ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1558 ย้ายออกทั้งหมด

บทที่ 1558 ย้ายออกทั้งหมด

การซ่อมแซมหลังคาเป็นงานที่หนักมาก เวลาของช่วงเช้าทั้งหมดล้วนถูกใช้ไปกับงานนี้ ก็คือซ่อมกันตั้งแต่เจ็ดโมงจนถึงเที่ยงเลยทีเดียว

วิลพาลูกน้องมาเริ่มงาน หลังจากฉินสือโอวลงมาจากหลังคาแล้ว เขาเดินเข้ามาหาพลางหัวเราะแล้วพูดว่า “เฮ้ คุณเศรษฐีใหญ่ ทำไมคุณถึงมาลงมือทำงานด้วยตัวเองได้ครับเนี่ย? มาเพื่อลิ้มรสความทุกข์ยากของประชาชนเหรอครับ?”

ฉินสือโอวชกเขาไปทีหนึ่ง “หยุดพูดจากระแนะกระแหนได้แล้ว เพื่อน คุณก็รู้ว่าผมน่ะเป็นมือดีในการทำงานเลยนะ”

วิลพูดว่า “ความจริงคุณไม่ต้องทำงานก็ได้นะครับ ผมหาคนมาไม่กี่คนมาช่วยคุณจัดการก็ได้แล้ว ด้านนี้น่ะผมเป็นมืออาชีพเลยนะ แน่นอนว่าฟรีด้วย ใครให้พวกเราเป็นเพื่อนกันล่ะ?”

ฉินสือโอวส่ายหัวอย่างเสียดาย พูดว่า “ทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ? ตอนนี้ผมกับพวกพ้องลงมือทำไปแล้ว ผมไม่เป็นไร แต่พวกพ้องของผมนี่สิ ผมไม่รับปากนะว่าโอเคเหมือนกัน”

วิลเอียงคอไปดูพวกเด็กๆ ที่มือถือโคลนขาวแล้วโบกเล่นกันอยู่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ถามว่า “นี่คุณไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย? เจ้าเด็กพวกนี้กำลังทำงานกันอยู่เหรอครับ?”

ไวส์กับชาร์คน้อยกำลังหยอกเล่นกันอยู่ ผ้าปิดปากไม่รู้หายไปไหนแล้ว ใบหน้าและผมของทั้งสองคนเต็มไปด้วยโคลนขาวและฝุ่น กอร์ดอนและคราเคนน้อยกำลังตะโกนเชียร์อยู่ เชอร์ลี่ย์กำลังใช้โคลนขาวปั้นเป็นลูกม้า ส่วนมิเชลก็วิ่งไปที่บาร์เครื่องดื่มเพื่อทำเครื่องดื่ม มีแค่พาวลิสเท่านั้นที่ยังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่

ฉินสือโอวเข้าไปดึงหูให้ทั้งสองคนแยกกัน ไวส์ชูนิ้วกลางใส่ ชาร์คน้อยก็ร้องเสียงแปลกๆ ออกมา แล้วก็อยากจะพุ่งตัวเข้าไปอีก เขาจึงจำเป็นต้องงัดเอาอาวุธใหญ่ออกมา “ใครยังจะทะเลาะกันอีก งั้นก็หักเงินห้าสิบเหรียญ!”

เด็กๆ ทั้งกลุ่มรีบสงบเสงี่ยมขึ้นมาทันที ทั้งช่วงเช้าได้เงินมาแค่ 75 เหรียญเองนี่นา

อาหารกลางวันเป็นอาหารง่ายๆ พ่อและแม่ของฉินสือโอวเตรียมข้าวอบ สเต๊กและปลาทอดไว้ให้ เพียงพอแน่นอน ทุกคนกินรองท้องไปก่อนแล้วกัน อาหารหลักคือตอนมื้อค่ำ

นี่คือนิสัยของคนแคนาดา พวกเขาไม่ให้ความสำคัญกับอาหารกลางวัน จะกินๆ ไปอย่างนั้น เพื่อรอไปกินมื้อใหญ่ตอนค่ำกัน

วิลก็ตามไปหยิบข้าวอบสเต๊กมาด้วยสองถ้วยใหญ่ เขากินเสต็กแล้วก็ชมว่า “ฉิน ผมรู้สึกว่าที่คุณนี่นะ ไม่ว่าอะไรก็อร่อย อย่างสเต๊กเนื้อแพะนี่รสชาติสุดยอดมากเลย แถมนี่ยังเป็นแบบตุ๋นด้วยนะ ผมคิดว่าถ้าเอามาย่างแล้วล่ะก็ รสชาติต้องดีกว่านี้แน่เลย”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “เหตุผลหลักๆ ก็คือมากินข้าวที่นี่ไม่ต้องเสียเงินต่างหาก ถ้าหากว่าต้องจ่ายเงินแล้วล่ะก็ คุณต้องไม่รู้สึกว่ามันดีขนาดนี้แน่นอน”

เนื้อแพะพวกนี้รสชาติดีมากจริงๆ เพราะว่าวันนี้เหล่าชาวประมงมาช่วยซ่อมแซมหลังคา คู่สามีภรรยาจอร์จก็มาด้วย ฉินสือโอวอยากจะจัดมื้อค่ำชุดใหญ่ จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่ง

ในร่างกายของแพะตัวนี้ก็มีพลังโพไซดอนด้วยเหมือนกัน คุณภาพของเนื้อได้รับการพัฒนามาอย่างดี รสชาติจึงอร่อยกว่าปกติ

ตอนบ่ายต้องทำการซ่อมหม้อไอน้ำ ท่อไออุ่นและเครื่องปรับอากาศร้อนเย็น ของพวกนี้ล้วนเป็นของที่ต้องทำการซ่อมบำรุงทุกปีอยู่แล้ว เมื่อก่อนฉินสือโอวจ่ายเงินให้คนอื่นมาทำ รวมๆ กันแล้วค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณห้าร้อยดอลลาร์แคนาดา วันนี้ตัวเองทำเองก็ได้แล้ว

หม้อไอน้ำของบ้านพักเป็นแบบสามารถใช้งานได้ทั้งน้ำมันและแก๊ส สามารถใช้กับแก๊สธรรมชาติและก็สามารถใช้กับน้ำมันได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ราคาของแก๊สต่ำกว่าราคาของน้ำมันมาก ดังนั้นบ้านพักจึงใช้แก๊สมาเผาแทน

หม้อไอน้ำเป็นเครื่องจักรที่ครอบครัวขนาดกลางในแคนาดาขาดไม่ได้ วัตถุประสงค์ของมันก็เพื่อเอาไว้สร้างความอบอุ่น เป็นการให้ความอบอุ่นในตัวมันเองเลย ความสามารถในด้านนี้ของมันดีกว่าเครื่องปรับอากาศเอามากๆ และราคาถูกกว่าเครื่องปรับอากาศด้วย แคนาดาหนาวมากในฤดูหนาว พึ่งแค่เครื่องปรับอากาศไม่สามารถสร้างความร้อนได้เพียงพอ จะต้องพึ่งทั้งเครื่องปรับอากาศ หม้อไอน้ำ และเตาผิงมาเปิดใช้งานพร้อมกัน

หม้อไอน้ำนี้ก็เป็นของที่ตกทอดมาด้วยเช่นกัน เป็นหม้อไอน้ำตั้งพื้นรุ่นเก่า ตอนนี้รุ่นที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือรุ่นเผาแก๊สแบบแขวนผนัง เป็นการเติมน้ำร้อนเข้าไปในหม้อไอน้ำ จากนั้นรอให้ปั๊มน้ำเพิ่มแรงดันจนน้ำร้อนหมุนเวียนได้แล้วก็เท่ากับเสร็จสิ้นกระบวนการให้ความอบอุ่นแล้ว

ฤดูใบไม้ผลิอุณหภูมิสูงขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้หม้อไอน้ำ มีเพียงแค่เครื่องปรับอากาศก็พอแล้ว ชาร์คเปิดหม้อไอน้ำแล้วตรวจดูรอบหนึ่ง ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ไหวแล้ว เปลี่ยนเถอะครับบอส ปั๊มน้ำขึ้นสนิมแล้ว ถ้าใช้ต่อไปอาจจะระเบิดได้นะครับ”

ฉินสือโอวเข้าไปดูแล้ว ก็พบว่าหม้อไอน้ำเก่าจนดูไม่ได้แล้วจริงๆ ไม่เพียงแต่ปั๊มน้ำเท่านั้นที่มีปัญหา ตัวควบคุมอุณหภูมิ ตัวแบ่งน้ำก็เก่ามากจนน่ากลัว จึงหาคนไปติดต่อบริษัทที่ผลิตหม้อไอน้ำนี้ เพื่อเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด

“เปลี่ยนหม้อไอน้ำทั้งชุดวุ่นวายมากเลยนะครับ” จอร์จมองดูแล้วก็พูดขึ้นมา “ท่อใต้ดิน แผ่นกระจายความร้อนก็ล้วนต้องเปลี่ยนด้วย ผมว่านะฉิน คุณนี่ใจกล้ามากจริงๆ ของแบบนี้จะต้องเปลี่ยนทุกๆ สิบปี ของคุณนี่ใช้มากี่ปีแล้วครับ?”

ฉินสือโอวจะไปรู้ได้อย่างไร? เขาถามเออร์บัก เออร์บักทำท่าคิดสักพัก จึงพูดว่า “นี่เป็นของที่คุณปู่เพิ่งเปลี่ยนไปก่อนเสียชีวิต ก็น่าจะ 15-16 ปีแล้วมั้ง?”

เมื่อได้ฟังคำนี้แล้ว ฉินสือโอวเองก็รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ว่าถ้าพูดแบบนี้แล้ว งั้นท่อใต้ดินนี้ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ เพราะเจ้านี่สามารถใช้ได้ห้าสิบปี

เออร์บักพูดอย่างเสียดายว่า “ถ้าให้ดีที่สุดก็เปลี่ยนไปด้วยเถอะ มันนไม่ดีนะ เท่าที่ฉันรู้มา ตั้งแต่สร้างฟาร์มปลานี้มาท่อใต้ดินนี่ยังไม่เคยถูกเปลี่ยนมาก่อนเลยนะ เวลาการใช้งานของมันน่าจะมีหกสิบปีแล้วนะ? ตอนที่สร้างฟาร์มปลาฉันยังตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย”

ฉินสือโอวหมดทางเลือก หัวเราะขืนๆ แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมสร้างฟาร์มปลาเสียใหม่เลยไม่ดีกว่าเหรอครับ”

ตอนนี้ถึงคราววุ่นวายจริงๆ เสียแล้ว หากต้องทำการเปลี่ยนท่อใต้ดินจริงๆ งั้นพื้นบ้านของบ้านพักก็ต้องถูกรื้อออกแล้วทำใหม่ทั้งหมดด้วย

แต่ทว่าก็ดีเหมือนกัน อย่างไรเสียพื้นนี่ก็ได้เวลาเปลี่ยนแล้ว

ระบบการติดตั้งเครื่องทำความร้อนของหม้อไอน้ำนั้นซับซ้อนมาก เสียทั้งแรงและเวลา บริษัทหม้อไอน้ำได้ส่งคนมาตรวจเช็กเครื่องให้วันนั้นเลย จากนั้นก็บอกกับฉินสือโอวว่า “อุปกรณ์ของคุณชุดนี้ต้องเปลี่ยนทั้งชุดนะครับ พวกผมจะต้องทำการติดตั้งท่อน้ำกับสายควบคุมก่อน จากนั้นค่อยติดตั้งเครื่องแยกน้ำกับหม้อไอน้ำให้ สุดท้ายค่อยติดตั้งเครื่องควบคุมอุณหภูมิ และระบบปรับอากาศให้นะครับ”

“นานแค่ไหนครับ?” ฉินสือโอวถามเหมือนจะปวดหัวเล็กน้อย

วิศวกรคนนั้นคำนวณสักพักแล้วพูดว่า “บ้านพักของคุณใหญ่มาก ใช้เวลาค่อนข้างมาก คิดว่าการติดตั้งท่อใช้เวลาประมาณสี่วัน ติดตั้งหม้อไอน้ำก็สี่วัน ทดลองใช้งาน 1 วัน เวลาที่ว่านี้ยังไม่รวมกับเวลาที่นำระบบมาเชื่อมกันของทั้งหน้าและหลังนะครับ สรุปก็คือ อย่างน้อยต้องสิบวันครับ”

ฉินสือโอวพูดอย่างหมดทางเลือกว่า “เอาเร็วที่สุด ไม่ต้องกังวลเรื่องราคา เร็วที่สุดคือกี่วัน?”

พอพื้นถูกเลาะออก บ้านพักก็จะไม่สามารถอยู่ได้ เขาจะต้องทำการย้ายคนออกไปทั้งหมด

วิศวกรลูบจมูกไปมา พูดว่า “หากว่าไม่เกี่ยงเรื่องเงิน งั้นก็เพิ่มคนงานเข้าไป อีกเท่าหนึ่ง เวลาก็จะลดลงไปครึ่งหนึ่ง ประมาณห้าวันครับ …”

“เร็วกว่านั้นอีก เพิ่มคนงานเป็นสี่เท่าเลย!” ฉินสือโอววางมาดมือเติบเงินไม่ขัดสนออกมา

วิศวกรคนนั้นหัวเราะแล้วมองไปที่เขาพูดว่า “คุณผู้ชายครับ นี่ไม่ได้ง่ายเหมือนกับหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองนะครับ ถ้าจำนวนคนยิ่งเยอะ คุณภาพของงานกลับจะน้อยลงไปนะครับ ผมให้คนงานของบริษัทเร่งความเร็ว คิดว่าสี่วันน่าจะทำเสร็จได้ครับ”

ที่แคนาดา ขอแค่เกี่ยวข้องกับการซ่อมท่อ เปลี่ยนท่อก็จะค่อนข้างปวดหัว และขอแค่เกี่ยวข้องกับการซ่อมท่อราคาก็จะค่อนข้างสูง

อีกอย่าง คนตรวจเช็กและคนซ่อมล้วนคิดเงินเป็นรายชั่วโมงกันทั้งนั้น เวลาเริ่มคิดตั้งแต่พวกเขาออกจากบริษัท และยังรวมไปถึงเวลาที่พวกเขารถติดอยู่บนถนนด้วย แล้วก็งานเปลี่ยนท่อแบบนี้ก็ทำได้เฉพาะคนที่มีใบอนุญาตเท่านั้นด้วย ดังนั้นแม้ว่าเราจะเปลี่ยนเองได้ก็จริง แต่ในด้านกฎหมายก็ถือว่าผิดอยู่ดี

แน่นอน เพื่อเป็นการประหยัดเงิน ขอแค่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ คนแคนาดาก็จะทำการซ่อมเองทั้งนั้น ขอแค่ไม่ต้องเกิดเรื่องก็พอแล้ว แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ งั้นก็ถือว่าซวยแล้ว เพราะว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย บริษัทประกันจึงไม่รับผิดชอบ ตัวเองจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

เมื่อหม้อไอน้ำต้องเปลี่ยน ฉินสือโอวจึงไปดูเครื่องปรับอากาศร้อนเย็น ถ้าใช้ไม่ได้จริงๆ งั้นอันนี้ก็ต้องเปลี่ยนด้วย

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท