ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1557 บำรุงซ่อมแซมหลังคา

บทที่ 1557 บำรุงซ่อมแซมหลังคา

ตอนแรกฉินสือโอวคิดว่ามีใครมา แต่บนทะเลไม่ได้มีสัญญาณเตือน บนผืนดินก็ไม่มีใครมา สุดท้ายพอได้เห็นหู่จือกับเป้าจือจ้องไปที่ชุดทำงานของพวกเขาแล้วโห่ร้อง เขาถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเจ้าตัวเล็กก็อยากจะใส่ชุดพวกนี้ด้วย

เขาอธิบายไปสักพักว่านี่น่ะเป็นชุดสำหรับเอาไว้ทำงาน หู่จือกับเป้าจื่อก็ยังคงงับไปที่ขากางเกงของเขาไม่ปล่อย ดูอย่างไรก็อยากจะใส่เสื้อกันกระสุนชุดนั้นให้ได้

ฉินสือโอวจะอกแตกตาย เสื้อกันกระสุนมีน้ำหนักมาก แถมยังไม่ระบายอากาศอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวเล็กสองตัวนี้ถึงชอบใส่ขนาดนี้ เขาไม่ใช่คนที่ชอบอวดร่างกาย ไม่รู้ว่าเจ้าสองตัวนี้ไปเลียนแบบการอวดร่างกายจากใครมา?

หมดทางเลือก ไม่ว่าจะพูดอย่างไรพวกมันก็ไม่ฟัง เขาจึงไปนำเสื้อกันกระสุนของสุนัขมาให้พวกมันใส่

หลังจากเปลี่ยนเสร็จแล้วเจ้าตัวเล็กก็ดีใจขึ้นมา จากนั้นก็เดินตามฉินสือโอวเนิบๆ ราวกับกำลังอวดเสื้อที่สีพอๆ กันอย่างนั้นแหละ

จอร์จกับวิเวียนขำหนักมาก พวกเขาหยิบมือถือออกมาแล้วไปถ่ายรูปคู่กับหู่จือและเป้าจือ แลบราดอร์ก็ให้ความร่วมมือมาก พวกมันมีความรู้สึกที่ดีกับกล้องเป็นอย่างมาก

ฉินสือโอวกวักมือ บอกเป็นนัยว่าให้ทุกคนเริ่มทำงานกันได้

จอร์จสอนให้พวกวัยรุ่นใช้น้ำอุ่นมาผสมผงซักฟอก แล้วเริ่มขัดพวกกระเบื้องตั้งแต่ทั้งสองด้านของหน้าประตูไปยังกำแพงด้านนอก

เพราะถูกลมพัดฝนตี แผ่นกระเบื้องที่เคยเป็นสีขาวหม่นในตอนนี้ถ้าไม่ได้กลายเป็นสีเหลืองอ่อนไปก็ถูกเถาวัลย์ที่เลื้อยอยู่ทำให้เป็นสีเขียวไปแล้ว คราบตะไคร่สามารถขัดออกได้ แต่ไม่สามารถขัดสีที่เปลี่ยนไปแล้วได้

บ้านพักเต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุคเก่าที่จางหายไป จอร์จพูดทอดถอนใจว่า “บ้านหลังนี้น่าจะมีอายุอย่างน้อยครึ่งศตวรรษได้แล้ว บ้านเกิดของพ่อผมก็เป็นสไตล์นี้เหมือนกัน เวลาได้ผ่านไปเร็วจริงๆ”

โครงสร้างหลักของบ้านสร้างมาจากไม้ มีบางจุดที่ไม้ได้ผุไปแล้ว ฉินสือโอวจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ หรือไม่ก็ใช้เศษขี้เลื่อยไปอุดให้เต็ม จากนั้นจึงใช้กาวปิดไว้ แล้วค่อยทาสีทับไปอีกชั้น เป็นงานที่ยุ่งยากมาก

สำหรับบ้านที่เก่าแก่แบบนี้แล้ว การบูรณะจะต้องใช้เงินไม่น้อยเลย แถมที่สำคัญคือต้องใช้เวลามาก สำหรับคนที่มีเงินแล้ว สร้างใหม่เลยน่าจะดีกว่า

ฉินสือโอวพักอยู่ที่นี่จนชินแล้ว รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ้านใหม่ก็ได้ อีกอย่างจุดที่ต้องซ่อมของบ้านพักนี้ก็เป็นเพียงขอบๆ และมุมบ้านเท่านั้น โดยรวมแล้วยังถือว่าไม่เลวอยู่ อย่างเช่นบันไดไม้ในบ้านที่ยังแข็งแรงดีอยู่ ใช้มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ตอนเหยียบลงไปก็ไม่ได้มีเสียงเอี๊ยดอ๊าด ยังคงมั่นคงราวกับก้อนหิน

ที่อยู่อาศัยของแคนาดาโดยเฉพาะบ้านพักในชนบทนั้น ส่วนมากจะใช้ไม้สร้าง ไม่เหมือนกับประเทศจีนที่ใช้ของจำพวกดินผสมและก้อนอิฐมาสร้างบ้าน ที่นี่มีไม้เยอะ ต้นทุนในการใช้ไม้สร้างบ้านจึงต่ำ

อย่างเช่นไม้ในเกาะแฟร์เวลนั้นล้วนเป็นของรัฐบาลทั้งหมด แต่หากว่ามีใครอยากจะสร้างบ้าน งั้นก็แค่ไปยื่นเรื่องขอเท่านั้น ก็สามารถซื้อไม้สำหรับพื้นที่แปลงหนึ่งมาได้ในราคาถูกแล้ว

เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าจะทำการสร้างบ้านใหม่ แต่เพราะวัสดุที่ใช้ก็ยังเป็นไม้อยู่ ทำให้ยังต้องทำการบำรุงรักษาอยู่ดี แถมค่าบำรุงก็ไม่ได้ถูกเลย ทุกปีจะต้องแบ่งเงินออกมากว่าสองเปอร์เซ็นต์จึงจะสามารถบำรุงรักษาได้

งานที่เหล่าวัยรุ่นต้องทำเป็นเพียงงานง่ายๆ ที่ไม่มีอันตราย เช่นพวกถูพื้น ขัดประตูหน้าต่างกระจก ถอนหญ้าเท่านั้น งานหลักก็ยังต้องพึ่งฉินสือโอวกับพวกชาวประมงมาทำอยู่

ชาร์คแนะนำฉินสือโอวว่า “การซ่อมแซมบ้านนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหลังคา เกาะแฟร์เวลฝนเยอะหิมะเยอะ แถมยังมีลมพายุพัดมาบ่อยๆ อีก ดังนั้นจึงสร้างความเสียหายให้กับหลังคามากที่สุด สักพักพวกเราขึ้นไปดูความเก่าบนหลังคากัน สองปีก่อนล้วนมีภัยหิมะทั้งสองปี คิดว่าคงก่อให้เกิดความเสียหายบ้างแล้วล่ะครับ”

หลังจากวางบันไดเสร็จ คนหลายคนผูกเชือกนิรภัยเสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปบนหลังคาของบ้านพักกัน

ปีแรกที่มา โกดังของฟาร์มปลาหลายที่ได้พังลงเพราะลมหิมะแล้ว ก็ได้ชาร์ค ซีมอนสเตอร์นี่แหละที่ช่วยซ่อมให้ บ้านพักยังดี เพราะใช้วัสดุที่ดี แถมยังทำการป้องกันการขึ้นสนิมไว้อย่างดีด้วย ทำให้ทนต่อลมหิมะได้ดี

ขึ้นไปมองดูหลังคา หลังคาของบ้านพักมุงขึ้นจากแผ่นไม้มาต่อเรียงกัน มีบางจุดที่แตกไปหลายชั้นแล้ว มีบางจุดที่แม้มองไปแล้วยังดีอยู่ แต่พอยื่นมือไปแตะเท่านั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เลยทันที ก็คือเก่ามากจนดูไม่ได้แล้ว

หลังคาของบ้านพักประเภทนี้ไม่สามารถให้มีปัญหาได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลให้บ้านพักเกิดความเสียหายมากขึ้นได้ อย่างเช่นหากว่าเกิดน้ำรั่วขึ้นมา งั้นก็แน่นอนว่าต้องทำให้ผนังเกิดการกร่อนแน่นอน เพราะว่าผนังของบ้านพักก็ใช้ไม้ทำเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่แค่การขึ้นราเท่านั้น สามารถถึงขั้นผุกร่อนได้เลย

และถ้าหากว่าบ้านพักไม่สามารถเก็บความอบอุ่นได้ดีแล้วล่ะก็ งั้นการเปิดเครื่องปรับอากาศในฤดูหนาวก็เท่ากับเปิดเสียเปล่าแล้ว เพราะอุณหภูมิสูงขึ้นไม่ได้ แม้ว่าจะเปิดเครื่องปรับอากาศวันละยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ไม่มีประโยชน์

ในแคนาดา บ้านที่หลังคาทำจากไม้ ประมาณทุกๆ 5 ปีจะต้องทำการซ่อมแซมครั้งหนึ่ง การซ่อมแซมแบบนี้ถือเป็นการซ่อมแซมครั้งใหญ่ มีของหลายอย่างที่จะต้องเปลี่ยนใหม่ แคนาดาพื้นที่กว้างแต่คนอาศัยน้อย นอกจากในใจกลางเมืองแล้ว ผู้คนส่วนมากมักอาศัยอยู่ในบ้านพักกันทั้งนั้น การเปลี่ยนครั้งหนึ่งจะต้องใช้สี่ห้าพันดอลลาร์แคนาดา เท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของคนธรรมดาได้หมดไปแล้ว

นอกเหนือจากนี้ ทุกๆ 25 ปียังต้องทำการเปลี่ยนหลังคาใหม่ทั้งหมดหนึ่งครั้ง การทำแบบนี้ราคาจะแพงกว่ามาก ถ้าไม่มีหลายหมื่นดอลลาร์แคนาดาก็ทำไม่ได้อย่างแน่นอน

ฉินสือโอวหารือกับพวกชาร์คว่า “มาซ่อมครั้งใหญ่กันดีไหม เปลี่ยนไปใช้เป็นกระเบื้องเคลือบที่นิยมใช้กันในปัจจุบันทั้งหมดเลย?”

ชาร์คส่ายหัวแล้วพูดว่า “อย่าเปลี่ยนเลยครับ บอส กระเบื้องเคลือบสวย แต่ว่าหนักเกินไป จะสร้างภาระใหญ่ให้กับกำแพงบ้านเอานะครับ อีกอย่างบนเกาะลมแรงหิมะก็แรง บวกกับน้ำหนักของกระเบื้องเคลือบอีก ทำให้บ้านได้รับภาระมากขึ้นไปอีก ดังนั้นใช้ไม้น่ะถือว่าดีมากแล้วครับ”

คุณปู่ฉินเป็นคนพิถีพิถัน ตอนที่ใช้ไม้มาสร้างหลังคาก็เลือกใช้เฮมล็อก

เฮมล็อกคือพืชประเภทที่สวยที่สุด และใช้งานได้หลากหลายที่สุดชนิดหนึ่งในตลาดอเมริกาเหนือ ในด้านความแข็งแรงเป็นรองแต่เพียงแค่กับต้นสนเหลืองเท่านั้น เหมาะแก่การนำมาจัดการกับปัญหาผุกร่อนได้ หลังจากนำมาเคลือบกันผุกร่อนแล้วจะทั้งสวยงามและทนทาน คุณสมบัติเทียบเท่าได้กับต้นซีดาร์แดงอเมริกาเหนือเลย

ต้นเฮมล็อกเหมาะที่จะนำมาใช้ทำเป็นหลังคามาก เพราะว่ามันมีความแข็งแรงที่สุดยอดมาก การบวมเมื่อร้อนและหดเมื่อหนาวก็น้อย แถมยังต้านการถูกแดดเผาจนดำได้ด้วย ต้องรู้ว่าวัสดุไม้แทบจะทุกชนิดเมื่อถูกแสงแดดส่องเป็นเวลานานแล้วล้วนกลายเป็นสีดำทั้งนั้น นี่เป็นความรู้ทั่วไป แต่เฮมล็อกสามารถคงสีที่ใหม่เหมือนเพิ่งตัดออกจากต้นมาได้แม้ว่าจะถูกแดดเผาเป็นเวลานาน ดังนั้นการนำมาทำเป็นหลังคาจึงสวยมาก

ไม้เฮมล็อกพวกนี้ผ่านการจัดการมาก่อนแล้ว ด้านนอกมีสีใสเคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง เป็นสีที่ผสมผสานกันของน้ำยากันผุและเพิ่มความแข็งแรง เป็นน้ำยาที่สามารถเพิ่มความประสิทธิภาพในการป้องกันการผุกร่อนได้ และยังสามารถเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวไม้ได้อีกด้วย

นี่ก็คือหนึ่งในจุดเด่นของไม้เฮมล็อก พวกมันเด่นมากในด้านการเกาะตัว สามารถรับได้กับการทาสีและสารต่างๆ ทุกรูปแบบ

บนหลังคามีหลายชั้นที่ฉินสือโอวใช้ใม้เฮมล็อกซ่อมเสร็จแล้วก็เพิ่มไม้คาร์บอนเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง

ในปัจจุบัน หลังคาของบ้านพักในเขตชนบทที่ถึงแม้จะแผ่นไม้มาทำ แต่ก็ไม่ใช่ไม้เฮมล็อกแล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้ไม้คาร์บอนแทน

ไม้คาร์บอนคือการใช้อุณหภูมิสูงทำให้ไม้อยู่ในสภาพที่เหมือนกับถ่าน ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมี และเนื่องจากความสามารถนี้ออกมาจากตัวมันเอง ทำให้ความทนทานต่อการผุกร่อนและลดแรงกระแทกดีกว่าเดิมมาก

นอกเหนือจากนี้ ไม้ที่ผ่านการทำให้เป็นคาร์บอนแล้วนั้น สีผิวภายนอกจะมีสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งดูไปแล้วเหมือนกับว่าสามารถดูดแสงอาทิตย์ได้อย่างไรอย่างนั้น สวยงามมาก

ไม้คาร์บอนมีปริมาณน้ำน้อย ไม่ดูดซับน้ำ วัสดุแข็งแรง ไม่เปลี่ยนรูป กันความร้อนได้ดี ดัดแปลงง่าย ทาสีสะดวก ไม่มีกลิ่น แถมยังสามารถกันผุกร่อน กันแมลงกิน กันการเปลี่ยนรูปจนแตกร้าวได้ ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของไม้สำหรับใช้กลางแจ้งเลย

นอกเหนือจากนี้ มันยังมีข้อดีอีกอย่างก็คือน้ำหนักเบา เพราะผ่านการทำให้เป็นคาร์บอนแล้ว ทำให้น้ำมันถูกรีดออกไปแล้วและไม่อมน้ำมัน ความหนาแน่นน้อยลงไปนิดหน่อย ทำให้การรับน้ำหนักของกำแพงและเสาของบ้านลดน้อยลงไปด้วย

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท