ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1554 ธุรกิจเยี่ยงนี้

บทที่ 1554 ธุรกิจเยี่ยงนี้

สายตาของฉินสือโอวยิ่งอยู่ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น รู้สึกว่าจะมีคนนอกคอกมาทำร้ายข้า!

หวังฉางไข่ยิ้มขืนๆ อย่างทำอะไรไม่ได้ อธิบายว่า “ขนาดบรรจุของขวดใบนี้คือ 6 ลิตร ข้างในบรรจุอากาศควบแน่นอยู่ อากาศพวกนี้มาจากเทือกเขาร็อกกี ผมอยากให้คุณลองดมดูนะครับ ลองสูดดมอากาศที่มาจากเทือกเขาร็อกกีดู”

ฉินสือโอวปฏิเสธไปว่า “ผมรู้สึกว่าที่เกาะแฟร์เวลอากาศดีมาก ไม่จำเป็นต้องไปลองของฝากล้ำค่าจากเทือกเขาร็อกกีหรอก ขอบคุณ ผมว่าถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมสามารถไปได้แล้วใช่ไหม?”

หวังฉางไข่ดึงเขาไว้ พูดว่า “ขอโทษครับ คุณฉิน เมื่อกี้ผมตื่นเต้นไปหน่อย เพราะว่าคุณเป็นไอดอลของผม ดังนั้นคำพูดของผมเลยอาจฟังดูสะเปะสะปะไปหน่อย แถมท่าทางก็อาจจะบ้าๆ บอๆ แล้วยังไม่ได้อธิบายให้ละเอียดอีก”

ในเมื่อเขาพูดมาแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงยืนยันที่จะกลับไม่ลง นี่น่ะเป็นแฟนคลับของตัวเองเลยนะ เวรละ เขาคิดทบทวนดูแล้ว เหมือนว่านี่จะเป็นแฟนคลับคนแรกด้วย…

หวังฉางไข่ยื่นนามบัตรให้เขาใบหนึ่ง บนนั้นเขียนคำว่าผู้บริหารบริษัทเย็นใจจำกัด แต่ว่าคำว่าเย็นใจคืออันไรกัน? ฉินสือโอวมองดูนามบัตรสีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย

หวังฉางไข่อธิบายว่า “ตอนนี้เมืองใหญ่ๆ ในจีนมีฝุ่นควันปกคลุมในฤดูหนาว หรือจะพูดว่ามีฝุ่นควันทั้งฤดูใบไม้ผลิฤดูร้อนฤดูใบไม้ร่วงทั้งสามฤดูเลยก็ว่าได้ มลภาวะทางอากาศรุนแรงมาก ส่งผลให้ผู้คนเป็นโรคทางเดินหายใจและโรคทางปอดกันเป็นจำนวนมาก ดังนั้นผมจึงเห็นโอกาสจากเรื่องนี้ ผมคิดว่าในปัจจุบันนั้นสามารถทำธุรกิจเกี่ยวกับอากาศได้”

ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว เขาพูดว่า “คุณเอาอากาศของเทือกเขาร็อกกีไปขายในประเทศจีนเหรอ? ไม่ได้ล้อกันเล่นใช่ไหมครับ?”

หวังฉางไข่พูดว่า “แน่นอนว่าไม่ได้ล้อเล่นครับ กลับตรงกันข้ามเลย ธุรกิจของผมไปได้ไม่เลวเลย คุณรู้จักโรคฝุ่นควันไหมครับ?”

ฉินสือโอวไม่รู้จักโรคนี้ จึงส่ายหัว

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว หวังฉางไข่ก็อธิบายให้เขาว่า “โรคฝุ่นควันไม่ใช่โรคที่ถูกบัญญัติไว้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากฝุ่นควันที่ประกอบไปด้วยฝุ่นละออง เกลือสมุทร ซัลเฟต ไนเตรต แอโรซอล เชื้อเพลิงและควันเสียจากรถยนต์เป็นต้น พวกมันสามารถเข้าไปในร่างกายแล้วก็ค้างอยู่ในทางเดินหายใจและปอด สุดท้ายก่อให้เกิดทั้งโรคทางร่างกายและจิตใจ และโรคที่เป็นง่ายที่สุดก็คือโรคทางเดินหายใจกับโรคหลอดเลือดหัวใจครับ”

“จากผลสำรวจ ในประเทศจีนจะมีอย่างน้อยห้าเมืองที่เป็นโรคนี้ และแต่ละปีจะมีคนเป็นโรคฝุ่นควันเกินกว่าหนึ่งแสนคนเลย เมืองปักกิ่งที่เป็นหนึ่งในนั้น ทุกปีจะต้องมีคนเป็นโรคฝุ่นควันอย่างน้อยห้าหมื่นคน ดังนั้นผมจึงคิดอยากจะทำธุรกิจด้านนี้ โดยการนำอากาศที่บริสุทธิ์ของเทือกเขาร็อกกีไปขายให้กับเมืองใหญ่พวกนี้ครับ”

ฉินสือโอวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ ความจริงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขารู้มานานแล้ว น่าจะประมาณตอนอยู่สมัยมัธยมต้น ตอนที่ครูของเขากำลังตำหนิเรื่องปัญหาของสภาพแวดล้อมทางอากาศของประเทศจีนอยู่นั้น ได้พูดว่า ในไม่ช้านอกจากคนต้องซื้อน้ำบริสุทธิ์แล้ว ก็ยังต้องซื้ออากาศบริสุทธิ์อีกด้วย

แน่นอนว่า คำพวกนี้เป็นคำที่คุณครูพูดเพื่อประชดเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะเป็นจริงขึ้นมาแล้วจริงๆ

แต่ว่า เขาไม่ได้แปลกใจเลย เพราะเขาคิดย้อนกลับไปสี่ปีก่อนตอนที่เขาขึ้นเครื่องที่ปักกิ่ง จากปักกิ่งถึงโทรอนโต คุณภาพอากาศแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แล้วยิ่งเมื่อเทียบกับเกาะแฟร์เวลแล้ว ความแตกต่างยิ่งมากเข้าไปใหญ่

“ธุรกิจนี้ผมได้ทำมาหนึ่งปีกว่าแล้วครับ ผลประกอบการ ณ ตอนนี้ถือว่ายังไม่เลวเลย ผมได้ประสบความสำเร็จในการนำสินค้าตัวนี้ตีเข้าไปในตลาดเจ้าพนักงานราชการและเจ้าของกิจการแล้ว ในประเทศจีนมีหลายสำนักข่าวเลยที่ทำข่าวเกี่ยวกับธุรกิจของผม นี่เป็นส่วนหนึ่ง เชิญดูก่อนครับ” หวังฉางไข่หยิบโน้ตบุ๊กออกมาจากกระเป๋า ในนั้นได้เก็บหน้าเว็บไว้มากมาย เป็นข่าวที่เกี่ยวกับบริษัทเย็นใจจำกัดจริงๆ

อากาศแบบนี้ถูกนักข่าวเรียกว่าเป็นอากาศสำหรับชีวิตที่หรูหราหรือไม่ก็อากาศเศรษฐี แต่ส่วนมากก็เป็นการแสดงความเห็นในด้านบวกอยู่ เพราะว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ได้หลอกลวง การพกไว้หนึ่งกระป๋องในที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันนั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ที่ปักกิ่งมีนักข่าวบอกว่าอากาศแบบนี้ได้กลายเป็นของขวัญที่ระลึกตัวใหม่ของแคนาดา และมาแทนที่ไอซ์ไวน์กับน้ำเชื่อมเมเปิล

หวังฉางไข่แนะนำต่อว่า “อากาศจากเทือกเขาร็อกกีที่เราบรรจุในหนึ่งขวดนี้ ที่ประเทศจีนพวกผมขายอยู่ที่ 25 หยวนครับ สามารถสูดดมได้ 2000 ครั้ง และจากข้อมูลที่สำรวจมา คนทั่วไปจะหายใจอยู่ที่สองหมื่นครั้ง และขอแค่หนึ่งในสี่นั้นเป็นอากาศบริสุทธิ์ ก็จะสามารถรักษาสุขภาพกายและใจที่แข็งแรงได้แล้ว”

“25 หยวน สามารถรับประกันได้ว่าอากาศที่คุณสูดเข้าไปในครึ่งวัน สามารถรักษาสุขภาพของคุณได้ คุณฉินครับ ถ้าหากว่าคุณต้องอยู่ในที่ที่มีฝุ่นควันทุกวันแล้วล่ะก็ คุณจะซื้อไหมครับ?”

ฉินสือโอวลังเลอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “โอเค ผมคงจะซื้อ”

หวังฉางไข่ยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ใช่ครับ ขอแค่คนที่พอจะมีเงินหน่อยก็ล้วนใส่ใจปัญหาคุณภาพชีวิตและสุขภาพทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจของพวกเราไม่ได้พุ่งเป้าไปแต่ที่คนมีเงินเท่านั้น ส่วนมากยังพุ่งไปหาคนเมาค้าง คนออกกำลังกายและนักศึกษาเตรียมสอบทุกประเภทด้วย เพราะอากาศที่คุณภาพดีสามารถทำให้มีสมาธิได้ ซึ่งสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้มากทีเดียว”

ฉินสือโอวพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดจริง งั้นออกซิเจนก็ดีกว่าหรือเปล่าครับ? ทำไมพวกเขาไม่ไปซื้อออกซิเจนถังแทนล่ะ?”

หวังฉางไข่บอกว่า ”เพราะว่าการสูดดมหน้ากากออกซิเจนเป็นเวลานานๆ จะมีผลข้างเคียงครับ แต่การสูดดมอากาศเป็นเวลานาน ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ ทั้งนั้น!”

ฉินสือโอวยอมรับว่าอีกฝ่ายเป็นคนนำเสนอที่เก่งมาก เขาถูกทำให้เชื่อแล้ว แต่ว่านี่เกี่ยวอะไรกับเขา? หรือว่าจะให้เขาไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์นี้เหรอ?

ก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนี้ แม้แต่หู่จือกับเป้าจือยังได้รับเซ็นสัญญาให้เป็นพรีเซนเตอร์เลย เออร์บักบอกว่ามีบริษัทติดต่อเขามาบอกว่าอยากให้ฉงต้าไปเป็นพรีเซนเตอร์ด้วย เมื่อเป็นแบบนี้แล้วการที่เขาไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับบริษัทที่ขายอากาศบริสุทธิ์ก็คงไม่เป็นปัญหาใหญ่หรอก?

ต้องรู้ว่า เพราะสภาพแวดล้อมทางอากาศของเกาะแฟร์เวลที่ไร้มลภาวะ เขาได้ถูกเรียกว่าเป็นเซเลบผู้รักษ์โลกในทวิตเตอร์ เวย์ปั๋วและเฟซบุ๊กเลย และยังมีผู้ติดตามอีกไม่น้อยเลย อย่างหวังฉางไข่คนนี้ก็คือแฟนคลับทางด้านรักษ์โลกของเขานั่นเอง

หวังฉางไข่ได้พูดตอบปัญหานี้ขึ้นมาว่า “ผมกำลังทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ อากาศจากเทือกเขาร็อกกีเป็นรุ่นหนึ่ง ผมคิดว่าอากาศของเกาะแฟร์เวลสามารถเป็นอีกรุ่นหนึ่งได้เช่นกัน ดังนั้นผมจึงอยากมาร่วมมือกับคุณเพื่อทำธุรกิจนี้ครับ!”

ฉินสือโอวคิดอยู่สักพัก แล้วก็ปฏิเสธไป เพราะเขารู้สึกว่าธุรกิจของหวังฉางไข่นั้นมีจุดตายอยู่ข้อหนึ่ง เขาบอกว่าการสูดออกซิเจนเป็นระยะเวลานานมีผลข้างเคียง แต่เมื่อกี้เขาเข้าไปค้นหาดูในอินเทอร์เน็ตแล้ว ทางการแพทย์ไม่ได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าการสูดออกซิเจนเป็นเวลานานมีผลข้างเคียงอะไร

เมื่อเป็นแบบนี้ ออกซิเจนก็เป็นของทดแทนที่ดีกว่าไม่ใช่เหรอ? ออกซิเจนที่สร้างขึ้นมาอาจจะต้นทุนสูงกว่าอากาศควบแน่นก็จริง แต่อากาศพวกนี้ก็ถูกส่งไปจากต่างประเทศเช่นกัน ทำให้ต้นทุนสูงเหมือนกัน

นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่อยากให้มีการเปิดโรงงานในเกาะแฟร์เวล นี่ต่างหากที่เป็นเหตุผลที่แท้จริงที่เขาปฏิเสธ!

ทำไมหวังฉางไข่ต้องมาหาเขาเพื่อร่วมทำธุรกิจเกี่ยวกับอากาศของเกาะแฟร์เวล เพราะว่าถ้าเขาไม่พยักหน้า ก็จะไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมหน้าไหนสามารถมาเปิดที่เกาะแฟร์เวลได้ อีกอย่างโกดังสำหรับอุตสาหกรรมของเกาะแฟร์เวลในปัจจุบันก็อยู่ในมือเขาด้วย

หวังฉางไข่พยายามอยากจะโน้มน้าวเขาให้ได้ ฉินสือโอวปัดมือเป็นความหมายว่าไม่ต้องพูดแล้ว สุดท้ายเขาพูดออกไปว่า “อย่างนี้ไหม เพื่อน คุณกลับไปทำธุรกิจนี้ก่อน ผมจะสังเกตดู หากผมรู้สึกว่าธุรกิจนี้สามารถทำได้จริงๆ งั้นตอนนั้นพวกเราค่อยติดต่อกันได้ไหมครับ?”

เมื่อเป็นแบบนี้ หวังฉางไข่จึงทำการขอร้องเรื่องต่อไป “แล้วผมสามารถเปิดโรงงานบนเกาะได้ไหมครับ? เป็นโรงงานเล็กๆ ที่ง่ายๆ ครับ ขอแค่มีคอมเพรสเซอร์ไม่กี่เครื่องก็พอแล้ว”

ฉินสือโอวบอกว่า “เรื่องนี้คุณสามารถไปตกลงกับทางสภาเมืองได้เลยครับ ผมไม่ได้รับผิดชอบในส่วนนี้”

แน่นอนว่าไม่ได้ คอมเพรสเซอร์เป็นของที่อันตรายมาก หากเกิดระเบิดขึ้นมาจะทำอย่างไร?

แต่ว่า ธุรกิจของหวังฉางไข่อันนี้ได้มาจุดประกายแรงบันดาลใจของเขา ทำให้เขามีความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท