ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1534 เพาะพันธุ์หอยในฤดูใบไม้ผลิ

บทที่ 1534 เพาะพันธุ์หอยในฤดูใบไม้ผลิ

ขณะที่พวกทหารกำลังดัดแปลงโดรน ฉินสือโอวก็นำพวกชาวประมงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะทำงาน

แผนของปีเริ่มต้นที่ฤดูใบไม้ผลิ การทำฟาร์มปลาก็เหมือนกับการทำฟาร์มเพาะปลูก ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงเวลาที่ดีในการทำฟาร์ม ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่มีการแพร่พันธุ์ปลาเข้าสู่ฟาร์มหลากหลายสายพันธุ์

หากแต่ว่า ทรัพยากรการประมงของ ฟาร์มปลาต้าฉินมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีการปล่อยพันธุ์ปลาเพาะเลี้ยง แต่สิ่งที่ต้องทำคือการปล่อยพันธุ์หอยเพื่อเพาะเลี้ยง

ในฟาร์มปลามีหอยอยู่หลายชนิดรวมถึง หอยเชลล์ เพียงแต่ปริมาณไม่มากพอ ไม่สามารถผลิตได้ทันกับความต้องการของตลาด ฉินสือโอวจึงต้องขยายจำนวนการเพาะพันธุ์โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องซื้อหอยจากภายนอก ฟาร์มปลาของเขาเริ่มเพาะเลี้ยงหอยบางชนิดตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว จนโตเป็นแม่พันธุ์หอยที่แข็งแรง

ฟาร์มปลาเพาะเลี้ยงหอยเชลล์มหาสมุทรแอตแลนติกไว้เป็นจำนวนมาก มันมีคุณประโยชน์เป็นอย่างมาก แทบทุกส่วนของมันนับว่าต่างก็มีมูลค่าทั้งสิ้น

กล้ามเนื้อของหอยเชลล์สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารแช่แข็งและหอยแปรรูปแบบกระป๋อง เนื้อส่วนขอบสามารถนำแปรรูปเป็นหอยฉีกฝอยได้ ซึ่งสามารถทานเป็นอาหารและใช้เป็นเหยื่อสดสำหรับปลาและกุ้งได้ด้วย เปลือกหอยทั้งสองฝาสามารถใช้เป็นส่วนยึดสำหรับตัวอ่อนของลูกพันธุ์หอย และยังเป็นวัตถุดิบที่ขาดไม่ได้สำหรับอุตสาหกรรมงานฝีมือแกะสลัก หอยเชลล์มหาสมุทรแอตแลนติกจึงเป็นตัวเลือกแรกในการเพาะพันธุ์หอย

ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ถึงแม้ว่าหอยเชลล์จะเป็นสัตว์น้ำอุ่น แต่ก็มีช่วงอุณหภูมิที่กว้าง โดยขีดจำกัดของอุณหภูมิต่ำสุดจะอยู่ที่ -1 องศาเซลเซียสทนต่ออุณหภูมิสูงสุดที่ 34 องศาเซลเซียส จะหยุดการเจริญเติบโตจนกว่าอุณหภูมิจะต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส และสามารถเพาะเลี้ยงได้แม้ในพื้นที่ฟาร์มปลาในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ

หน้าที่ของเรือฮาวิซทเริ่มต้นขึ้นในตอนเช้า ฉินสือโอวนำพวกทหารทั้งห้าคน รวมถึงชาร์คและบูลพร้อมกับเด็กใหม่อย่างเกิงจุนเจี๋ยเตรียมตัวออกทะเล

ขณะเดียวกันซีมอนสเตอร์ก็พาชาวประมงที่เหลือทำงานอยู่บนชายหาด โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีจุดหมายเดียวกัน นั่นก็คือการจับแม่พันธุ์หอยจากเมื่อปีที่แล้วมาเพาะพันธุ์นั่นเอง

วิธีการจับหอยมีอยู่สองวิธี วิธีแรกคือการจับด้วยมือและอีกวิธีหนึ่งคือการจับด้วยเครื่องจักรกล การใช้เครื่องจักรจับนั้นง่ายดายมาก เพียงแค่วางเครื่องจับหอยไว้ที่ก้นทะเลแล้วปล่อยให้มันทำงานจากนั้นก็แค่เก็บหอยขึ้นมา

ฟาร์มปลาต้าฉินใช้เครื่องเก็บหอย รุ่น SP-12 ที่ผลิตโดย Siemens Fisheries ซึ่งเหมาะสำหรับการตจับหอยเชลล์อ่าวแอตแลนติก มันสามารถเก็บเกี่ยวได้มากถึง 500-800 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และมีอัตราการสร้างความเสียหายต่อสินค้าไม่เกิน 3-5%

นอกจากนี้ยังมีการเก็บหอยโดยใช้อวนลากแบบใบพัดอีกด้วย เนื่องจากหอยเชลล์จำนวนมากมักจะซ่อนตัวอยู่ในทราย เมื่อใช้ใบพัดกวนทรายพร้อมกับใช้อวนล้อมจับหอยอยู่รอบๆ ที่ก้นทะเลหอยจะพัดลอยมาพร้อมกับทราย และสุดท้ายก็จะตกไปอยู่ในอวนจับปลา

ที่น่าสนใจก็คือวิธีการจับโดยใช้แรงงานคน ซึ่งแบ่งออกเป็นสี่วิธี ซีมอนสเตอร์เองก็กำลังอธิบายวิธีการจับให้ทหารทั้งห้ากับเพื่อนใหม่ฟังอยู่เช่นกัน

เดิมทีฉินสือโอวจะขึ้นเรือออกทะเล แต่ซีมอนสเตอร์บอกว่าพวกเขามีคนไม่พอ เขาจึงอยู่ช่วยชาวประมงทั้งสองคนเก็บหอยแทน

การเก็บเกี่ยวหอยเชลล์ทั้งแบบใช้มือและแบบใช้เครื่องจักรต่างก็มีรูปแบบการใช้งานเฉพาะ ชายหาดที่ไม่มีน้ำหลังน้ำลดเหมาะสำหรับการเก็บเกี่ยวหอยเชลล์ด้วยแรงงานคน ดังนั้นซีมอนสเตอร์จึงต้องการกำลังคนจำนวนมาก

ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่น้ำทะเลมีการแปรปรวนมากที่สุด ในตอนเช้าตรู่หลังจากน้ำลดลงจากชายหาดพื้นทะเลที่เปียกแฉะเผยให้เห็นชิ้นส่วนของสาหร่ายทะเลรวมถึงสัตว์และสิ่งของชนิดอื่นๆ ที่เปล่งประกายสีเขียวใต้แสงอาทิพย์ที่ตกลงมากระทบ ซึ่งดูเขียวขจียิ่งกว่าบนบกเสียอีก

ขณะที่กำลังจ้องมองฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใต้น้ำ ซีมอนสเตอร์ก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “มีทั้งดีทั้งเสียจริงๆ มีของพวกนี้ทับอยู่ ถ้าจะเก็บหอยก็เปลืองแรงน่าดู”

หอยเชลล์อ่าวมีสองเพศในตัวเดียว พวกมันจะต้องทำภารกิจในการสืบพันธุ์ลูกหลานให้สำเร็จ ดังนั้นหอยเชลล์ที่เก็บได้ทั้งหมดจึงสามารถใช้เป็นหอยเชลล์ตัวแม่ได้ เพียงแต่ว่า หอยเชลล์เป็นสัตว์ที่มีความสามารถในการเลือกขนาดของอาหาร แต่ขาดความสามารถในการเลือกชนิดของอาหาร

อาหารหลักของพวกมันคือเศษซากอนุภาคขนาดอินทรีย์เล็กที่ลอยอยู่ในน้ำทะเล อย่างแพลงก์ตอน ไดอะตอม สาหร่ายไดฟลาเจลเลตโคพีพอดฯลฯ รวมถึงสปอร์ของสาหร่ายและแบคทีเรียเป็นต้น

เนื่องจากความสามารถในการออกเคลื่อนตัวของพวกมันไม่ดีเท่าไรนัก พวกมันจึงจะค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าใกล้สภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกับอาหารมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วสิ่งแวดล้อมแบบไหนที่มีอาหารสำหรับพวกมันอยู่มากที่สุดน่ะเหรอ? ที่นั่นก็คือฟาร์มเพาะเลี้ยงใต้ทะเลยังไงล่ะ

ดังนั้นหอยเชลล์ส่วนใหญ่จึงมักจะกระจุกตัวกันอยู่ในหรือใกล้กับสาหร่ายทะเลและพืชน้ำ ดังนั้นในการขุดหอยเชลล์จึงจำเป็นต้องผ่านสาหร่ายทะเลและพืชน้ำไปก่อน ซึ่งถือเป็นภาระงานที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

นอกจากนี้ ในบรรดาวิธีการเก็บหอยเชลล์สี่วิธี วิธีแรกและเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการเหยียบชายหาดไปเรื่อยๆ แล้วใช้ความรู้สึกของฝ่าเท้าเพื่อหาหอยเชลล์และขุดมันขึ้นมา

ด้วยวิธีนี้สาหร่ายทะเลและพืชน้ำที่ปกคลุมอยู่ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับความรู้สึกที่สัมผัสลงบนฝ่าเท้าของมนุษย์ เนื่องจากหอยเชลล์บางตัวที่ซ่อนอยู่ลึกหรือมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะสังเกตเห็นได้

โชคดีที่ชาวประมงอาวุโสที่มีทักษะและประสบการณ์ที่แข็งแกร่ง หลังจากเดินผ่านไปอย่างระมัดระวังก็สามารถสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของหอยเชลล์ แต่กับพวกนักเก็บหอยมือใหม่แล้วถือว่ายังยากอยู่มาก พวกเขาที่เดินตามชาวประมงอาวุโสต่างก็เอาแต่ทั้งเหยียบทั้งถอย นอกจากตัวที่โดดเด่นจนเห็นได้ชัดเท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถสัมผัสได้

แต่พวกพี่น้องทหารก็ถือว่าแข็งแกร่งมากเช่นกัน พวกเขาถอดรองเท้าออกแล้วเดินเปลือยเท้าไปบนชายหาด แบบนี้จะทำให้สัมผัสได้ไวยิ่งขึ้น จะได้ไม่พลาดเก็บหอยไปอย่างง่ายๆ

ฉินสือโอวเองก็ไม่สามารถสังเกตเห็นหอยเชลล์ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามที่นี่ไม่มีน้ำ จิตสำนึกของโพไซดอนจึงไม่สามารถทำงานได้ เขาจึงถอดรองเท้าของเขาออก ทว่าน้ำก็หนาวเกินทนเขาจึงสวมรองเท้ากลับทันที เขาไม่ควรจะต้องทรมานแบบนี้นี่หว่า

ซีมอนสเตอร์หัวเราะเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า การเดินผ่านทุ่งสาหร่ายใต้น้ำผืนนี้ พอไปถึงข้างหน้าก็ไม่มีน้ำกับวัชพืชน้ำแล้ว การที่พวกเราจะใช้วิธีอื่นในการเก็บหอยเชลล์นั้นง่ายมาก”

เมื่อมาถึงที่ที่ไม่มีสาหร่ายทะเลหรือซีมอนสเตอร์และคนอื่นๆ ก็นำเหล็กคีบและคราดเหล็กที่เตรียมไว้ออกมา หลังจากปักลงไปในชายหาดที่ความลึกประมาณ 20 ซม. พวกเขาก็ดึงคราดเหล็กและเอนไปด้านหลังเมื่อกระทบโดนหอยเชลล์แล้วจึงจะพลิกมันขึ้นมา

ชาวประมงกลุ่มหนึ่งร้องตะโกนพร้อมกับลากคราดเหล็กยาวเหมือนคันไถไถนา หอยเชลล์ก็กลิ้งออกมาเรื่อยๆ ฉินสือโอวถือที่คีบอันยาวไว้ในมือ เมื่อคีบลงไปก็สามารถหยิบหอยเชลล์ขึ้นมาได้แล้ว

งานนี้เป็นงานที่หนักเหนื่อยเป็นอย่างมาก กระทั่งชายที่ดุดันจนสามารถล้มต้นวิลโลว์ให้คว่ำลงได้อย่างพวกชาวประมงก็ยังเหงื่อท่วมตัว หลังจากทำงานมาระยะหนึ่งแล้วคนทั้งสองกลุ่มจึงแลกงานกันทำ

งานพวกนี้ต้องให้อีวิลสันเป็นคนจัดการ เขาคนเดียวสามารถผลัดกันทำงานกับคนอื่นได้ถึงสี่ห้าคน ผลัดไปแล้วหลายรอบ แต่เขาก็ยังไม่ได้ไปพัก กระเป๋าเสื้อของเขามีขนมตุนอยู่จนเต็ม ขณะที่กำลังลากเขาก็ยัดพวกมันเข้าปากไปด้วย

ฉินสือโอวมองอยู่พักหนึ่งแล้วจึงถามว่า “ถ้าพวกเราใช้รถเอทีวีลากล่ะ พวกนายว่าเป็นยังไงบ้าง?”

ซีมอนสเตอร์ส่ายหัวแล้วตอบเขาว่า “แบบนั้นไม่ได้หรอกครับ รถเอทีวีมีพลังไม่สม่ำเสมอ และบนชายหาดก็มีบ่อโคลนอยู่ด้วย ถ้าล้อของรถเอทีวีตกลงไปพวกเราลำบากแน่”

ชาวประมงผลัดกันลากคราด ระดับความเร็วก็ถือว่าเร็วมาก ฉินสือโอวรีบนำหอยเชลล์ไปยังโทรศัพท์มือถือของเขา เพียงไม่นานก็ได้หอยเชลล์มาเป็นกองๆ

วิธีการทั่วไปในการเก็บหอยมีอีกสองวิธี วิธีแรกคืออาศัยการตอกเสาเข็มเพื่อตอกกองไม้เป็นระยะๆ ในพื้นที่เพาะเลี้ยง หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งหอยเชลล์เหล่านี้ก็จะกระจุกตัวกัน อยู่ในระยะประมาณหนึ่งเมตรรอบๆ กองไม้ เมื่อถึงเวลาก็มาเก็บหอยที่เกาะอยู่รอบๆ เสาไป

แต่แบบนี้จะเหมาะกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำขนาดทั่วไปๆ หากพื้นที่มีขนาดใหญ่เกินไปก็จะต้องตอกเสาไม้มากเกินไป หลังจากนี้ก็จะไม่สามารถทำทอดอวนทำการประมงได้แล้ว

ทว่าที่ฟาร์มปลาไม่เคยมีการตอกเสาไม้มาก่อน ดังนั้นจึงใช้วิธีนี้ไม่ได้

ส่วนวิธีสุดท้ายก็คือการตกหอย ซึ่งเป็นวิธีการจับเพื่อความเพลิดเพลินและใช้สำหรับการจับหอยจำนวนน้อย

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท