ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1563 วิธีการ

บทที่ 1563 วิธีการ

ฉินสือโอวไม่สนใจหรอกว่าในน้ำมีปลาเท่าไร ฟาร์มปลาต้าฉินในตอนแรกมีปลาน้อยกว่านี้อีก แถมนั่นยังเป็นถึงแผ่นดินทองของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์อีกต่างหาก แต่เขาก็ได้สร้างจนกลายเป็นฟาร์มปลาระดับต้นๆ แล้วไม่ใช่เหรอไง? ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ในแต่ละวันมีถึงหลักพันตันแหนะ

เขาไม่สนใจด้วยว่าคุณภาพน้ำจะเป็นอย่างไร ปลูกพืชน้ำลงไปแค่ล็อตเดียว ไม่ว่าคุณภาพน้ำจะเป็นอย่างไรก็สามารถทำให้ดีขึ้นได้อยู่แล้ว

แต่ว่าขยะใต้อ่างเก็บน้ำนั้นเป็นปัญหาจริงๆ!

ขยะอยู่ใต้น้ำมากมายขนาดนั้น แถมของที่ทำมาจากกระจกยังมีมากอีกด้วย ถ้าไม่จัดการเสียหน่อย ต่อไปหากปล่อยแหไปใต้น้ำแล้วล่ะก็จะถูกทำให้ขาดได้ง่าย

หลังจากคิดคำนวณในใจสักพักแล้ว สุดท้ายฉินสือโอวก็ส่ายหัว ถามว่า “พี่ครับ ยังมีอ่างเก็บน้ำที่ดีกว่านี้ไหมครับ?”

พี่ของฉินสือโอวพูดอย่างลำบากใจว่า “อ่างเก็บน้ำน่ะมี แต่ที่ดีกว่านี้น่ะไม่มีแล้ว อ่างเก็บน้ำพวกนั้นมีพื้นที่เล็กเกินไป แค่ไม่กี่ร้อยหมู่เท่านั้น แถมยังอยู่ใกล้หมู่บ้านอีก คนในหมู่บ้านพากันไปเทขยะในนั้น แล้วก็มีคนมาขโมยปลาตอนกลางคืนด้วย ถ้าเทียบกันแล้วก็เทียบที่นี่ไม่ได้เลย”

ฉินเผิงถามแทรกมาว่า “ที่นี่เป็นอะไร ตรงไหนที่นายว่าไม่ดี? บอกมาสิ เดี๋ยวฉันช่วยนายวิเคราะห์เอง”

ฉินสือโอวหัวเราะบอกไม่เป็นไรแล้วพูดว่า “ฉันแค่อยากดูหลายๆ ที่เอาไว้เปรียบเทียบกัน จะให้ดูแค่ที่เดียวแล้วตัดสินใจเลยก็ไม่ได้หรือเปล่า?”

พี่สาวของฉินสือโอวพยักหน้าว่า “ถ้าเปรียบเทียบน่ะไม่มีปัญหา งั้นไปดูหน่อยก็แล้วกัน”

กลุ่มของเขากำลังเดินลงจากอ่างเก็บน้ำเท่านั้น ก็มีชายวัยกลางคนที่น่าจะพุงโตเพราะเบียร์หนีบกระเป๋าเอกสารไว้แล้วเดินมาหาอย่างร้อนรน ทั้งสองฝ่ายเห็นหน้ากันแล้ว ชายคนนั้นก็รีบโบกมืออย่างกระตือรือร้นแล้วพูดว่า “น้องสาว มาตอนไหนเนี่ย? ฉันได้ยินเสี่ยวซุนที่อยู่สำนักงานในเมืองบอกว่าเห็นรถของเธอมา จึงรู้ว่าเธอมาที่นี่ พี่ชายดูแลไม่ทั่วถึงเสียแล้ว”

พี่สาวฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “หัวหน้าซุนเกรงใจเกินไปแล้ว ดูแลไม่ทั่วถึงที่ไหนกันคะ? เป็นคุณต่างหากที่ต้อนรับขับสู้อย่างดี ทำเอาฉันเกรงใจเลย”

หัวหน้าซุนท้องโตปัดมือรัวๆ จากนั้นก็มองไปที่ฉินสือโอว แล้วถามว่า “คนนี้คือ?”

เพราะดูออกว่าน้องชายไม่ชอบอ่างเก็บน้ำนี้ พี่สาวของฉินสือโอวจึงไม่คิดจะแนะนำฉินสือโอวให้หัวหน้าซุนรู้จัก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายถามมาแล้ว เธอจึงไม่อยากปิดบังต่อ จึงแนะนำว่า “นี่คือน้องชายฉันเอง ชื่อฉินสือโอว เสี่ยวโอว นี่คือหัวหน้าซุนที่เป็นคนดูแลระบบน้ำของเกษตรและปศุสัตว์ของเมืองเสียวหย่งจวง”

เธอยังพูดไม่จบ หัวหน้าซุนก็ตบมือออกมาอย่างแรง พูดว่า “ไอ้หยา ฉันก็ว่าสิ ดูแล้วหน้าคุ้นๆ ดูแล้วหน้าคุ้นๆ น่ะ! นี่คือเสี่ยวโอว? ดูสิตอนนี้กลายเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว ฉันแทบไม่กล้าทักเลย”

ระหว่างพูดอยู่ เขาก็ดึงมือฉินสือโอวมาอย่างกระตือรือร้น แล้วเริ่มพูดถึงความหลังของเขาสองคน

หัวหน้าซุนคือคนพื้นที่ของหมู่บ้านเสียวหย่งจวง เริ่มจากการเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน จากนั้นก็ถูกย้ายไปรับผิดชอบงานด้านระบบน้ำของการเกษตรในหมู่บ้าน บางทีฉินสือโอวอาจจะเคยรู้จักมาก่อนจริงๆ เพราะทั้งสองเมืองอยู่ติดกัน ขับรถแค่สิบกว่านาทีเท่านั้น ตอนเด็กเขามักจะมาเล่นที่อ่างเก็บน้ำประจำ หากเคยเห็นกันมาก่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

สำหรับคนอย่างฉินสือโอว หมู่บ้านรอบๆ ล้วนรู้จักเขา ถึงแม้จะไม่รู้จักก็ต้องเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง รู้ว่าในหมู่บ้านเล็กๆ ของพวกเขานี้มีคนหนุ่มที่เก่งมากคนหนึ่ง โอนสัญชาติไปแคนาดา แล้วก็ไปเป็นเศรษฐีที่แคนาดาอะไรเทือกนี้

เมื่อสานสัมพันธ์กันแล้ว หัวหน้าซุนก็ทำเป็นพูดเข้าเรื่องอย่างแนบเนียน โดยการพูดถึงเรื่องสัมปทานอ่างเก็บน้ำขึ้นมา พี่สาวของฉินสือโอวเคยไปถามเรื่องนี้กับเขามาก่อนแล้ว อ่างเก็บน้ำที่ใหญ่ขนาดนี้ ค่าสัมปทานไม่น้อยเลย สำหรับเมืองเล็กในชนบทที่ไม่มีอุตสาหกรรมอะไรแล้วถือว่าเป็นรายรับที่สำคัญมากเลย ดังนั้นหัวหน้าซุนคนนี้ถึงได้ตามเรื่องได้จริงจังแบบนี้

ฉินสือโอวหลายปีมานี้ ไม่ได้เรียนรู้อะไรมาก แต่การพูดหลบหลีกกับนอกประเด็นนั้นคือเรียกได้ว่าชำนาญเป็นอย่างมาก เขาถามหัวหน้าซุนเรื่องเงินสัมปทานอ่างเก็บน้ำ ปีละหนึ่งล้าน แพงเกินไป เขาไม่ได้พูดออกมาทันที บอกเพียงว่าวันนี้แค่มาดูลาดเลาเท่านั้น กลับไปจะไปหารือกับเพื่อนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ

หัวหน้าซุนพูดต่ออีกมากมาย ฉินสือโอวก็ทำเป็นฟังไม่เข้าใจ ทำให้สามารถหลุดจากเขาได้ในที่สุด แล้วก็ไปไล่ดูอ่างเก็บน้ำที่อื่นต่อ

เวลาหนึ่งวัน แทบจะหมดไปกับอ่างเก็บน้ำ ทั้งหมดดูไปหกที่ เป็นจริงอย่างที่พี่ของฉินสือโอวบอก อ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวงเหมาะสมที่สุด

อ่างเก็บน้ำอันอื่นมีปลาอยู่ มีสองที่ที่จำนวนไม่น้อยด้วย แต่ว่าฉินสือโอวไม่ได้สนใจปริมาณผลิตภัณฑ์น้ำ อย่างไรเสียต่อไปก็ต้องทำการเลี้ยงใหม่อยู่แล้ว

ฟาร์มปลาพวกนี้ไม่เพียงแต่พื้นที่น้อยเท่านั้น แถมใต้น้ำยังมีขยะอีก จุดนี้เหมือนกับอ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวง

เหมือนกัน หรือจะบอกว่ามากกว่าก็ได้ ตอนที่ไปดูอ่างเก็บน้ำที่อยู่รอบๆ หมู่บ้าน ฉินสือโอวเห็นรถสามล้อขับผ่านมาหลายคัน แล้วเอาขยะหลากหลายประเภทเทลงไปในอ่างเก็บน้ำ

เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางนิดหน่อย วิธีการจัดการขยะของหมู่บ้านชนบทนั้นต่ำทรามมากไปแล้ว แต่ก็นะ ขยะมากขนาดนี้ จะขุดหลุมเพื่อกำจัดก็ไม่ได้ ใครจะรู้ว่าเมื่อไรแบคทีเรียในดินจะสลายได้หมด?

การเทขยะง่ายกว่ามาก เทลงไปในน้ำ ไม่มีใครรู้ใครเห็น เป็นวิธีที่ดีแค่ไหน?

พี่สาวฉินสือโอวถามความเห็นฉินสือโอว เขาบอกว่า “เป็นอ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวงละกัน พี่ไปคุยราคาเลย ไปคุยที่ราคาสามสี่แสนนั่นแหละ ถ้าคุยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเอง พี่แค่คุยราคาต่ำๆ ไว้ก่อนก็พอแล้ว”

หลังจากกลับไปแล้ว เขาก็โทรไปหาต้วนเหล่ยที่เป็นหุ้นส่วนทำโรงแรมอาหารทะเล ให้เขาช่วยซื้อชุดดำน้ำมาชุดหนึ่ง ของนี้จัดการได้ง่าย โรงแรมอาหารทะเลของพวกเขาไม่เพียงแต่ใช้การขนส่งอากาศในการส่งของจากต้าฉินซีฟู้ดกับบ่อปลาไป๋หลงเจียงเท่านั้น ยังมีการกว้านซื้อผลิตภัณฑ์ทะเลจากอ่างเก็บน้ำ เมืองไหเต่าและเมืองอื่นๆ ที่อยู่ติดทะเลอีกด้วย จะต้องสามารถหาชุดดำน้ำได้อย่างแน่นอน

เมื่อได้ยินว่าฉินสือโอวกลับมาแล้ว ต้วนเหล่ยดีใจมาก บอกว่าเรื่องนี้ไว้ใจเขาได้ แล้วก็เชิญให้เขาถ้ามีเวลาว่างให้เข้าไปดูในโรงแรมก็ได้

หลังโทรศัพท์เสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในอ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวง จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดสายได้ค่อยๆ ทำการสร้างคลื่นน้ำใต้ทะเลขึ้นมา เพื่อเอาพวกขยะและของเสียที่ซ่อนอยู่ใต้โคลนออกมา

สองวันต่อไป ชุดดำน้ำส่งมาถึง ฉินสือโอวถามพี่สาวว่าไปคุยเรื่องราคาได้เรื่องอย่างไรบ้าง พี่สาวฉินสือโอวบอกคุยได้ที่เก้าแสน ลงอีกไม่ได้แล้ว

เท่านี้ก็ถึงตาฉินสือโอวออกโรงแล้ว เขาตรงไปที่อ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวง แต่พอไปถึงเขื่อนแล้วกลับพบกับหัวหน้าซุนที่หน้าบูดเบี้ยวอยู่

เหมือนหัวหน้าซุนจะไม่สังเกตเห็นเขา ได้แต่นั่งยองๆ แล้วมองเหม่อไปที่ผิวน้ำที่ดำสนิท ข้างๆ เขามีคนหลายคนมารวมตัวซุบซิบกัน ซึ่งน่าจะเป็นลูกน้องเขา

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้พลุ่งพล่านอยู่ใต้ทะเลอยู่สองวัน ทำให้อ่างเก็บน้ำไม่ได้ใสสะอาดเหมือนสองวันแรกแล้ว ถุงขยะพลาสติกบางส่วนได้ลอยขึ้นมาบนน้ำ ชายฝั่งก็มีเศษแก้วและขยะจากการก่อสร้างวางไว้ แถมยังมีกลิ่นสาบจางๆ ปกคลุมอยู่บนผิวน้ำอีกต่างหาก

ฉินสือโอวยิ้มในใจ พูดว่า “เอ๋ อ่างเก็บน้ำนี่ทำไมสกปรกขนาดนี้ครับ?”

หัวหน้าซุนไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของพวกเขา จึงเริ่มถอนหายใจแล้วพูดอย่างไร้สติว่า “ให้ตายเถอะ สองวันมานี้ใครมาเทขยะพวกนี้ในน้ำเนี่ย? ไม่เห็นมีใครไปยื่นเรื่องในเมืองเลยนี่นา…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล พอหันหลังไปเห็นฉินสือโอวและพี่สาวเท่านั้น ก็รีบกระโดดขึ้นมา แล้วยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร พูดว่า “อั้ยยะ เสี่ยวฉินกับเสี่ยวโอวนี่นา? เมื่อกี้ฉันพูดไปเรื่อยน่ะ ฮ่าๆๆ ความจริงฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอ่างเก็บน้ำ”

“เกิดอะไรขึ้นครับ?” ฉินสือโอวถามด้วยเสียงหยอกล้อ

หัวหน้าซุนพูดอย่างโกรธเคืองว่า “จะต้องเป็นพวกเด็กเหลือขอของเมืองเซี่ยเหอแน่ที่มาแกล้งเรา เขาคงมาเทขยะกันตอนกลางคืน! เจ้าพวกเลวพวกนี้ พวกเขาทำเพราะอยากให้พวกนายไปเช่าอ่างเก็บน้ำของพวกเขา ช่างไม่เลือกวิธีการเลยเสียจริง ฉันจะต้องไปแจ้งความ ลงโทษเจ้าพวกเหลือขอนี่ให้สาหัสเลย!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท