ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1567 อ่างเก็บน้ำเสร็จสมบูรณ์

บทที่ 1567 อ่างเก็บน้ำเสร็จสมบูรณ์

ทั้งหมดเป็นเงินหนึ่งหมื่นหยวน ฉินสือโอวได้เอาลูกสุนัขกลับไปด้วยฝูงหนึ่ง

หลักก็คือร็อตไวเลอร์ราคาแพงมาก ทำให้เถ้าแก่คนนั้นอยากจะให้เขาไปดูให้ได้ สุนัขแบบนี้แม้จะเป็นสายพันธุ์ปกติ ตัวหนึ่งก็ต้องห้าพันหยวน ขอแค่หน้าตาพอใช้ได้ ก็จะสามารถขายได้หนึ่งหมื่นกว่าหยวนเลย

การนำลูกสุนัขยี่สิบห้าตัวนี้กลับบ้าน ไปปล่อยไว้ที่สนามในบ้าน ก็ราวกับโปรยเมล็ดงา ไม่ทันใดทั้งสวนก็เต็มไปด้วยลูกสุนัขที่มีขนฟูฟ่อง แต่ว่ามีบางตัวกำลังอึอยู่บางตัวก็ฉี่อยู่ และมีบางตัวที่เบิกตาโตจ้องไปที่สภาพแวดล้อมที่แปลกตา วุ่นวายไปหมด

พ่อแม่ของฉินสือโอว วินนี่และเสี่ยวเถียนกวาถูกดึงดูดให้มาที่สวน เมื่อเห็นลูกสุนัขพวกนี้แล้ว สีหน้ายัยตัวเล็กก็เต็มไปด้วยความดีใจแล้ววิ่งเข้าไป ใช้มือถือขึ้นมาข้างละหนึ่งตัว หนีบไว้ข้างรักแร้แล้วก็ไปไล่อีกตัว

เสี่ยวฮุยก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เขาอุ้มลูกสุนัขตัวสีดำล้วนมาตัวหนึ่งแล้วพูดว่า “คุณตาคุณนายดูสิครับ มีเสี่ยวเฮยอีกตัวแล้ว!”

พ่อของฉินสือโอวยิ้มเหอๆ แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว มีเสี่ยวเฮยอีกตัวแล้ว แล้วก็ยังมีเสี่ยวหวงเสี่ยวไป๋ด้วยนะ เสี่ยวโอว สุนัขพวกนี้ไปซื้อมาจากไหน? ทั้งหมดใช้เงินไปเท่าไร?”

เรื่องนี้ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง ฉินสือโอวจึงพูดไปตามจริงว่า “ทั้งหมดใช้ไปหนึ่งหมื่นหยวน…”

เขาอยากจะอธิบายต่อว่าหนึ่งหมื่นหยวนนี่ใช้อะไรไปบ้าง แต่พึ่งพูดจบเท่านั้น พ่อกับแม่ของฉินสือโอวก็ตกใจ พ่อของฉินสือโอวยิ่งแล้วใหญ่ถึงขั้นตะคอกออกมาตัดบทเขาว่า “แกพูดโกหก? ลูกสุนัขพันธุ์พื้นเมืองฝูงหนึ่ง แกใช้ไปถึงหนึ่งหมื่นหยวนเลยเหรอ? แกจะทำให้พ่ออกแตกตายเหรอ?”

พ่อของฉินสือโอวโกรธมากจริงๆ ขนาดพูดยังพูดไม่ชัดเจนเลย คำว่าโง่หรือเปล่าดันพูดเป็นโกหกหรือเปล่าไปแล้ว (สองคำออกเสียงเหมือนกันในภาษาจีน)

ฉินสือโอวพูดออกไปอย่างเก้ๆ กังๆ ว่า “พ่อฟังผมพูดก่อน นี่น่ะไม่ใช่ฝูงสุนัขพื้นเมือง…”

ตอนนี้ สุนัขดำเกี๊ยวซ่าที่เป็นองครักษ์ประจำตัวของเสี่ยวฮุยได้วิ่งออกมาอย่างขี้เกียจ พอเห็นพวกเดียวกันที่เป็นรุ่นน้องพวกนี้แล้วตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที จึงวางท่าว่าเป็นผู้อาวุโส เข้าไปใช้อุ้งเท้าพลิกลูกสุนัขพวกนี้จนหงายท้องไปทีละตัว เมื่อทำการทักทายเสร็จแล้ว ก็รีบวางอำนาจต่อทันที

แต่พอมันเดินไปอยู่หน้าร็อตไวเลอร์ตัวน้อยเท่านั้น มันเพิ่งจะยื่นเท้าออกไปร็อตไวเลอร์ก็รีบตอบสนองอย่างรวดเร็ว มันถอยหลังไปสองก้าวจ้องไปที่เกี๊ยวซ่าแล้วร้อง “โฮ่งๆๆ!”

เกี๊ยวซ่าตกใจไปเลย อั้ยยะ เจ้าพวกลูกสุนัขพวกนี้มีตัวที่แข็งข้อด้วย ดีมาก ตัวฉันถนัดรับมือกับพวกลูกสุนัขที่คิดว่าตัวเองเก่งอยู่แล้ว มันยังคงเข้าไปอย่างอุกอาจเพื่อยื่นเท้าไปอยากจะพลิกร็อตไวเลอร์น้อยให้หงายอีกครั้ง แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า ม่านการต่อสู้ได้เปิดออกแล้ว…

ร็อตไวเลอร์น้อยย่นจมูก แล้วก็พุ่งเข้าไปราวกับลูกระเบิดลูกเล็กเพื่ออ้าปากใช้ฟันน้ำนมงับไปที่เท้าของเกี๊ยวซ่า จากนั้นก็สะบัดหัวเพื่อฉีกกัดสุดฤทธิ์

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “เห็นหรือยังครับ? พ่อ พ่อนึกว่านี่เป็นสุนัขพื้นเมืองเหรอครับ? สุนัขตัวนี้เป็นพันธุ์ร็อตไวเลอร์! เป็นพันธุ์ของสุนัขตำรวจที่มีชื่อเสียงมากของโลก กล้าหาญเป็นพิเศษ ซื่อสัตย์เป็นพิเศษ แล้วก็ฉลาดเป็นพิเศษ!”

คำว่าเป็นพิเศษสามคำได้ถูกพูดออกมาพร้อมกัน ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังพูดชื่นชมประชาชนที่ปลดปล่อยทหารอยู่เลย ทนลำบากได้เป็นพิเศษ สู้รบได้เก่งเป็นพิเศษ เสียสละมากเป็นพิเศษ!

“แต่ไม่ว่าแม่ดูอย่างไร สุนัขพวกนี้ก็เป็นสุนัขพื้นเมืองนี่นา?” แม่ของฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย “เสี่ยวโอว ลูกไม่ได้ถูกคนอื่นเขาหลอกเอาใช่ไหม?”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ครับ มีแค่ตัวนี้ที่เป็นร็อตไวเลอร์ ตัวอื่นๆ เป็นสุนัขพื้นเมืองนั่นแหละครับ”

พูดเสร็จ เขาก็เข้าไปผลักเกี๊ยวซ่าที่กำลังโกรธอยู่ออก แล้วอุ้มร็อตไวเลอร์ตัวน้อยที่โกรธอยู่เช่นกันมาไว้ในอ้อมอกแล้วเอาไปโชว์ให้พ่อกับแม่ดู

วินนี่ช่วยเขาอธิบายให้ทั้งสองคนว่า “ร็อตไวเลอร์นั้นมีราคามากค่ะ สุนัขตัวนี้ก็น่าจะราคากว่าเก้าพันหยวน ที่แคนาดาสุนัขพันธุ์นี้ที่สายพันธุ์ดีหน่อย สามารถขายได้ถึงสี่ห้าพันดอลลาร์แคนาดาเลยค่ะ”

เมื่อมีองครักษ์คอยปกป้องแล้ว ต่อไปก็คือการเริ่มสร้างอ่างเก็บน้ำอย่างจริงจังแล้ว

เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำคลื่นน้ำขึ้นมา ฉินสือโอวไม่สามารถหยุดเพียงเพราะซื้ออ่างเก็บน้ำแล้วได้ การทำแบบนี้จะทำให้คนในเมืองสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ง่าย นายบอกจะเช่าอ่างเก็บน้ำนี้ อ่างเก็บน้ำก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น นายเพิ่งเช่าเสร็จไป อ่างเก็บน้ำก็กลับไปเป็นปกติ นั่นน่ะไม่ปกติเสียแล้ว

พอดีเลย ฉินสือโอวได้เช่าเรือลำเล็กมาจำนวนหนึ่ง เพื่อลากแหตกปลาไปมาบนน้ำเพื่อจัดการขยะที่ลอยอยู่บนน้ำด้วย

ความผิดปกติของอ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวงทำให้ผู้คนในเมืองประหลาดใจ ทั้งเมืองนี้และเมืองข้างๆ ก็ต่างพากันมาดู แถมยังดึงความสนใจของช่องรายการทีวีของเขตมาด้วย ช่องรายการทีวีถึงกับมาถ่ายทำข่าวถึงที่นี่เลย

เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอ่างเก็บน้ำของตัวเอง ฉินสือโอวจึงดูการรายงานข่าวของเย็นนั้นอย่างตั้งใจ พิธีกรสาวสวยที่มักจะออกมาตอนท้ายการสัมภาษณ์ไม่ค่อยได้ออกกล้องเท่าไร แต่มีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่ไม่รู้ไปเชิญมาจากไหนมาพูดเป็นต่อยหอยแทน มีการวิเคราะห์ตั้งแต่สภาพพื้นดิน อากาศ และสิ่งมีชีวิตใต้น้ำด้วย

แม้ว่าจะเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ แต่การวิเคราะห์ในครั้งนี้มีส่วนช่วยในการรักษาสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าใต้น้ำมีแก๊สจำพวกแก๊สธรรมชาติระเบิดออก ทำให้น้ำในแม่น้ำเกิดการม้วนตัวขึ้นมา ส่วนเรื่องที่ว่าแก๊สพวกนี้มาจากไหนนั้น? แน่นอนว่ามาจากการที่ขยะหมักหมมกันทำให้ก่อเกิดเป็นแก๊สนี้ขึ้นมา

เถ้าแก่ร้านวัสดุก่อสร้างได้ช่วยพวกเขาจ้างคนงานมา เริ่มจากการขึงรั้วเล็กก่อน ฉินสือโอวไปดูหน้างานด้วยตัวเอง เพื่อปรึกษาหารือกับหัวหน้าคุมงานก่อสร้าง เรื่องการปกป้องอ่างเก็บน้ำ

เครื่องตอกเสาสองเครื่องได้แบ่งกันทำงาน โดยเริ่มจากการตอกเสาหินลงไปจากทั้งสองฝั่ง เสาหินพวกนี้มีความสูงประมาณสองเมตร มีขนาดใหญ่ประมาณแขนของผู้ใหญ่ มีรูปร่างสี่เหลี่ยม หลังจากตอกลงไปในพื้นแล้วขึงรั้วเหล็กไว้ด้านบนก็ได้แล้ว

เขื่อนของอ่างเก็บน้ำไม่สามารถตอกเสาเข็มได้ นี่เป็นกฎของรัฐบาล ฉินสือโอวจึงเลือกใช้เสาหินแบบตั้งพื้น เสาหินแบบนี้เป็นเสาหินทรงสี่เหลี่ยมที่ติดไว้กับฐานแผ่นหิน จึงไม่จำเป็นต้องตอกลงพื้น แค่วางไว้ก็มั่นคงแล้ว

หลังจากตั้งเสาหินเรียงเป็นแถวเสร็จแล้ว คนงานก็นำรั้วเหล็กไปขึงไว้ข้างบน พอขึงรั้วเหล็กที่ส่องประกายนั้นเสร็จหนึ่งชั้นแล้ว ก็เท่ากับอ่างเก็บน้ำทั้งหมดได้ถูกปกป้องแล้ว

ในตอนนี้การงมเก็บขยะก็สำเร็จไปได้มากแล้วด้วย ฉินสือโอวกลับถึงบ้านแล้วก็จัดการติดต่อซื้อพืชน้ำเพื่อให้ส่งมาที่เขา เขาจะใช้วิธีเดียวกัน ในการทำให้อ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวงให้เป็นบ่อปลาไป๋หลงเจียงขนาดใหญ่

อยู่ที่บ้านนอกไม่สามารถหาเช่าเครื่องบินได้ ฉินสือโอวจึงเลือกใช้เรือพายเหล็กในการโปรยเมล็ดพันธุ์แทน เรือพายเหล็กลงน้ำ พายไปได้ทุกหนึ่งสองร้อยเมตรแล้วก็เริ่มโปรยพืชน้ำลงไปถุงหนึ่ง จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสร้างคลื่นลับอยู่ใต้น้ำ เพื่อพัดเมล็ดพืชพวกนี้ออกไปโดยทั่ว เท่านี้ก็สามารถกระจายออกไปได้เท่าๆ กันแล้ว

หลังจากทีมคนงานก่อสร้างตอกเสาหินเสร็จแล้ว ก็ไปทำการสร้างบ้านเล็กๆ แบบง่ายๆ ข้างๆ อ่างเก็บน้ำ แล้วทำการปูหลังคาสีสายรุ้ง เพื่อเป็นที่พักของพนักงานที่จะจ้างหลังจากนี้แล้วก็ของพ่อกับแม่ด้วย

รอให้ล้อมอ่างเก็บน้ำเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็จะนำพวกลูกสุนัขมาปล่อยที่นี่ การที่พวกมันอยู่ที่บ้านนั้นเรียกได้ว่าเหมือนก่อกบฏกันเลยทีเดียว ไม่ต้องพูดเรื่องอะไร แค่เรื่องที่อึฉี่ไม่เป็นที่ก็เป็นปัญหาใหญ่เอาเรื่องแล้ว

ฉินสือโอวถือโอกาสตอนที่อาบน้ำให้แผ่พลังโพไซดอนให้พวกมัน แต่เพราะพวกลูกสุนัขตัวเล็กมาก แถมไอคิวของสุนัขพื้นเมืองก็อยู่ในระดับทั่วไปอีก มีแต่ร็อตไวเลอร์ตัวน้อยเท่านั้นที่รู้จักไปอึนอกบ้าน ตัวอื่นๆ เรียนไม่เป็นสักที ยังพากันอึฉี่ตามใจตัวเอง

หลังจากพาไปที่อ่างเก็บน้ำแล้ว ก็ถือว่าฉินสือโอวได้จัดการปัญหาอึฉี่ของลูกสุนัขได้แล้ว แต่ปัญหาอีกเรื่องก็เข้ามาอีก ลูกสุนัขพวกนี้ชอบวิ่งไปเรื่อย

ฉินสือโอวไม่เคยคิดจะเลี้ยงพวกมันโดยขังไว้หรือมัดไว้อยู่แล้ว อ่างเก็บน้ำใหญ่ขนาดนี้ จำเป็นต้องเลี้ยงแบบปล่อยให้สุนัขพวกนี้มาเฝ้า

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการเลี้ยงสุนัขแบบปล่อยก็คือสอนพวกมันยาก พวกมันสามารถวิ่งไปเรื่อยหรือไม่ก็วิ่งไปทำร้ายคนได้ แต่ฉินสือโอวเชื่อว่าภายใต้การเสริมสร้างพัฒนาการของพลังโพไซดอน สุนัขพวกนี้ไม่ทำเรื่องแบบนี้อย่างแน่นอน

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท