ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1549 ปัญหายุ่งยากในครอบครัว

บทที่ 1549 ปัญหายุ่งยากในครอบครัว

อีวิลสันไอคิวต่ำ แต่เขาไม่ได้โง่ เมื่อเห็นยัยตัวเล็กอยากได้แบบนี้ เขาจึงยอมเสียสละแบ่งให้ นี่น่ะเป็นการเสียสละที่แท้จริงเลย ฉินสือโอวเห็นสีหน้าของเขาแล้ว ราวกับว่าของที่เสียสละไม่ใช่แผ่นผัก แต่เป็นขาข้างหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น “ให้ ให้หนูหมดเลย!”

วินนี่ขวางแผ่นผักไว้ ยัยตัวเล็กเบ้ปากแล้วงอแงอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นแบบนี้แล้ววินนี่ก็พูดว่า “หนูกินไม่หมด หนูกินหมดแค่หนึ่งชิ้นเท่านั้นใช่ไหมคะ?”

เถียนกวาร้องอย่างไม่พอใจว่า “หมด เอา!”

วินนี่มองไปที่เธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “แล้วหนูกินหมดไหวหรือเปล่า?”

เถียนกวาพยักหน้า ยังคงยื่นมือออกไปขอต่ออย่างดื้อดึง

ฉินสือโอวอยากจะห้าม เพราะลูกสาวกินทั้งหมดนี้ไม่หมดหรอก แต่วินนี่ดึงมือเขาไว้ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่ค่ะ ไม่ต้องยุ่ง”

หลังจากอึ้งไปพักหนึ่ง ท่านชายฉินก็เห็นเงาของหญิงเหล็กบนใบหน้าของวินนี่อีกครั้ง

อีวิลสันเอาแผ่นผักอีกชิ้นยื่นให้ยัยตัวเล็ก ยัยตัวเล็กในตอนนี้ได้ถือแผ่นผักพอดีมือละแผ่น เธอโยนแผ่นที่เล็กทิ้ง เมื่อเป็นแบบนี้เท่ากับว่ามือข้างหนึ่งถือแผ่นผักไว้ครึ่งแผ่น จึงดีใจขึ้นมาในที่สุด

อีวิลสันรีบเก็บแผ่นผักที่เธอทิ้งไว้ขึ้นมา แล้วถามฉินสือโอวว่า “ฉิน กินไหม?”

ฉินสือโอวบอกว่า “สกปรกแล้ว ไม่ต้องกินแล้ว”

อีวิลสันยิ้มซื่อๆ แล้วรีบยัดเข้าปาก เคี้ยวขนมพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข

วินนี่อุ้มยัยตัวเล็กไปที่หน้าโต๊ะทานข้าว เอาแผ่นผักสองแผ่นวางไว้ในจานเล็กของเธอแล้วพูดว่า “หนูเป็นคนขอของกินมามากมายขนาดนี้เอง งั้นก็ต้องกินให้หมดนะ เพราะว่านี่น่ะเป็นของที่หนูแย่งมาจากคุณลุงอีวิลสัน เข้าใจไหม? ตอนนี้คุณลุงก็กำลังหิวด้วย”

ยัยตัวเล็กกินเก่งไม่เบาเลย ไม่รู้ว่าเพราะฟังคำพูดที่วินนี่พูดเข้าใจหรือเปล่า เธอหยิบแผ่นผักแล้วเริ่มกินคำเล็กคำน้อยขึ้นมา

วินนี่ช่วยเธอฉีกแผ่นแป้งออกเพื่อเป่าให้เย็น สีหน้าอ่อนโยนมาก ถือว่าทำหน้าที่ศรีภรรยาและแม่ได้ดีแบบไม่มีที่ติเลย แต่ฉินสือโอวรู้ ว่านี่คือความสงบก่อนลมพายุจะมานั่นเอง

ยัยตัวเล็กกินไปครึ่งแผ่น จากนั้นก็เลิกเสื้อขึ้นมาตบไปที่ท้องที่ยื่นออกมาอย่างดีใจ แล้วปีนลงเก้าอี้ไปเพื่อจะไปเล่นต่อ

วินนี่อุ้มเธอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ชี้ไปที่แผ่นผักที่เหลืออีกครึ่งแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “มา กินให้หมด นี่น่ะเป็นอาหารที่หนูแย่งมาจากคุณลุงอีวิลสัน”

ยัยตัวเล็กส่ายหัว มองตาใสไปที่เธอแล้วพูดว่า “หม่าม๊า อิ่มแล้ว”

วินนี่บอกว่า “แล้วทำไมหนูถึงไปแย่งขนมของคุณลุงอีวิลสันล่ะคะ?”

ยัยตัวเล็กกะพริบตาปริบๆ ตบท้องน้อยๆ แล้วพูดว่า “อิ่มแล้ว”

วินนี่หัวเราะออกมา ฉีกให้เธออีกแผ่นหนึ่ง แล้วพูดว่า “มา ลูกรัก กินต่อ ยังจำได้ไหมว่าหม่าม๊าถามหนูว่าอะไร? หนูบอกว่าหนูกินขนมพวกนี้ได้หมดแน่ งั้นก็กินให้หมดเลย!”

ยัยตัวเล็กเบะปาก ตาดวงน้อยกะพริบ แล้วก็เริ่มร้องงอแงขึ้นมาอีกครั้ง

พ่อกับแม่ของฉินสือโอวราวกับนักกีฬาที่ได้ยินเสียงปืนอย่างไรอย่างนั้น รีบออกมาแล้วก็ถามอย่างร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมร้องไห้อีกแล้ว?”

เมื่อเห็นคุณปู่คุณย่า ยัยตัวเล็กหยุดร้องไห้แล้วสะอึกสะอื้นอย่างไร้เดียงสาแทน พร้อมกับยื่นมือไปขอให้คุณย่าอุ้ม

ฉินสือโอวมองออกว่านี่ไม่ปกติแล้ว ยัยตัวเล็กฉลาดมากจริงๆ ยังถึงไม่หนึ่งขวบครึ่งด้วยซ้ำ ก็สามารถอ่านสถานการณ์ออกแล้ว เธอรู้ว่าขอแค่ตัวเองร้องไห้ คุณปู่คุณย่าก็จะออกมาแล้วตามใจตัวเองทุกอย่าง

แน่นอนว่าวินนี่ดูออกยิ่งกว่า เธอไม่ได้ห้ามแม่ของฉินสือโอวที่จะอุ้มลูกสาว แต่มองไปที่ฉินสือโอวแทน

ท่านชายฉินรู้ว่าตอนนี้เป็นตอนที่เขาต้องออกตัวแล้ว จึงห้ามแม่ไว้ แล้วพูดว่า “แม่ครับ ตอนไหนกันที่เถียนกวาถูกแม่ตามใจจนเป็นแบบนี้ไปแล้ว? แม่ดูเธอสิครับ วินนี่พูดกับเธอแค่สองประโยคเอง ก็ร้องเสียจนเรียกให้แม่ออกมาเลย”

แม่ของฉินสือโอวบอกว่า “นี่ลูกพูดอะไรน่ะ เด็กร้องไห้แล้ว ลูกที่เป็นพ่อทำไมถึงไม่โอ๋ลูกล่ะ?”

ฉินสือโอวพูดว่า “เพราะว่าตอนนี้เด็กมีนิสัยไม่ดีน่ะสิครับ จะต้องแก้นะครับ!”

พ่อของฉินสือโอวเข้ามาพูดไกล่เกลี่ยว่า “เด็กเล็กแค่นี้จะไปรู้เรื่องอะไรกัน? จะสอนให้เด็กมีนิสัยดี งั้นก็ต้องรอจนเขาอายุมากกว่านี้หน่อยสิ ตอนนี้เขายังเล็กเกินไปนะ”

ยัยตัวเล็กซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของคุณย่า โผล่หัวออกมามองฉินสือโอว ใบหน้าเล็กๆ นั้นยังเต็มไปด้วยสีหน้าได้ใจด้วย

ฉินสือโอวนึกว่าตัวเองดูผิดไป เขามองดูดีๆ อีกครั้ง ก็ยิ่งรู้สึกว่ายัยตัวเล็กกำลังมองเขาอย่างได้ใจอยู่

ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ฉินสือโอวมองไปที่วินนี่ วินนี่กำลังโกรธอย่างเห็นได้ชัดเลย แต่เธอกำลังให้เกียรติพ่อกับแม่ของฉินสือโอวอยู่ จึงพยายามยิ้มอย่างเต็มที่ แต่ว่าแรงโกรธในดวงตาคู่นั้นกลับเห็นได้ชัดอย่างยิ่ง

หู่เป้าฉงหลัวเจ้าตัวเล็กทั้งกลุ่มพากันส่ายหัวสะบัดหางวิ่งเข้ามา พี่น้องเฟอเรทหาที่ดีๆ แล้วก็นั่งลง เจ้าตัวเล็กตัวอื่นๆ ก็หาที่นั่งด้วย แล้วพากันมองฉากการทะเลาะกันในบ้านอย่างใจจดใจจ่อ

วินนี่มองไปที่พวกมันด้วยสีหน้าเย็นเยือก เจ้าพวกตัวเล็กสบตากับเธอทีหนึ่ง แล้วก็ตกใจจนลุกขึ้นมา ส่ายหัวสะบัดหางอีกครั้งแล้วออกจากห้องไป

หมีโลลิถือว่าตัวเองเป็นที่รัก จึงคลานเข้ามาใช้หัวที่เต็มไปด้วยขนนั้นถูไปที่เข่าของวินนี่ จากนั้นก็ยืนขึ้นมาอ้าแขนออกทำท่าขออุ้ม

ฉินสือโอวรู้สึกได้ ว่าวินนี่พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำท่าเตะขาเหวี่ยงออกไป เขารีบลากหมีโลลิออกไป ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่า วินาทีต่อไปวินนี่อาจจะระเบิดแล้วก็เป็นได้

มือลากแขนของหมีโลลิอยู่ ฉินสือโอวก็พูดกับแม่ว่า “แม่ครับ ดูเด็กเป็นหน้าที่ของแม่ แม่เอาเถียนกวาให้วินนี่เถอะ ให้เขาจัดการเอง”

แม่ของฉินสือโอวบอกว่า “วินนี่ทำงานเหนื่อยขนาดนั้น…”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณแม่ หนูไม่เหนื่อยค่ะ” วินนี่พูดแทรกขึ้นมา

นี่คือครั้งแรกในความทรงจำของฉินสือโอว ที่วินนี่พูดแทรกคำพูดของแม่ เห็นได้ชัดว่าเธอสุดจะทนกับวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อและแม่เขาแล้ว

พ่อของฉินสือโอวสังเกตได้ว่ามีเรื่องแล้ว เมื่อเห็นว่าแม่ของฉินสือโอวยังอยากพูดอะไรต่อ จึงดึงตัวไว้ทีหนึ่ง ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว เอาเด็กให้วินนี่เถอะครับ พวกเราก็ตามใจเธอเกินไปหน่อยจริงๆ นั่นแหละ”

แม่ของฉินสือโอวพูดอย่างน้อยใจว่า “เสี่ยวโอวกับพี่สาวของเขาก็เลี้ยงแบบนี้ไม่ใช่เหรอไง? แล้วยังมีเสี่ยวฮุยอีก ก็เป็นพวกเราเป็นคนเลี้ยงไม่ใช่เหรอ? ตามใจหลานสาวตรงไหนกัน?”

พ่อของฉินสือโอวกระแอมทีหนึ่ง ใช้สายตาบอกเป็นนัยให้คู่ตัวเองว่าไม่ต้องพูดต่อแล้ว

ฉินสือโอวเป็นถึงหัวหน้าครอบครัว ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเอาบารมีของตัวเองออกมาแล้วล่ะ ความจริงตัวเขาและพี่สาวรวมไปถึงเสี่ยวฮุย พ่อแม่ก็รักมากจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าเมื่อก่อนฐานะไม่ดี พ่อกับแม่ของฉินสือโอวต้องเลี้ยงเด็กและยังต้องทำงานไปด้วย ถึงจะรักแค่ไหนก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ แต่ตอนนี้แทบจะทั้งวันกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงที่อยู่กับหลานสาว การตามใจนั้นได้กลายเป็นแบบไม่มีขีดจำกัดแล้ว

แต่อย่างไรเสียนี่ก็คือพ่อแม่ของตัวเอง เป็นคนที่เลี้ยงเขามาจนโต เขาก็ไม่อยากตำหนิอะไร จึงเข้าไปกอดแม่แล้วพูดด้วยเสียงทะเล้นว่า “แม่ครับ พ่อกับแม่ให้วินนี่มาดูแลเถียนกวาเถอะครับ พ่อกับแม่ไม่ควรมาริบความรับผิดชอบในการเป็นแม่ของเขานะครับ พอเป็นแบบนี้ พอวินนี่ไปทำงาน เถียนกวาก็ยังเป็นพ่อกับแม่ดูแลอยู่ดี…”

วินนี่ก็เริ่มกระแอมเบาๆ ด้วยเหมือนกัน ใช้สายตาบอกฉินสือโอวเป็นนัยว่าถึงตอนเธอทำงานก็ต้องสามารถดูแลลูกสาวด้วยเหมือนกัน

ท่านชายฉินทำทีว่ามองไม่เห็น แล้วพูดว่า “หลังจากเธอเลิกงานแล้วก็ยังมีวันหยุดสุดสัปดาห์อีก ที่ต้องให้เธอเป็นคนดูแลเด็ก แล้วก็ เถียนกวาโตแล้ว ต้องเริ่มเรียนรู้อะไรได้แล้ว ก็ให้วินนี่เป็นคนสอนนั่นแหละ โอเคไหมครับ?”

แม่ของฉินสือโอวก็สังเกตเห็นถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของวินนี่ด้วยเช่นกัน จึงถอนหายใจเบาๆ ไปเฮือกหนึ่ง อุ้มเถียนกวาให้วินนี่อย่างเสียดายแล้วพูดว่า “เสี่ยวโอวพูดถูก หนูเป็นแม่ อย่างไรเสียก็ต้องเป็นคนดูแลลูก”

เถียนกวามองดูฉากนี้ด้วยสายตางุนงง สมองเล็กๆ ของเธอยังไม่เข้าใจถึงเหตุการณ์ จนกระทั่งเห็นแม่ของฉินสือโอวออกจากห้องครัวไป จึงจะรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แล้วเริ่มอ้าปากร้องไห้ต่อ

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน