ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1555 ต้อนรับนักออกแบบเก่า

บทที่ 1555 ต้อนรับนักออกแบบเก่า

หลังจากกลับฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็โทรหาบัตเลอร์ บอกเขาว่าต่อไปเวลาทำการโปรโมต อย่าพุ่งเป้าไปแต่ที่ฟาร์มปลาอย่างเดียว จะต้องทำการขยายวิสัยทัศน์ออกไปหน่อย เมืองนี้มีสภาพแวดล้อมที่ดีขนาดนี้ คุณภาพอากาศก็สูงขนาดนี้ ให้เป็นส่วนหนึ่งของการโปรโมตไปด้วยสิ

บัตเลอร์อึ้งไปพักหนึ่ง “ฉันรู้ แต่ว่าปลาไม่ได้เติบโตในเมืองสักหน่อย แล้วพวกมันก็ไม่ได้สูดอากาศบนน้ำด้วย”

ฉินสือโอวพูดว่า “หัวธุรกิจ เพื่อนฝูง หัวธุรกิจน่ะ! ก่อนอื่น นายต้องเสนอก่อนว่าพวกมันอาศัยอยู่ที่ไหน แล้วก็เสนอว่าพวกมันสูดอากาศจากไหน ปั่นกระแสน่ะรู้จักไหม? อีกอย่าง ปลาโอแถบแห้งต้องพึ่งการตากแดดด้วยไม่ใช่เหรอ? ปลาตากแห้งที่ตากโดยอากาศและแสงแดดของเมืองนี้จะเหมือนกับปลาตากแห้งที่ตากโดยแสงแดดจากเมืองที่เต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมเหรอ?”

“ไหนจะยังพวกสาหร่ายคอมบุ สาหร่ายจีฉ่ายอีก ของพวกนี้ก็ล้วนเติบโตบนผิวน้ำไม่ใช่เหรอ แล้วของที่ผลิตจากในเมืองนี้จะเหมือนกันได้อย่างไร? พวกเราต้องปั่นกระแส ฉันพูดกับนายเลยนะ อากาศของเมืองเราได้มีคนมาซื้อแล้วนะ”

บัตเลอร์พูดว่า “นายพูดถูก ฉันจะทำการใส่เข้าไปในรายการโปรโมตหลังจากนี้ให้ แต่ว่าที่นายบอกว่ามีคนมาซื้ออากาศนี่คืออะไรเหรอ?”

ฉินสือโอวเล่าบทสนทนาที่เขากับหวังฉางไข่ได้คุยกันวันนี้ให้บัตเลอร์ฟัง และแน่นอนว่าได้มีการใส่สีใส่ไข่เข้าไปเล็กน้อย เพื่อเพิ่มชื่อเสียงของแคนาดาในประเทศจีนให้มากขึ้นไปหลายเท่า

บัตเลอร์หัวเราะร่าออกมา จากนั้นก็พูดว่า “นี่น่าสนุกจริงๆ เลย ตอนนี้ไม่เพียงแต่มีขายน้ำสะอาดเท่านั้น ยังมีขายอากาศที่บริสุทธิ์ด้วยเหรอเนี่ย? แต่ทว่า ชิท ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นธุรกิจที่ดีจริงๆ ก็ได้ ฉันว่านะนายหาที่ว่างบนเกาะให้ฉันสักที่หนึ่ง ฉันจำได้ว่าที่ฟาร์มปลาของนายมีที่ว่างสำหรับสร้างบ้านพักได้สิบกว่าหลังว่างอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? เหลือไว้ให้ฉันสักที่หนึ่ง ฉันจะไปสร้างบ้านพัก เอาไว้มาพักตอนแก่!”

อันนี้ง่ายเลย ฉินสือโอวไม่เอาเงินด้วย ให้เขาพาทีมก่อสร้างมาสร้างบ้านพักได้ทุกเวลาเลย

หินอ่อน หินแกรนิต อิฐกับกระเบื้อง ต้นเอฟเวอร์กรีน และดอกไม้อีกนานาชนิดล้วนถูกขนเข้าไปในฟาร์มปลา นี่คือวัสดุอุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องใช้ในการสร้างสวนดอกไม้ แถมยังเป็นส่วนเล็กๆ เพียงส่วนเดียวเท่านั้น ต่อไปยังจะมีวัสดุอีกมากมายที่จะมาส่งอีก

นักออกแบบผู้กำยำอันเดร์ก็กลับมาด้วย ฉินสือโอวไปรับเขาที่สนามบินด้วยตัวเอง ตำแหน่งของนักออกแบบท่านนี้ในวงการออกแบบสวนดอกไม้เหมือนกับคาเมรอนในวงการภาพยนตร์เลย แถมยังเป็นเพื่อนคนสนิทของเออร์บักอีกด้วย เขาไม่สามารถดูแลให้ขาดเหลือได้

เมื่อเห็นนักออกแบบอาวุโสแล้ว ฉินสือโอวอยากจะพาเขาไปที่ท่าเรือเลย แต่เขาบอกว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน ฝั่งเขามีของไม่น้อยเลย

ฉินสือโอวรออยู่สักพัก รถขนส่งของสนามบินสองคันก็ขับเข้ามา คนขับพูดอย่างมีมารยาทว่า “คุณผู้ชายครับ สัมภาระของคุณส่งถึงที่นี่ใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวตกใจแล้วถามว่า “คุณอันเดร์ ของพวกนี้คงไม่ใช่ของที่จะเอาไปใช้ในการสร้างสวนดอกไม้ทั้งหมดใช่ไหมครับ?”

เขาแอบดีใจในใจ ดีที่ไม่ได้สร้างสวนดอกไม้ในฟาร์มปลาก่อนงานแต่ง เพราะนี่ได้เหมือนกับที่เขากังวลเลย จะต้องเละเทะมากอย่างแน่นอนเลย

ตาเฒ่าหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ไม่หรอก ของพวกนี้ไม่ใช่ นี่น่ะเป็นของใช้ส่วนตัวของผมเอง เป็นของจำพวกเสื้อผ้าของผมน่ะ”

ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว การสร้างสวนดอกไม้ไม่ใช่งานที่จะเสร็จได้ในเวลาอันสั้น ตาเฒ่านี่จะต้องมาอยู่ที่เขาเป็นเวลาสักพัก เพื่อมาคุมงานก่อสร้างด้วยตัวเอง

นี่ทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก จึงรีบพูดออกไปว่า “ขอบคุณคุณมากครับ คุณอันเดร์ ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี งานสวนดอกไม้นี้ทำให้คุณต้องเหนื่อยแล้ว แถมยังต้องมาพักที่นี่เพื่อคุมงานอีก”

ตาเฒ่าปัดมือไปมาแล้วพูดพร้อมหัวเราะว่า “ไม่ๆ คุณคงจะเข้าใจผิดแล้วล่ะ ที่ผมย้ายของมาน่ะ เพราะว่าผมจะย้ายมาอยู่ที่เมืองนี้แล้ว”

ฉินสือโอวถามอย่างตกใจว่า “ย้ายมาเหรอครับ?”

ตาเฒ่าหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “ใช่ครับ ย้ายมาอยู่ที่นี่เลย แบบนี้ผมกับเจ้าเออร์บักก็จะสามารถดื่มชา เล่นหมากรุกกับล่าสัตว์ด้วยกันได้แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่ทิวทัศน์ดีมาก จะมีเหตุผลอะไรที่ผมจะไม่ย้ายมาที่นี่ครับ?”

เอาเถอะ เป็นตัวเขาที่คิดมากไปเอง ฉินสือโอวยิ้ม แต่ว่าถึงจะเป็นแบบนี้เขาก็ยังยินดีอยู่ดี หากว่าเมืองนี้ดึงดูดคนอย่างอันเดร์มาอยู่มากกว่านี้อีกหน่อยแล้วล่ะก็ ชื่อเสียงและคุณภาพของคนในเมืองจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ดีที่เขาขับเรือมาเอง จึงจ้างรถกระบะคันหนึ่งเพื่อส่งของจำพวกกระเป๋าเดินทางไปที่ท่าเรือแล้วเอาขึ้นเรือ แล้วก็พาตาลุงไปที่ฟาร์มปลา

คืนนี้ต้องเลี้ยงต้อนรับคุณลุง ฉินสือโอวออกเรือเพื่อไปตกปลาไส้ตันฟลอริดาโดยเฉพาะเลย

สำหรับเรื่องที่ฟาร์มปลามักจะมีปลาและของแปลกๆ โผล่ออกมาให้เห็นเสมอนั้น เหล่าชาวประมงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรแล้ว พวกเกิงจุนเจี๋ยไม่รู้จักปลาชนิดนี้ เมื่อเห็นฉินสือโอวยื่นให้กับชาร์คอย่างระมัดระวังแล้ว จึงถามว่า “ปลานี่มีค่ามากเหรอครับ?”

หลังจากรับพลังโพไซดอนไปแล้ว ปลาไส้ตันฟลอริดาก็ยิ่งอยู่ยิ่งอ้วนขึ้นทุกวัน ไม่ใช่ปลาที่ผอมกะหร่อง และมีขนาดตัวแค่สามสิบถึงสี่สิบเซนติเมตรในบรรดาฝูงปลาอีกต่อไปแล้ว แต่ว่าปลาชนิดนี้น้ำหนักเบา หนึ่งตัวมีน้ำหนักแค่หนึ่งชั่งนิดๆ เท่านั้น

ชาร์คยกปลาขึ้นมาแล้วพูดว่า “มีค่า? ฮ่า ถ้าเอาปลาพวกนี้ไปวางในตลาดแล้วล่ะก็ แม้ว่าไม่ได้อยู่ในอาหารทะเลแบรนด์ตาฉิน ก็สามารถขายได้หลักหมื่นเหรียญแคนาดาเลย! ถ้านำไปขายภายใต้อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินแล้วล่ะก็ ขายในราคาแสนเหรียญก็สามารถขายได้นะ!”

พวกของเกิงจุนเจี๋ยพากันตกใจเฮือกใหญ่ พากันถามไม่หยุดว่านี่คือปลาอะไร ราคาแพงกว่าปลิงทะเลกับเป๋าฮื้ออีก

ชาร์คบอกว่า “นี่คือปลาไส้ตันฟลอริดา เป็นปลาที่มีค่าและมีน้อยมากชนิดหนึ่ง เนื้อปลาเนียนละเอียดมาก แต่ว่าราคาที่สูงนี้เป็นราคาที่ถูกปั่นออกมานะ ปลิงทะเลกับเป๋าฮื้อในตอนนี้ราคาถูกแล้วนะ ปีที่แล้วเป๋าฮื้อก็ถึงขั้นขายไม่ออกด้วยไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา ปลิงทะเลกับเป๋าฮื้อถูกเหรอ? นั่นน่ะเป็นแบบพันธุ์ทั่วๆ ไปแหละ รอจนหอยเป๋าฮื้อพันธุ์บริติชลายสลับสีของเขามั่นคงแล้วส่งออกไปขายก่อนเถอะ พวกชาวประมงจะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเป๋าฮื้อราคาสวรรค์

อันเดร์เป็นนักจัดสวนดอกไม้ระดับสูง มีประสบการณ์มากมาย เขาเคยกินปลาไส้ตันฟลอริดามาหลายครั้งแล้ว แต่ว่าปลาไส้ตันที่อ้วนและนุ่มขนาดนี้เขาเพิ่งเคยกินเป็นครั้งแรก

การทำกับข้าวของคนแคนาดาชอบใช้การทอดเจียวและย่าง ปลาไส้ตันฟลอริดาเหมาะกับการนำไปนึ่ง การทำแบบนี้จึงจะสามารถเผยคุณภาพเนื้อที่ทั้งเนียนนุ่มและอวบอิ่มของเนื้อปลาได้ ตอนที่ฉินสือโอวนำไปนึ่งนั้นได้ใช้ผักจากแปลงผักสวนครัวมารองไว้ใต้ปลา ทำให้สามารถเผยถึงเนื้อที่ขาวดุจหิมะของปลาไส้ตันฟลอริดาได้ดียิ่งขึ้น

พอดีกับที่เบียร์ที่หมักไว้ก็ถึงเวลาดื่มได้แล้ว แต่ว่าเพราะใช้ตู้แช่ฟรีชไว้ เลยทำให้อุณหภูมิต่ำไปหน่อยเท่านั้น

แต่ว่าสำหรับคนแคนาดาแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย คนแคนาดาเหมือนกับคนอเมริกัน ไม่มีความเคยชินในการดื่มน้ำอุ่นหรือซุปร้อนๆ แม้จะเป็นฤดูหนาว พวกเขาก็ดื่มน้ำเย็น ส่วนเบียร์ยิ่งแล้วใหญ่ที่ต้องดื่มแบบเย็นๆ ทั้งสี่ฤดูเลย

อันเดร์เหมือนกับเพื่อนชาวรัสเซียของเขา ชอบดื่มเหล้า ปกติไม่ค่อยดื่มเบียร์ แต่เบียร์ที่ฉินสือโอวหมักนั้นเขาสามารถดื่มได้นิดหน่อย เพราะว่าเบียร์ที่หมักกันเองในครอบครัวนั้นจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ที่ค่อนข้างสูง

เบียร์ได้ถูกแบ่งบรรจุลงในขวด และเหมือนกับปูว์เรที่ทั้งเหนียวข้นและหอม เพียงเปิดฝาขวดเบียร์ออกเท่านั้น ก็มีฟองล้นทะลักออกมา ทำให้กลิ่นของจมูกข้าวที่หมักแล้วยิ่งหอมเตะจมูกกว่าเดิม

หลังจากอันเดร์รับมาแล้วก็ดื่มไปก่อนอึกหนึ่ง ดื่มไปเพียงอึกเดียวเบียร์ก็หายไปครึ่งหนึ่ง เขาพูดว่า “อื้ม รสชาติไม่เลว ดีกว่าน้ำเยอะเลย ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่ะ เบียร์นี่สุดยอดมาก เสียอย่างเดียวคือไม่แรงพอ”

พ่อของฉินสือโอวพูดว่า “คุณชอบดื่มเหล้าเหรอครับ? งั้นพอดีเลย ตอนฤดูใบไม้ร่วงเราได้รับข้าวฟ่างมาจำนวนหนึ่ง ที่บ้านเกิดของเรามีวิธีหมักเหล้าข้าวฟ่างที่ดีอยู่วิธีหนึ่ง เดี๋ยวจะหมักเหล้าข้าวฟ่างให้คุณลองชิมดูนะครับ”

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท