงถึงเวลาใช้งานแล้ว เขายกปืนขึ้นลั่นไก และหลังจากที่เสียง ‘ปังๆๆ’ ดังขึ้น นกนางนวลแฮริ่งดวงซวยกลุ่มหนึ่งก็ถูกกวาดลงมาข้างล่าง ส่วนพวกที่เหลือก็ตกใจกลัวจนกระเจิงกันไปคนละทาง ทว่าพวกมันก็แค่บินไปยังตำแหน่งอื่นๆ เท่านั้น ยังคงอยู่ในฟาร์มปลาเหมือนเดิม

ฝูงนกนางนวลมีจำนวนมากเกินไป ต่อให้ฉินสือโอวใช้ปืนก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฟาร์มปลากว้างใหญ่ถึงขนาดนี้ พวกมันสามารถบินจากทิศเหนือไปทิศใต้ บินจากทิศตะวันออกไปตะวันตกได้สบายๆ ถึงฉินสือโอวจะขับรถก็ตามนกพวกนี้ไม่ทัน

หนึ่งหัวไม่เท่าหลายหัวช่วยกันคิด ฉินสือโอวเรียกบรรดาชาวประมงมาทั้งหมด เพื่อปรึกษากับพวกเขาว่าจะจัดการปัญหาเรื่องนกนางนวลยังไง

หลังจากได้ฟังที่เขาพูดเหล่าชาวประมงก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วเริ่มถกปัญหากันเสียงดังจอแจ

“เรื่องง่ายๆ แค่พวกเราทุกเอาปืนไปไล่ยิงพวกมันให้ร่วง แค่ไม่กี่วันก็ไม่เหลือซากให้เห็นแล้ว!”

“ไอ้โง่เอ๊ย นกนางนวลเป็นสัตว์คุ้มครองเขาห้ามไม่ให้ฆ่าโว้ย ผมขอแนะนำให้จุดพลุไล่ดีกว่า”

“แกโง่กว่ามันอีก หน่วยงานรัฐของนครเซนต์จอห์นออกกฎว่า นอกจากวันพิเศษช่วงเทศกาลไม่อนุญาตให้จุดพลุ ผมแนะนำให้ปล่อยปลาที่มีพิษลงไปในฟาร์มนะ แหะๆ แบบนี้ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราทำ…”

ฉินสือโอวได้ฟังความคิดที่ไม่ได้เรื่องของคนพวกนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา นี่เขาเรียกมาประชุมนะ ไม่ได้ให้มาแข่งกันพูดเรื่องไร้สาระ เขาจึงเตะขาโต๊ะข้างหนึ่งด้วยความโมโหแล้วตวาดลั่นออกมา ”นี่มันเวลาไหนกันแล้ว รีบคิดหาวิธีไล่นกนางนวลพวกนี้ไปเสียที! ของดีๆ ถูกพวกมันกินไปจนจะหมดแล้ว!”

พอได้ยินแบบนี้ ทุกๆ คนถึงได้เริ่มจริงจังขึ้นมา แบล็คไนฟ์คิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นมาว่า

“ผมว่าเราควรใช้โดรนขับไล่!”

“พอเลย ฉันขออะไรที่มันเป็นไปได้หน่อย!” ฉินสือโอวตวาดด้วยความโมโห

แบล็คไนฟ์จึงพูดกับเขาด้วยความน้อยใจว่า “อันนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกันนะ ในอินเทอร์เน็ตมีโดรนขายตั้งเยอะตั้งแยะ ซื้อมาสักสองสามเครื่องแล้วเอามาปรับแต่ง แบบนั้นใช้ไล่ฝูงนกอินทรียังได้เลย!”

“พูดจริงหรือเปล่า?” ท่านชายฉินถามด้วยความฉงน

“จริงแท้แน่นอน!”

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท