ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1560 นักหิ้วมืออาชีพ

บทที่ 1560 นักหิ้วมืออาชีพ

“แม่ครับ เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าจะรอจนถึงหน้าร้อนค่อยกลับไปน่ะ? ทำไมพ่อกับแม่ต้องรีบขนาดนี้ด้วยครับ?” ฉินสือโอวไปหาแม่ พร้อมกับงัดเอาไม้ตายที่ไม่ได้ใช้มานานออกมาด้วย นั่นก็คือกอดไปที่ไหล่ของแม่แล้วส่ายไปมา

แม่ของฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า “พอแล้วๆ ไม่ต้องส่ายไปมาแล้ว ถ้าส่ายอีกแม่ของลูกจะถูกส่ายจนร่างพังแล้ว!”

ฉินสือโอวไม่หยุด แต่กลับส่ายแรงขึ้นอีก

ไม่มีทางเลือก แม่ของฉินสือโอวจึงต้องพูดออกไปตรงๆ ว่า “เสี่ยวโอว ลูกกับวินนี่ไม่ต้องคิดมาก ตอนแรกพวกแม่กะว่าจะกลับกันตอนหน้าร้อน แต่ว่าตอนนี้ในบ้านต้องซ่อมแซมครั้งใหญ่ไม่ใช่เหรอ? คนอยู่ไม่ได้ แม่กับพ่อเลยคิดว่ากลับไปเลยดีกว่า อีกอย่าง ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ กลับบ้านไปยังสามารถปลูกผัก ปลูกเสบียงได้ ถ้ากลับไปตอนฤดูร้อน พ่อกับแม่ของลูกคงทำได้แค่มองหน้ากันไปวันๆ แล้วล่ะ”

ฉินสือโอวพูดอย่างทำอะไรไม่ได้ว่า “ซ่อมบ้านครั้งใหญ่แล้วอย่างไรครับ? มีอพาร์ตเมนต์ชาวประมงอยู่ พวกแม่อยากจะไปพักที่นั่น ก็ไปพักได้ ถ้าไม่อยากไปเดี๋ยวผมพาไปในเมือง ไปหาโรงแรมพักก็ได้ การซ่อมก็ใช้เวลาแค่สี่ห้าวันก็เสร็จแล้ว”

พ่อกับแม่ของฉินสือโอวล้วนเป็นนิสัยแบบชาวนา หรือก็คือนิสัยดื้อรั้นราวกับวัว ที่ไม่ค่อยตัดสินใจอะไรง่ายๆ แต่ถ้าตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ ไม่ว่าฉินสือโอวจะพูดอย่างไร พวกท่านก็ยังยืนยันจะกลับอยู่ดี

หมดปัญญา ตอนเย็นวินนี่เลิกงานกลับมาแล้ว ฉินสือโอวก็ไปหาเธอด้วยท่าทีหดหู่แล้วพูดว่า “ตอนนี้ดีแล้วไง พ่อแม่จะกลับบ้านแล้ว”

เมื่อได้ฟังคำนี้ วินนี่ก็หัวเราะออกมา ฉินสือโอวมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พูดด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “ทำไมคุณยังหัวเราะอีกล่ะ? ตลกมากเลยเหรอ?”

วินนี่เบ้ปากอย่างน้อยใจแล้วพูดว่า “คุณเข้าใจฉันผิดแล้วค่ะ ฉันหัวเราะที่พ่อกับแม่ทำไมนิสัยเหมือนเด็กเลย เป็นเพราะเรื่องสั่งสอนเถียนกวาครั้งนั้นหรือเปล่าคะ พวกท่านไม่พอใจเหรอคะ?”

ฉินสือโอวฮึ่มทีหนึ่ง ไม่อยากตอบ แล้วพาเถียนกวาออกไปเดินเล่น

เดินเล่นกลับมา แม่ของฉินสือโอวมาหาเขาด้วยท่าทีหาเรื่อง พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “ไอ้ลูกไม่รักดี มานี่ เกิดอะไรขึ้น? ลูกไปทะเลาะกับวินนี่เหรอ? แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ที่กลับไปน่ะไม่ได้เกี่ยวกับลูกสะใภ้เลย? ลูกไปทะเลาะกับวินนี่ทำไม?”

ฉินสือโอวรู้สึกเซ็งพูดว่า “ผมไม่ได้ทะเลาะนะครับ”

ตอนนี้ยัยตัวเล็กเริ่มพูดได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีคำพูดที่ต้องเรียนอีกเยอะ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็รีบพูดออกมาอย่างดีใจว่า “ทะเลาะ ทะเลาะ! ป่ะป๊า ทะเลาะ!”

แม่ของฉินสือโอวโกรธขึ้นกว่าเดิม พูดว่า “ดูสิ เสี่ยวเวยยังบอกว่าพวกลูกทะเลาะกันเลย”

ฉินสือโอวอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก อธิบายว่ายัยตัวเล็กไม่ได้บอกว่าพวกเขาทะเลาะกัน แต่ว่ากำลังเลียนแบบคำพูดเขาอยู่

แต่แม่ของฉินสือโอวไม่ฟัง วินนี่เดินตาแดงก่ำตามพ่อของฉินสือโอวออกมา เธอเดินอยู่หลังสุด ยื่นมือออกมาทำท่า ‘V’ ใบหน้าได้รูปนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าได้ใจอย่างมาก

เมื่อได้เห็นสีหน้าทะเล้นของภรรยาแล้ว ฉินสือโอวก็เข้าใจในทันทีว่าสีหน้าได้ใจที่เถียนกวามีนั้นได้มาจากใคร

ยัยนี่แกล้งฉัน ฉินสือโอวมองไปที่วินนี่อย่างโกรธเคือง

วินนี่ทำทีว่ามองไม่เห็น ก้มหน้าแล้วใช้มือขยี้ตา แต่ท่านชายฉินไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเธอร้องไห้จริงๆ

ฉินสือโอวอธิบายไปก็ไม่เป็นผลอะไร วินนี่ดึงแขนแม่ของฉินสือโอวไว้และเริ่มส่ายไปมา ใช้เสียงขี้อ้อนพูดว่า “แม่คะ พ่อกับแม่อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะ พวกแม่กลับไปแล้ว เสี่ยวโอวก็จะแกล้งหนู…”

เมื่อได้ยินคำนี้ ฉินสือโอวก็เข้าใจวินนี่ทันที ภรรยาคนนี้นี่ฉลาดจริงๆ นี่น่ะคือการใช้กลยุทธ์รั้งตัวไว้นี่เอง

แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล แม่ของฉินสือโอวตบไหล่เธอเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้แม่จะลงโทษให้เขานอนเต็นท์! วินนี่ ที่พ่อกับแม่กลับไปไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้จริงๆ ก็แค่ไปก่อนสองเดือนเท่านั้น อีกอย่าง แม่โทรศัพท์ไปหาพี่สาวของหนูแล้ว เขาหาบริษัทที่รับจ้างทำอ่างเก็บน้ำได้แล้ว แม่กับพ่อกลับไป ก็พอดีกับไปทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้าน แล้วก็เตรียมเลี้ยงปลาฤดูใบไม้ผลิด้วย”

วินนี่ก็งัดไม้ตายออกมาใช้แล้ว แต่ว่าก็ไม่สามารถโน้มน้าวได้สำเร็จ เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวจึงต้องยอมรับเรื่องนี้ เขารู้ว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว

ตอนกลางคืน ทั้งสองคนยังคงอยู่ในห้องนอน การซ่อมแซมท่อยังจำกัดอยู่ที่ชั้นใต้ดินอยู่ ชั้นสองขึ้นไปยังเป็นปกติอยู่

ฉินสือโอวปรึกษากับวินนี่ว่า “ผมส่งพ่อกับแม่กลับบ้าน ในเมืองมีงานที่ต้องทำเยอะคุณไปไม่ได้ ผมกลับไปคนเดียวก็พอแล้ว”

วินนี่นอนทับอยู่บนอกเขา วาดวงกลมไปพลางพูดไปพลางว่า “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรคะ? คุณกลับไปจะพาลูกสาวไปด้วยไหมคะ? พาไปด้วย ลูกก็จะคิดถึงฉัน ไม่พาไป ลูกก็จะคิดถึงคุณปู่คุณย่า ช่างเถอะ พวกเรากลับไปพร้อมกันเถอะค่ะ”

“แล้วงานล่ะ?” ฉินสือโอวรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก เพราะการลาหยุดไปแต่งงานเพิ่งผ่านไปไม่นานเอง

วินนี่ยิ้มบางๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นไม่เป็นไรหรอกค่ะ ในเมืองจะมีเรื่องแค่ไหนกันเชียว? แต่คุณเถอะ ระวังสมาคมชาวประมงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะคะ”

ฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ พูดว่า “จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ? มา พวกเรามาทำลูกต่อ ทำเด็กออกมาอีกคนหนึ่ง เท่านี้เถียนกวาก็จะมีน้องชายน้องสาวเล่นเป็นเพื่อน ก็จะไม่ตัวติดพวกเราแล้ว…”

ตอนทานมื้อเช้าฉินสือโอวพูดเรื่องจะกลับบ้านออกมา ฟาร์มปลาให้ชาร์คเป็นคนดูแล สวนดอกไม้มีนักออกแบบอาวุโสดูแลอยู่ ส่วนพวกเด็กๆ ก็ให้เป็นหน้าที่เออร์บัก

คู่สามีภรรยาจอร์จพูดว่า “ไม่ต้องหรอก คุณลุงเออร์อายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่สะดวกดูแลลิงน้อยพวกนี้ พวกเราอยู่ต่อแล้วกัน อย่างไรเสียพวกเราก็ออกมาพักผ่อนอยู่แล้ว พักต่ออีกไม่กี่วันไม่เป็นไรหรอก”

ไวส์ดีใจสุดขีดขึ้นมาในฉับพลัน เขาก็อยากอยู่กับพ่อแม่ด้วยเหมือนกัน

นอกจากอยู่ต่อเพื่อดูแลเหล่าเด็กวัยรุ่นแล้ว คู่สามีภรรยาจอร์จยังได้ติดต่อเครื่องบินส่วนตัวให้เขาลำหนึ่งที่สามารถส่งพวกเขาไปที่สนามบินในเมืองได้โดยตรงด้วย

เมื่อเป็นแบบนี้วินนี่จึงเริ่มแจกจ่ายงาน ส่วนฉินสือโอวแบ่งงานในฟาร์มปลา พ่อกับแม่ฉินสือโอวก็เก็บข้าวของ

เครื่องบินที่จอร์จติดต่อให้เป็นเครื่องโกลบอล 7000 เป็นเครื่องที่ใช้ส่วนตัวเฉพาะตระกูลของเขาเท่านั้น บนเครื่องบินได้เตรียมพนักงานต้อนรับไว้อย่างครบครัน แถมยังซื้อของขวัญให้พวกเขาอีกมากมายด้วย ฉินสือโอวกลับไปเอาไปมอบให้คนอื่นก็ได้แล้ว

หลังจากวินนี่ส่งมอบงานเสร็จแล้ว คนทั้งกลุ่มก็พากันบินกลับไป เสี่ยวเถียนกวานั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก พอเครื่องบินขึ้นบินแล้วสีหน้าของเธอก็ซีดไปทันที แล้วเริ่มร้องไห้แงๆ ออกมา

แอร์โฮสเตสรีบเข้ามาปลอบ วินนี่ทำท่าบอกว่าตัวเองทำเองก็ได้แล้ว เธออุ้มยัยตัวเล็กแล้วก็มองดูสีหน้าของเธอ ฟังเสียงหัวใจ ใช้มือปิดตาของเธอไว้ แล้วพูดกับฉินสือโอวอย่างหมดหนทางว่า “สมเป็นลูกของคุณจริงๆ แบบเดียวกันเป๊ะ!”

ฉินสือโอวอึ้งไปทีหนึ่ง ถามว่า “นี่คือกลัวความสูงเหรอ?”

วินนี่ยิ้มแหยพูดว่า “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะคะ?”

เถียนกวายังคงอ้าปากร้องไม่หยุด ระหว่างร้องอยู่ก็ร้องจะเอาหมีโลลิ เอาหู่จือ เป้าจือ ฉงต้า หลัวปอ แต่เพราะการกลับบ้านครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน เพราะอย่างไรเสียงานก็เยอะออกขนาดนั้น แถมเจ้าพวกนั้นก็โตกันหมดแล้ว ฉินสือโอวจึงไม่ได้พาพวกมันมาด้วย

เมื่อเป็นแบบนี้ เถียนกวาจึงร้องหนักขึ้นกว่าเดิม

ทริปการกลับบ้านทริปนี้ ก็คือทริปเสียงร้องไห้งอแงของเถียนกวา ฉินสือโอวอดนับถือไม่ได้ ทั้งพลังและเส้นเสียงของเด็กคนนี้ช่างสุดยอดอะไรอย่างนี้ ร้องไห้มาครึ่งทางแล้วแต่เสียงกลับไม่แหบเลย ถือได้ว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งล่ะนะ

เครื่องบินได้หยุดที่เมืองแวนคูเวอร์เพื่อทำการเติมของใช้ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็บินไปที่ปักกิ่งแล้วก็ลงจอดที่นั่นอีกครั้ง สุดท้ายจึงบินตรงกลับไปในเมือง

ยังคงเป็นพี่เขยของฉินสือโอวและฉินเผิงที่มารับพวกเขา แต่ว่าเพราะของขวัญที่คู่สามีภรรยาจอร์จเตรียมไว้มีมากเกินไป ขนาดฉินเผิงขับรถกระบะมายังใส่ไม่หมดเลย จึงต้องไปจ้างรถกระบะในพื้นที่มาอีกคันหนึ่งแทน

มองดูพวกเขาขนของขวัญพวกนั้นแล้ว มีคนอดไม่ได้ถามออกมาว่า “พวกคุณหลบจุดตรวจค้นของศุลกากรมาได้อย่างไรเหรอ?” มีคนถามอีกว่า “พี่ชาย พวกคุณเป็นนักหิ้วอาชีพใช่ไหมครับ? ทำอย่างไรถึงเอาของกลับมาได้เยอะขนาดนี้ แนะนำหน่อยได้ไหม?”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท