“แม่ครับ เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าจะรอจนถึงหน้าร้อนค่อยกลับไปน่ะ? ทำไมพ่อกับแม่ต้องรีบขนาดนี้ด้วยครับ?” ฉินสือโอวไปหาแม่ พร้อมกับงัดเอาไม้ตายที่ไม่ได้ใช้มานานออกมาด้วย นั่นก็คือกอดไปที่ไหล่ของแม่แล้วส่ายไปมา
แม่ของฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า “พอแล้วๆ ไม่ต้องส่ายไปมาแล้ว ถ้าส่ายอีกแม่ของลูกจะถูกส่ายจนร่างพังแล้ว!”
ฉินสือโอวไม่หยุด แต่กลับส่ายแรงขึ้นอีก
ไม่มีทางเลือก แม่ของฉินสือโอวจึงต้องพูดออกไปตรงๆ ว่า “เสี่ยวโอว ลูกกับวินนี่ไม่ต้องคิดมาก ตอนแรกพวกแม่กะว่าจะกลับกันตอนหน้าร้อน แต่ว่าตอนนี้ในบ้านต้องซ่อมแซมครั้งใหญ่ไม่ใช่เหรอ? คนอยู่ไม่ได้ แม่กับพ่อเลยคิดว่ากลับไปเลยดีกว่า อีกอย่าง ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ กลับบ้านไปยังสามารถปลูกผัก ปลูกเสบียงได้ ถ้ากลับไปตอนฤดูร้อน พ่อกับแม่ของลูกคงทำได้แค่มองหน้ากันไปวันๆ แล้วล่ะ”
ฉินสือโอวพูดอย่างทำอะไรไม่ได้ว่า “ซ่อมบ้านครั้งใหญ่แล้วอย่างไรครับ? มีอพาร์ตเมนต์ชาวประมงอยู่ พวกแม่อยากจะไปพักที่นั่น ก็ไปพักได้ ถ้าไม่อยากไปเดี๋ยวผมพาไปในเมือง ไปหาโรงแรมพักก็ได้ การซ่อมก็ใช้เวลาแค่สี่ห้าวันก็เสร็จแล้ว”
พ่อกับแม่ของฉินสือโอวล้วนเป็นนิสัยแบบชาวนา หรือก็คือนิสัยดื้อรั้นราวกับวัว ที่ไม่ค่อยตัดสินใจอะไรง่ายๆ แต่ถ้าตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ ไม่ว่าฉินสือโอวจะพูดอย่างไร พวกท่านก็ยังยืนยันจะกลับอยู่ดี
หมดปัญญา ตอนเย็นวินนี่เลิกงานกลับมาแล้ว ฉินสือโอวก็ไปหาเธอด้วยท่าทีหดหู่แล้วพูดว่า “ตอนนี้ดีแล้วไง พ่อแม่จะกลับบ้านแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำนี้ วินนี่ก็หัวเราะออกมา ฉินสือโอวมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พูดด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “ทำไมคุณยังหัวเราะอีกล่ะ? ตลกมากเลยเหรอ?”
วินนี่เบ้ปากอย่างน้อยใจแล้วพูดว่า “คุณเข้าใจฉันผิดแล้วค่ะ ฉันหัวเราะที่พ่อกับแม่ทำไมนิสัยเหมือนเด็กเลย เป็นเพราะเรื่องสั่งสอนเถียนกวาครั้งนั้นหรือเปล่าคะ พวกท่านไม่พอใจเหรอคะ?”
ฉินสือโอวฮึ่มทีหนึ่ง ไม่อยากตอบ แล้วพาเถียนกวาออกไปเดินเล่น
เดินเล่นกลับมา แม่ของฉินสือโอวมาหาเขาด้วยท่าทีหาเรื่อง พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “ไอ้ลูกไม่รักดี มานี่ เกิดอะไรขึ้น? ลูกไปทะเลาะกับวินนี่เหรอ? แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ที่กลับไปน่ะไม่ได้เกี่ยวกับลูกสะใภ้เลย? ลูกไปทะเลาะกับวินนี่ทำไม?”
ฉินสือโอวรู้สึกเซ็งพูดว่า “ผมไม่ได้ทะเลาะนะครับ”
ตอนนี้ยัยตัวเล็กเริ่มพูดได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังมีคำพูดที่ต้องเรียนอีกเยอะ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ก็รีบพูดออกมาอย่างดีใจว่า “ทะเลาะ ทะเลาะ! ป่ะป๊า ทะเลาะ!”
แม่ของฉินสือโอวโกรธขึ้นกว่าเดิม พูดว่า “ดูสิ เสี่ยวเวยยังบอกว่าพวกลูกทะเลาะกันเลย”
ฉินสือโอวอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก อธิบายว่ายัยตัวเล็กไม่ได้บอกว่าพวกเขาทะเลาะกัน แต่ว่ากำลังเลียนแบบคำพูดเขาอยู่
แต่แม่ของฉินสือโอวไม่ฟัง วินนี่เดินตาแดงก่ำตามพ่อของฉินสือโอวออกมา เธอเดินอยู่หลังสุด ยื่นมือออกมาทำท่า ‘V’ ใบหน้าได้รูปนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าได้ใจอย่างมาก
เมื่อได้เห็นสีหน้าทะเล้นของภรรยาแล้ว ฉินสือโอวก็เข้าใจในทันทีว่าสีหน้าได้ใจที่เถียนกวามีนั้นได้มาจากใคร
ยัยนี่แกล้งฉัน ฉินสือโอวมองไปที่วินนี่อย่างโกรธเคือง
วินนี่ทำทีว่ามองไม่เห็น ก้มหน้าแล้วใช้มือขยี้ตา แต่ท่านชายฉินไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเธอร้องไห้จริงๆ
ฉินสือโอวอธิบายไปก็ไม่เป็นผลอะไร วินนี่ดึงแขนแม่ของฉินสือโอวไว้และเริ่มส่ายไปมา ใช้เสียงขี้อ้อนพูดว่า “แม่คะ พ่อกับแม่อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะ พวกแม่กลับไปแล้ว เสี่ยวโอวก็จะแกล้งหนู…”
เมื่อได้ยินคำนี้ ฉินสือโอวก็เข้าใจวินนี่ทันที ภรรยาคนนี้นี่ฉลาดจริงๆ นี่น่ะคือการใช้กลยุทธ์รั้งตัวไว้นี่เอง
แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นผล แม่ของฉินสือโอวตบไหล่เธอเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะ คืนนี้แม่จะลงโทษให้เขานอนเต็นท์! วินนี่ ที่พ่อกับแม่กลับไปไม่เกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้จริงๆ ก็แค่ไปก่อนสองเดือนเท่านั้น อีกอย่าง แม่โทรศัพท์ไปหาพี่สาวของหนูแล้ว เขาหาบริษัทที่รับจ้างทำอ่างเก็บน้ำได้แล้ว แม่กับพ่อกลับไป ก็พอดีกับไปทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้าน แล้วก็เตรียมเลี้ยงปลาฤดูใบไม้ผลิด้วย”
วินนี่ก็งัดไม้ตายออกมาใช้แล้ว แต่ว่าก็ไม่สามารถโน้มน้าวได้สำเร็จ เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวจึงต้องยอมรับเรื่องนี้ เขารู้ว่าไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
ตอนกลางคืน ทั้งสองคนยังคงอยู่ในห้องนอน การซ่อมแซมท่อยังจำกัดอยู่ที่ชั้นใต้ดินอยู่ ชั้นสองขึ้นไปยังเป็นปกติอยู่
ฉินสือโอวปรึกษากับวินนี่ว่า “ผมส่งพ่อกับแม่กลับบ้าน ในเมืองมีงานที่ต้องทำเยอะคุณไปไม่ได้ ผมกลับไปคนเดียวก็พอแล้ว”
วินนี่นอนทับอยู่บนอกเขา วาดวงกลมไปพลางพูดไปพลางว่า “จะทำอย่างนั้นได้อย่างไรคะ? คุณกลับไปจะพาลูกสาวไปด้วยไหมคะ? พาไปด้วย ลูกก็จะคิดถึงฉัน ไม่พาไป ลูกก็จะคิดถึงคุณปู่คุณย่า ช่างเถอะ พวกเรากลับไปพร้อมกันเถอะค่ะ”
“แล้วงานล่ะ?” ฉินสือโอวรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก เพราะการลาหยุดไปแต่งงานเพิ่งผ่านไปไม่นานเอง
วินนี่ยิ้มบางๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “นั่นไม่เป็นไรหรอกค่ะ ในเมืองจะมีเรื่องแค่ไหนกันเชียว? แต่คุณเถอะ ระวังสมาคมชาวประมงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะคะ”
ฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ พูดว่า “จะมีเรื่องอะไรได้ล่ะ? มา พวกเรามาทำลูกต่อ ทำเด็กออกมาอีกคนหนึ่ง เท่านี้เถียนกวาก็จะมีน้องชายน้องสาวเล่นเป็นเพื่อน ก็จะไม่ตัวติดพวกเราแล้ว…”
ตอนทานมื้อเช้าฉินสือโอวพูดเรื่องจะกลับบ้านออกมา ฟาร์มปลาให้ชาร์คเป็นคนดูแล สวนดอกไม้มีนักออกแบบอาวุโสดูแลอยู่ ส่วนพวกเด็กๆ ก็ให้เป็นหน้าที่เออร์บัก
คู่สามีภรรยาจอร์จพูดว่า “ไม่ต้องหรอก คุณลุงเออร์อายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่สะดวกดูแลลิงน้อยพวกนี้ พวกเราอยู่ต่อแล้วกัน อย่างไรเสียพวกเราก็ออกมาพักผ่อนอยู่แล้ว พักต่ออีกไม่กี่วันไม่เป็นไรหรอก”
ไวส์ดีใจสุดขีดขึ้นมาในฉับพลัน เขาก็อยากอยู่กับพ่อแม่ด้วยเหมือนกัน
นอกจากอยู่ต่อเพื่อดูแลเหล่าเด็กวัยรุ่นแล้ว คู่สามีภรรยาจอร์จยังได้ติดต่อเครื่องบินส่วนตัวให้เขาลำหนึ่งที่สามารถส่งพวกเขาไปที่สนามบินในเมืองได้โดยตรงด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้วินนี่จึงเริ่มแจกจ่ายงาน ส่วนฉินสือโอวแบ่งงานในฟาร์มปลา พ่อกับแม่ฉินสือโอวก็เก็บข้าวของ
เครื่องบินที่จอร์จติดต่อให้เป็นเครื่องโกลบอล 7000 เป็นเครื่องที่ใช้ส่วนตัวเฉพาะตระกูลของเขาเท่านั้น บนเครื่องบินได้เตรียมพนักงานต้อนรับไว้อย่างครบครัน แถมยังซื้อของขวัญให้พวกเขาอีกมากมายด้วย ฉินสือโอวกลับไปเอาไปมอบให้คนอื่นก็ได้แล้ว
หลังจากวินนี่ส่งมอบงานเสร็จแล้ว คนทั้งกลุ่มก็พากันบินกลับไป เสี่ยวเถียนกวานั่งเครื่องบินเป็นครั้งแรก พอเครื่องบินขึ้นบินแล้วสีหน้าของเธอก็ซีดไปทันที แล้วเริ่มร้องไห้แงๆ ออกมา
แอร์โฮสเตสรีบเข้ามาปลอบ วินนี่ทำท่าบอกว่าตัวเองทำเองก็ได้แล้ว เธออุ้มยัยตัวเล็กแล้วก็มองดูสีหน้าของเธอ ฟังเสียงหัวใจ ใช้มือปิดตาของเธอไว้ แล้วพูดกับฉินสือโอวอย่างหมดหนทางว่า “สมเป็นลูกของคุณจริงๆ แบบเดียวกันเป๊ะ!”
ฉินสือโอวอึ้งไปทีหนึ่ง ถามว่า “นี่คือกลัวความสูงเหรอ?”
วินนี่ยิ้มแหยพูดว่า “แล้วคุณคิดว่าไงล่ะคะ?”
เถียนกวายังคงอ้าปากร้องไม่หยุด ระหว่างร้องอยู่ก็ร้องจะเอาหมีโลลิ เอาหู่จือ เป้าจือ ฉงต้า หลัวปอ แต่เพราะการกลับบ้านครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน เพราะอย่างไรเสียงานก็เยอะออกขนาดนั้น แถมเจ้าพวกนั้นก็โตกันหมดแล้ว ฉินสือโอวจึงไม่ได้พาพวกมันมาด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้ เถียนกวาจึงร้องหนักขึ้นกว่าเดิม
ทริปการกลับบ้านทริปนี้ ก็คือทริปเสียงร้องไห้งอแงของเถียนกวา ฉินสือโอวอดนับถือไม่ได้ ทั้งพลังและเส้นเสียงของเด็กคนนี้ช่างสุดยอดอะไรอย่างนี้ ร้องไห้มาครึ่งทางแล้วแต่เสียงกลับไม่แหบเลย ถือได้ว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งล่ะนะ
เครื่องบินได้หยุดที่เมืองแวนคูเวอร์เพื่อทำการเติมของใช้ครั้งหนึ่ง จากนั้นก็บินไปที่ปักกิ่งแล้วก็ลงจอดที่นั่นอีกครั้ง สุดท้ายจึงบินตรงกลับไปในเมือง
ยังคงเป็นพี่เขยของฉินสือโอวและฉินเผิงที่มารับพวกเขา แต่ว่าเพราะของขวัญที่คู่สามีภรรยาจอร์จเตรียมไว้มีมากเกินไป ขนาดฉินเผิงขับรถกระบะมายังใส่ไม่หมดเลย จึงต้องไปจ้างรถกระบะในพื้นที่มาอีกคันหนึ่งแทน
มองดูพวกเขาขนของขวัญพวกนั้นแล้ว มีคนอดไม่ได้ถามออกมาว่า “พวกคุณหลบจุดตรวจค้นของศุลกากรมาได้อย่างไรเหรอ?” มีคนถามอีกว่า “พี่ชาย พวกคุณเป็นนักหิ้วอาชีพใช่ไหมครับ? ทำอย่างไรถึงเอาของกลับมาได้เยอะขนาดนี้ แนะนำหน่อยได้ไหม?”
………………………