ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1552 พวกเราจะกลับแล้ว

บทที่ 1552 พวกเราจะกลับแล้ว

หลังจากฝนผ่านไปแล้ว ฤดูใบไม้ผลิก็ได้มาถึงอย่างเป็นทางการ ฤดูใบไม้ผลิอากาศอบอุ่นดอกไม้บาน แม้ดอกไม้จะยังไม่ผลิบานแต่ก็เริ่มแตกหน่อแล้ว ที่เกาะแฟร์เวลความอึมครึมและขาวโพลนของฤดูหนาว ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมา

หลังจากฝนหยุดแล้ว หู่จือกับเป้าจือก็เริ่มกลิ้งตัวอยู่ในสนามหญ้ากัน หลังจากเนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลนแล้วก็กลับมาหยอกล้อกับพวกหลัวปอและซิมบ้า แลบราดอร์ชอบเรื่องจำพวกนี้มาก พวกมันมีความชอบกับน้ำโคลนที่สกปรกเป็นพิเศษ

ส่วนหลัวปอกับราชาซิมบ้านั้นจะชอบความสะอาดมากกว่า หมาป่ากับแมวป่าล้วนเป็นสัตว์ที่เย่อหยิ่ง ไม่งี่เง่าเหมือนกับแลบราดอร์ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามสัตว์จอมทำลายแล้ว หู่จือกับเป้าจือยังดี ไม่เคยไปกัดอะไร แต่แน่นอนว่านี่เกี่ยวข้องกับที่ฟาร์มปลามีพื้นที่เพียงพอให้พวกมันวิ่งเล่นด้วย

ตอนแรกพวกเจ้าตัวเล็กไม่ได้หลบหลีก แต่พอบนตัวเต็มไปด้วยน้ำโคลนแล้วพวกมันก็โกรธขึ้นมา จึงไปร่วมมือกับปัวหลัวเพื่อมาจัดการหู่จือกับเป้าจือ

แต่นี่กลับตรงใจหู่จือกับเป้าจืออย่างมาก แลบราดอร์เล่นได้สนุกกว่าเดิม สุดท้ายทำให้พรมปูพื้นในบ้านถูกสาดไปด้วยน้ำโคลนด้วย

ในตอนนี้พี่น้องเฟอเรทจึงรีบซ่อนตัวกัน พวกมันไม่ชอบเล่น แต่ทุกครั้งที่เล่นจนบาดเจ็บกลับเป็นพวกมัน

พอฉินสือโอวกลับมาเห็นภาพนี้แล้วก็ปวดหัวทันที ถ้าวินนี่เลิกงานกลับมาแล้วเห็นเจ้าพวกนี้เนื้อตัวสกปรกขนาดนี้แล้วจะต้องมาว่าเขาแน่ เขาจึงเรียกเจ้าตัวเล็กมา แล้วพาพวกมันไปอาบน้ำ

พี่น้องเฟอเรทตามมา เมื่อถึงบ่อน้ำร้อนแล้วพวกมันก็ไปแอบอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวังเพื่อดื่มด่ำกับแผ่นหินร้อนๆ นั้น

หู่จือกับเป้าจือได้เริ่มก่อกวนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตัวไหน ที่ปัดอุ้งเท้าออกไป ทำเอาพี่น้องเฟอเรทที่อยู่ข้างๆ บ่อน้ำร้อนร้องเสียงหลงไปทีหนึ่งแล้วก็ร่อนเข้าไปในสระบ่อน้ำร้อนทันที…

“บุ๋งๆๆ…” ฟองอากาศผุดออกมา เฟอเรทแบลคฟุตได้จมลงไปทั้งอย่างนั้น

ฉินสือโอวตั้งตัวได้ไว แต่ว่าเขาไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ที่นี่ไม่มีคนอื่น เขาแค่ใช้พลังโพไซดอนสร้างคลื่นแล้วม้วนเฟอเรททั้งสองตัวขึ้นมาก็ได้แล้ว

พี่น้องเฟอเรทยังไม่หายตกใจ พวกมันนิ่งไปสักพัก หลังจากได้สติแล้วก็รีบวิ่งไปทางต้นไม้ปลอมทันที พื้นดินนี้ช่างอันตรายจริงๆ

พออาบน้ำให้เจ้าตัวเล็กพวกนี้แล้ว ฉินสือโอวกลัวว่าพวกมันจะหยอกล้อกันอีก จึงพาพวกมันไปตรวจตราฟาร์มปลา ถือว่าเป็นการหางานให้พวกมันทำด้วย

เขาเดินไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของฟาร์มปลา หลังจากผ่านฟาร์มเพาะเลี้ยงแล้วก็เข้าไปในป่า แม้ว่าตอนนี้ต้นไม้จะยังไม่ผลิใบสีเขียวออกมา แต่ก็แตกหน่อแล้ว อีกอย่างแม้ว่าบนกิ่งไม้จะไม่มีใบไม้ แต่ก็ไม่ได้ดูแห้งแล้งเหมือนกับในฤดูหนาว แต่กลับเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มแทน

หยดฝนที่ค้างอยู่ได้ไหลลงมา หลังจากไหลมารวมกันแล้วก็หยดติ๋งๆ ลงบนพื้น หลังจากเดินอยู่ในป่าสักพักแล้ว กวางหางขาวสองตัวก็วิ่งตามกันออกมา

พอหู่จือกับเป้าจือเห็นแล้วก็รีบตั้งหูขึ้นมา ขยับขาแล้วก็วิ่งไปไล่ทันที แต่กวางหางขาวตอบสนองเร็วกว่า หลังจากพวกมันเห็นกลุ่มของฉินสือโอวแล้วก็หันหลังวิ่งทันที แถมยังวิ่งแยกกันอีกด้วย

ฉินสือโอวตะโกนร้องไปทีหนึ่ง เพื่อเรียกให้หู่จือกับเป้าจือหยุด เขาไม่ได้มาเพื่อล่าสัตว์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปทำร้ายเจ้าตัวเล็กพวกนี้

หลังจากถูกฝนฤดูใบไม้ผลิชะล้างแล้ว ต้นสนที่เขียวขจีตลอดปีจึงดูสะอาดกว่าเดิมมาก สีเขียวที่ไม่มีฝุ่นเกาะเลยแบบนั้น ที่อื่นหาดูได้ยากมาก ฉินสือโอวถ่ายรูปแล้วโพสต์ลงไปในไทม์ไลน์ ก็มีคนมาคอมเมนต์ทันที

“นี่คือต้นสนพลาสติกเหรอ? เขียวจริงๆ เลย” เฉินเหลยมากดไลก์ให้ก่อน

“โง่จริง เห็นได้ชัดว่าเจ้าฉินเล่นเกม PS ต่างหาก นึกไม่ถึงจริงๆ นึกไม่ถึงเลย เจ้าฉินตาโตคิ้วดกคนนี้ก็ไปเล่น PS ในทะเลด้วย” เหยียนตงมาร่วมประชดด้วย

จากนั้นก็มีเพื่อนสมัยเรียนอีกหลายคนที่มาร่วมหยอกล้อด้วย ฉินสือโอวเพิ่งนึกออกว่าเพื่อนร่วมชาติของตัวเองทางนั้นกำลังเริ่มใช้ชีวิตยามราตรีกันอยู่ จึงล้วนพากันด้อมๆ มองๆ อยู่ในเน็ตกันหมด

เดินไปข้างหน้าอีกนิดหนึ่ง ก็คือบึงและน้ำตกแล้ว เพราะว่าฝนเพิ่งตกไป น้ำตกจึงมีน้ำเยอะขึ้นมาก สายน้ำใสสะอาดแขวนไว้อยู่บนหน้าผา ส่งเสียงออกมาในความเงียบ ป่าไม้ราวกับได้เปลี่ยนไปเป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่สวยงามภาพหนึ่ง

ที่นี่เป็นที่ที่ฉินสือโอวพบกับฉงต้าครั้งแรก เขากวักมือเรียกให้ฉงต้าเข้ามาร่วมระลึกความหลังกับเขา ถามว่า “ที่นี่ นายจำอะไรได้บ้างไหม?”

ฉงต้าเบิกตาโตมองไปที่น้ำตกและบึงน้ำ จากนั้นก็ส่ายก้นอ้วนๆ เดินไป ฉินสือโอวนึกว่ามันกำลังคิดถึงเรื่องราวบางอย่างในวัยเด็กของมัน

แต่สุดท้ายหลังจากที่ฉงต้าเดินไปที่ข้างบึงน้ำแล้ว ก็ใช้อุ้งมือตบไปในน้ำอย่างแรง แรงจนปลาสเมลท์หลายตัวในน้ำสลบไปเลย จากนั้นก็ล้วงออกมาแล้วกินขึ้นมาอย่างเอร็ดอร่อย

ฉินสือโอวเดินเตร็ดเตร่ต่ออีกสักพัก เสียงของแบล็คไนฟ์ก็ดังผ่านวิทยุสื่อสารออกมาว่า “บอส มีเรือลำหนึ่งขับเข้ามาในฟาร์มปลาครับ เป็นเรือบรรทุกลำหนึ่ง”

เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวนึกถึงโทรศัพท์ที่นักออกแบบเก่าอันเดร์โทรมาหาเขา บอกว่าก้อนหินและต้นไม้ดอกไม้ทั้งหมดที่จะเอาไปสร้างสวนดอกไม้ได้เริ่มส่งมาแล้ว ดูท่าแล้วเรือลำนี้ก็คือเรือที่มาส่งของพวกนี้นั่นแหละ

ฉินสือโอวโทรศัพท์หาวิล พูดว่า “เพื่อน งานใหญ่ ฟาร์มปลาของผมได้เริ่มสร้างสวนดอกไม้แล้ว รีบพาคนมาช่วยผมเก็บกวาดที”

วิลบอกว่า “ไม่มีปัญหาครับ รอดูผมได้เลย พระเจ้ารู้ว่าผมเก่งงานด้านนี้แค่ไหน แต่ว่า คุณต้องรออีกสองวันนะครับ ทีมของผมกำลังช่วยกันสร้างท่าเรือให้คุณที่อ่าวโกลเดนกันอยู่ครับ”

ท่าเรือของฟาร์มปลาต้าฉินที่สองทั้งเล็กแล้วก็พังมาก ต่อไปคงไม่สามารถใช้งานได้แน่ ฉินสือโอวจึงให้วิลไปซ่อมท่าเรือแต่เนิ่นๆ

คิดๆ แล้ว ช่วงนี้เขาต้องใช้จ่ายเงินเยอะเลย แม้จะบอกว่าฟาร์มปลาที่สองทำการซ่อมแซมอยู่ แต่ความจริงแล้วก็คือการบูรณะนั่นเอง แถมยังต้องจ่ายภาษีสำหรับไตรมาสแรก ซื้ออุปกรณ์สำหรับสวนดอกไม้ เป็นต้น เงินออกราวกับสายน้ำไหลเลย

รวมกับรายได้ของฟาร์มปลาแล้ว บนตัวของฉินสือโอวมีเงินที่สามารถใช้ได้ไม่ถึงสี่สิบล้านเหรียญ เขาได้เริ่มคืนเงินที่กู้ธนาคารไปแล้ว หลังจากซื้อฟาร์มปลาดาราแล้วเขามีเงินสดเหลืออยู่ร้อยล้านเหรียญ จึงได้คืนไปก่อนหนึ่งร้อยล้าน ยังเหลือหนี้อยู่อีกหกร้อยล้าน

ความหมายของแบรนดอนคือเขาไม่ต้องรีบคืนเงินก็ได้ จ่ายแค่ค่าดอกเบี้ยก็พอแล้ว เงินของธนาคารไม่ใช้ก็เสียเปล่า วิธีหาเงินที่ดีที่สุดก็คือการไปกู้เงินกับธนาคารเพื่อเอาไปลงทุนกับธุรกิจที่ได้กำไรสูง ส่วนบริษัทบอมบาร์เดียร์ก็คือโปรแกรมการลงทุนที่ไม่เลวเลย

เริ่มตั้งแต่ช่วงบ่าย เรือบรรทุกระดับสองพันตันก็เริ่มเทียบท่าที่ท่าเรือ มีคนมาหาฉินสือโอวให้เซ็นรับของ ส่วนคนงานก็พากันขนอุปกรณ์ที่ต้องใช้สร้างสวนดอกไม้กันลงมาอย่างไม่ขาดสาย

แบบนี้ก็เท่ากับว่างานของฉินสือโอวมาแล้ว เขาจำเป็นต้องตรวจเช็กสินค้าทุกชิ้น ของมีเยอะเกินไป ไม่มีทางเลือกเขาจึงทำได้แต่ต้องเรียกให้ชาร์คกับเบิร์ดพาพวกชาวประมงมาทำงานนี้แทน ดีที่ว่ามันเป็นงานที่ปริมาณมากเท่านั้น ไม่ใช่งานยากอะไร

ตอนกำลังยุ่งอยู่นั้น ผู้กำกับคาเมรอนก็โทรศัพท์มา ถามเขาว่ามีเวลาว่างไหม

ฉินสือโอวถามเขาว่ามีเรื่องอะไร ผู้กำกับใหญ่บอกว่าการถ่ายทำหนังในเมืองของพวกเขาเสร็จสิ้นแล้ว พวกนักแสดงได้กลับไปที่อเมริกาแล้ว ส่วนทีมถ่ายทำถ้าทำการเก็บกวาดสถานที่เสร็จ ก็จะกลับไปด้วยเช่นกัน

นี่ทำให้ฉินสือโอวแปลกใจอย่างมาก จึงขับรถไปในเมือง แล้วเจอกับคาเมรอนที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง

การถ่ายทำภาพยนตร์ไม่ใช่งานที่ดีมากนัก แม้ว่าตอนที่อยู่หน้ากล้อง ภาพลักษณ์ของคาเมรอนคือผู้นำที่ความสามารถเพียบพร้อม ทำงานเต็มที่ แต่ในช่วงที่ถ่ายทำภาพยนตร์นั้น ผู้กำกับใหญ่สวมเพียงเสื้อกันหนาวผ้าคอตตอน หมวกแก๊ปขนสัตว์ หนวดเครายุ่งเหยิง ไม่มีภาพของเทพบุตรหลงเหลืออยู่เลย

เป็นธรรมดา อย่างไรเสียนี่ก็คือต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่ แม้ว่าอากาศจะเริ่มอบอุ่นแล้ว แต่สำหรับผู้กำกับคาเมรอนที่ต้องนั่งอยู่หลังกล้องทั้งวันแล้ว มีโอกาสขยับตัวน้อยมาก จะไม่หนาวได้อย่างไร? เขาสวมเสื้อกันหนาวคอตตอนกับหมวกแก๊ปมีขนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ฉินสือโอวเคยเห็นเขาห่มผ้าห่มแล้วทำงานไปด้วย

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท