ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1546 โชคร้ายแล้ว

บทที่ 1546 โชคร้ายแล้ว

เหล่ากัปตันของกองเรือนักล่ากำลังปรึกษาหารือกันผ่านวิทยุไร้สายว่า

“ชิท เจ้าสารเลวพวกนี้ก็คือพวกบ้า! ให้ตายสิ พวกมันคนเยอะเกินไป พวกพ้องรีบไปเรียกคนมาช่วยเร็ว ให้ตายเถอะ จะต้องจัดการเจ้าพวกเลวนี่ให้ได้เลย!”

“ใช่แล้ว หรือไม่พวกเราแจ้งความดีไหม? พวกมันต้องทำการดัดแปลงปืนน้ำแบบผิดกฎหมายแน่นอนเลย อีกอย่าง คนของฝั่งนั้นยิงปืนกันตั้งหลายคน ไปแจ้งความกันเถอะ…”

“อย่าแจ้งความนะ เจ้าโง่ บนเรือพี่โรบินเองก็มีปืนน้ำด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญที่สุดคือ แม้ว่าพวกเขาจะยิงปืนด้วยก็จริง แต่ว่าพวกนายก็ยิงด้วยไม่ใช่เหรอไง? ยิ่งไปกว่านั้น บนเรือของเรายังมีปืนลำกล้องใหญ่อีก!”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ระวังกันหน่อย ทะเลแถบที่เรากำลังเข้าไปนั้นมีโขดหินลับเยอะมาก ระวังอย่าไปชนโดนเชียวล่ะ!”

“เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาเลย ฉันเคยมาที่นี่แล้ว โขดหินลับไม่ได้อันตรายขนาดนั้น เจ้าพวกลูกหมาพวกนั้นคงคิดว่าที่นี่เป็นสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาหรือไง? ฮ่า เรือของเราจมลงไปในน้ำแค่นี้เอง จะไปชนโดนโขด…”

“ตู้ม!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมา!

“ฟัค! ฟัค! ฟัค!” เสียงตะโกนด้วยความตกใจของโรบินได้ส่งผ่านวิทยุไร้สายไปยังหูของคนอื่นๆ

เหล่านักล่าทั้งหลายตกใจกันทั่วหน้า มีคนตะโกนออกไปด้วยว่า “พี่โรบิน เกิดเรื่องอะไร?”

โรบินจะมีอารมณ์ตอบคำถามได้อย่างไร? เมื่อกี้เขากำลังวางแผนว่าจะไปเรียกพี่น้องมาจากไหนเพื่อมาแก้แค้นอยู่เลย เรียกได้ว่าครั้งนี้ขายหน้าครั้งใหญ่เลย ตอนนี้เขารู้สึกว่าผิวเจ็บแสบอีกด้วย ภาพลักษณ์ได้เสียไปหมดแล้ว

แต่ทว่าในทันใดนั้น เรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์เหมือนกับว่าจะไปชนกับอะไรเข้า หรือไม่ก็ถูกอะไรมาชนเข้า ที่แน่ๆ คือตัวเรือสั่นไหวไปทีหนึ่ง ตามด้วยสัญญาณไฟสีแดงที่สว่างออกมาจากห้องบังคับการ และเสียงที่ดังกระหึ่มไม่หยุดอีก

“หวอๆๆ!”

เสียงดังแสบหูไม่หยุด เรือบรรทุกก็สั่นไปมาไม่หยุด

ฉินสือโอวบังคับคราเคน เขารอให้เรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ผ่านไปทางน่านน้ำที่เต็มไปด้วยโขดหิน เริ่มจากให้คราเคนที่ซุ่มอยู่ฟาดกระบองฟันหมาป่าไปที่ท้องเรือจนเกิดเป็นรูก่อน จากนั้นก็ตามด้วยกระบวนท่ากระบองฟันหมาป่าฟันรัวๆ ไปที่รูนั้น เพื่อทำการขยายขนาดของรูจนมีขนาดเท่ากับหัวคนในเวลาอันรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านี้ เขายังควบคุมให้คราเคนว่ายไปข้างหน้า แล้วทำหน้าเรือให้เป็นรูใหญ่อีกรูหนึ่งด้วย รูอันนี้มีขนาดใหญ่กว่าอันก่อนหน้านี้ เป็นการสร้างเหตุการณ์เหมือนว่าท้องเรือขูดเข้ากับโขดหินตามด้วยหน้าเรือชนกับโขดหิน

น้ำทะเลไหลทะลักเข้าไปในตัวเรือ เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวยิ้มๆ แล้วก็ออกคำสั่งให้คราเคนกลับไป แบบนี้แหละที่เรียกว่าปิดบังทั้งชื่อและวีรกรรม!

น้ำทะเลเข้าไปในรูทั้งสองพร้อมกัน เรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ได้เริ่มค่อยๆ จมลงไป

เรือบรรทุกในปัจจุบันล้วนใช้ห้องโดยสารแบบกั้นน้ำทั้งนั้น แน่นอนว่า หากให้พูดอย่างโอ้อวดแล้ว เทคโนโลยีนี้เป็นชาวจีนที่เป็นคนคิดค้นขึ้นมา ถูกเรียกให้เป็นหนึ่งในสี่อู่อารยธรรมของท้องทะเลเลยทีเดียว ถูกค้นพบในราชวงศ์ถัง และเสร็จสมบูรณ์ในราชวงศ์ซ่ง ในยุคการเดินทางสมบัติหมิง เทคโนโลยีนี้ก็ได้ก้าวไกลไปมากแล้ว

คำว่าห้องโดยสารกั้นน้ำ ก็ตามชื่อ ก็คือการใช้ไม้กระดานมากั้นเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถเชื่อมกันได้ออกมา เมื่อเป็นแบบนี้ เนื่องจากระหว่างห้องโดยสารเรือถูกกั้นไว้อย่างมิดชิด ดังนั้นในการเดินเรือ ถึงแม้จะมีห้องโดยสารเรือสองห้องถูกทำลายจนน้ำเข้ามา น้ำก็ไม่สามารถไหลไปยังห้องโดยสารส่วนอื่นได้

ดูจากภาพโดยรวมของเรือแล้ว ขอแค่สามารถรักษาการลอยตัวไว้ได้ ตัวเรือก็ไม่จมลงแล้ว แถมยังมีการกั้นน้ำไว้อีก แม้ว่าจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก และแม้ว่าจะมีน้ำเข้ามามากจนเรือทรงตัวไม่ไหว แต่ก็ยังมีเวลาในการโยนของทิ้งเพื่อลดน้ำหนักได้อยู่ เพื่อพยุงให้เรือสามารถแล่นต่อไปได้เป็นปกติ

เรือบรรทุกในตอนนี้ได้ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่า นั่นก็คือหลังจากน้ำทะลักเข้ามาในห้องกั้นน้ำแล้ว ขอแค่เรือไม่จม เพราะว่าห้องโดยสารของเรือพวกนี้มีเครื่องยนต์แรงดันสูงอยู่ สามารถสร้างแรงดันเพื่อระบายน้ำออกได้ เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้มีเวลาในการซ่อมแซมเรือและไม่ส่งผลต่อการเดินเรืออีกด้วย

ดังนั้น ตามหลักการแล้วขอแค่มีห้องโดยสารกั้นน้ำอยู่ เรือลำนั้นก็จะไม่จมอย่างแน่นอน

ดังนั้นฉินสือโอวถึงได้เปิดรูให้เรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ถึงสองรูใหญ่ ห้องโดยสารกั้นน้ำสองห้องถูกน้ำทะลักเข้าไปพร้อมกัน แค่นี้ก็เพียงพอให้เรือลำนี้กระอักไปพักหนึ่งแล้ว

เรือบรรทุกที่ใช้ทั่วไปปกติแล้วจะมีห้องโดยสารกั้นน้ำอยู่แปดห้อง ขอแค่มีห้องโดยสารกั้นน้ำแค่สี่ห้องที่ใช้งานได้ปกติ เรือก็จะไม่จมแล้ว อย่างมากก็แค่น้ำล้นเข้ามาอย่างล้นหลามเท่านั้น

ดังนั้นในตอนแรกโรบินกับพวกลูกเรือแม้ว่าจะตกใจกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นหมดหวัง พวกเขาพลางก่นด่าพลางวิ่งไปทางห้องโดยสารเรือ เมื่อประเมินสถานการณ์แล้ว โรบินก็เตะไปที่ประตูห้องโดยสารทีหนึ่งอย่างโกรธแค้น แล้วพูดว่า “สเปนเซอร์ ให้ตายเถอะ เจ้าโง่นี้ไปไหน? เร็วๆๆ รีบลากท่อดูดน้ำมาให้ฉันเร็ว รีบดูดน้ำออกไป!”

ต้นเรือวิ่งเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน เกณฑ์พวกลูกเรือไปแบกท่อดูดน้ำเข้ามาในห้องโดยสารเรือ และเริ่มดูดน้ำออกไปข้างนอก

โรบินได้เรียกตัวรองต้นเรือและหัวหน้าฝ่ายเครื่องยนต์มาเริ่มการช่วยเหลือเรือ ทั้งสามคนถือแผนที่ไว้แล้วเริ่มหารือกัน

แต่ว่าไม่ชอบมาพากลแล้ว ตอนที่พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น เรือลำนี้ไม่ได้หยุดจมลงเลย แต่กลับค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ ซะอย่างนั้น

ตามหลักการแล้ว หลังจากน้ำทะลักเข้ามาในห้องโดยสารสองห้อง ขอแค่สามารถปิดประตูผนึกน้ำได้ทันท่วงทีเรือก็จะไม่จมแล้วแท้ๆ เนื่องจากตอนนี้ห้องโดยสารทั้งสองของเรือถูกน้ำทะลักเข้ามา ตัวเรือจะจมลงไประยะหนึ่งแล้วก็จะเข้าสู่ระยะทรงตัว รอจนระดับน้ำในเรือและน้ำทะเลด้านนอกเท่ากันแล้ว ตามหลักแรงดันอากาศก็จะไม่มีน้ำไหลเข้ามาอีก

ถ้าอย่างนั้น แล้วทำไมเรือลำนี้ยังคงจมลงไปเรื่อยๆ ล่ะ?

โรบินทั้งโกรธทั้งแปลกใจผสมกัน ตอนนี้ต้นเรือได้พาเหล่าลูกเรือวิ่งออกมา เขาคว้าตัวต้นเรือไว้แล้วตะคอกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น? ให้ตายเถอะ ทำไมเรือยังจมลงอีกล่ะ?”

ต้นเรือรีบตะโกนออกไปอย่างตื่นกลัวว่า “รีบไปเถอะครับ กัปตัน เรือจะจมแล้ว พวกเราต้องสละเรือแล้วครับ!”

เมื่อได้ฟังคำนี้ โรบินก็ยกเท้ากระทืบลงไป ทำเอาต้นเรือที่ยืนไม่มั่นล้มกลิ้งไปกับพื้น เขาตะโกนด้วยความโกรธเคืองว่า “พูดไร้สาระอะไรน่ะ ห้องโดยสารกั้นน้ำสองห้องถูกทำลาย จะทำให้เรือจมได้อย่างไร?”

ต้นเรือพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ สงสัยเป็นเพราะคลื่นใหญ่เกินไป น้ำจึงถาโถามเข้ามาพร้อมกับคลื่นน้ำ ตอนนี้ได้ทะลักออกจากห้องกั้นน้ำไปที่ห้องโดยสารอื่นๆ แล้วครับ!”

ห้องโดยสารของเรือบรรทุกพวกนี้ ไม่ได้เป็นแบบปิดกั้นทั้งหมด นี่เป็นเพราะปัญหาเกี่ยวกับความดันอากาศและความแข็งแรงของวัสดุที่ใช้ พูดง่ายๆ ก็คือปัญหาความแข็งแรงของวัสดุที่ใช้ ก็คือจะบวมเมื่อร้อนและจะหดสั้นเมื่อเย็น หากว่าทำการปิดกั้นห้องโดยสารทั้งหมด งั้นก็ต้องใช้วัสดุที่แข็งแรงมากๆ ไม่อย่างนั้นในระยะยาวเมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลงของอากาศร้อนและเย็นแล้ว แผ่นเหล็กของห้องโดยสารจะเกิดการเปลี่ยนรูปได้

นอกจากเรือรบ เรือยอชต์แบบพรีเมียม และเรือบรรทุกที่สำคัญแล้ว เรือส่วนมากจะไม่ใช้ห้องโดยสารกั้นน้ำที่ปิดผนึก ซึ่งรวมไปถึงเรือบรรทุกขนาดหมื่นตันด้วย ระหว่างห้องโดยสารจะมีแผ่นกั้นน้ำอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านบนของแผ่นกั้นจะมีช่องว่างอยู่ หนึ่งสามารถใช้รักษาสมดุลแรงดันอากาศได้ สองก็คือเผื่อช่องว่างให้วัสดุที่ใช้สร้างห้องโดยสารได้เปลี่ยนรูปได้

เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือมีโอกาสที่หากมีน้ำเข้าไปในห้องกั้นน้ำ แล้วน้ำทะเลเกิดกระดอนขึ้นมา จะสามารถไหลไปห้องกั้นน้ำอื่นๆ โดยผ่านช่องว่างด้านบนแผ่นกั้นน้ำได้

โดยปกติแล้ว สถานการณ์สุดโต่งแบบนี้จะไม่ค่อยเกิดขึ้น นี่น่ะเป็นแค่ตามทฤษฎีเท่านั้น ความจริงแล้วโอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้นั้นมีต่ำมาก จะต้องเจอกับลมพายุกระหน่ำแล้วไปชนเข้ากับโขดหินเท่านั้นจึงจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้

แต่ว่าการไปชนเข้ากับโขดหินท่ามกลางลมพายุนั้น จะต้องอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน เพราะว่าเรือที่ถูกลมพายุโจมตีจะไปชนเข้ากับโขดหินเรื่อยๆ แม้ว่าจะเป็นห้องโดยสารแบบกั้นน้ำได้สนิท ก็จะต้องเจอกับการที่เรือเสียหายหลายจุดจนทำให้เรือจมไปในที่สุดอยู่ดี

ดังนั้น ในความเป็นจริง ห้องโดยสารกั้นน้ำของเรือที่ประชาชนทั่วไปใช้จึงไม่ถูกปิดสนิท อย่างไรเสียเรือที่ประชาชนกับทหารใช้ก็ไม่เหมือนกัน เรือกองทัพต้องใช้ในการปฏิบัติภารกิจ และบางภารกิจก็ต้องทำท่ามกลางลมพายุ แต่เรือที่ประชาชนใช้จะทำการหลบหลีกลมพายุมากกว่า

แบบนี้ก็ถือได้ว่าเรือฉันคือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์โชคร้ายแล้วล่ะ…

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท