ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1561 เพียงแต่ตอนนั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว

บทที่ 1561 เพียงแต่ตอนนั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว

คำพูดของฉินสือโอวคำหนึ่งได้ตอบข้อสงสัยของพวกเขาจนหมด “ผมเหมาเครื่องบินมาลำหนึ่ง ก็คือเครื่องโกลบอล 7000 ลำนั้น เห็นไหม? ขอแค่พวกคุณเช่าเหมาลำ จะเอาของกลับมาเท่าไรก็ได้”

คนพวกนี้หัวเราะออกมา จากนั้นก็มีคนเริ่มพูดคำพูดจำพวก ‘ขี้โว’ ‘เสแสร้ง’ ‘ขี้โอ่’ ออกมา

ฉินสือโอวยักไหล่ ไม่มีความจำเป็นต้องไปสนใจคนพวกนี้ เก็บของเสร็จแล้วรถยนต์สามคันก็ขับขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปเมืองของพวกเขากัน

พี่สาวของฉินสือโอวกำลังปัดกวาดทำความสะอาดบ้านอยู่กับเสี่ยวฮุย อย่างไรเสียก็เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ไม่มีคนอยู่ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในบ้านได้ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ฉินสือโอวกลับไปดู ทุกอย่างไม่เลวเลย

เมื่อเห็นเขาพยักหน้า พี่สาวของฉินสือโอวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนี้นายน่ะเป็นถึงผู้บังคับบัญชานะ ออกคำสั่งคำเดียว พวกเราไม่มีใครกล้าไม่ฟังคำพูดนายหรอก ใช่แล้ว พี่ติดต่อบริษัทรับต่อเติมบ้านไปแล้วนะ เดี๋ยวให้พวกเขาพาคนมาต่อเติมนิดหน่อย อยู่แล้วต้องสบายอย่างแน่นอน”

แม่ของฉินสือโอวส่ายหัว รีบพูดออกมาว่า “ช่างเถอะ ความกตัญญูของพวกลูก แม่กับพ่อของลูกรับไว้ก็แล้วกัน ไม่ต้องต่อเติมหรอก นี่เพิ่งต่อเติมไปนานแค่ไหนเอง? สามปี? สามปีครึ่ง? อย่าหาเรื่องเลย”

ฉินสือโอวบอกว่า “แม่ครับ ในเมื่อแม่จะอยู่ที่นี่แล้ว งั้นก็ต้องต่อเติมดีๆ หน่อย ปูพื้นใหม่ แม่ดูพื้นที่บ้านสิยังเป็นกระเบื้องอยู่เลย ขนาดบ้านของฉินเผิงยังปูพื้นไม้เลย”

ฉินเผิงที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ในสวนได้ยินคำนี้แล้วก็หันกลับมาอย่างสงสัย พูดว่า “เสี่ยวโอว คำพูดนายหมายความว่าอย่างไร? อะไรคือขนาดบ้านฉันยังปูพื้นไม้เลย? บ้านฉันในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านตระกูลฉินเถอะ”

“มารอฉันแบบนี้นายยังกล้าพูดแบบนี้อีก!”

เสี่ยวฮุยกระโดดโลดเต้นวิ่งเข้ามา ด้านหลังมีสุนัขตัวใหญ่สีดำทั้งตัวตามมาด้วยตัวหนึ่ง สุนัขตัวนี้ตอนวิ่งเข้ามาก็ยังร่าเริงอยู่แท้ๆ แต่พอวิ่งเข้ามากระดิกจมูกไปมาแล้ว ก็ถอยหลังกลับไปอย่างระมัดระวัง แล้วก็ไปยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ไม่กล้าเข้ามา

เมื่อเห็นแบบนี้ เสี่ยวฮุยก็หันกลับไปโบกมือเรียก “เกี๊ยวซ่า รีบเข้ามา นี่คือบ้านคุณยายกับคุณตา ทำไมนายไม่เข้ามาล่ะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะร่าออกมา เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บนตัวเขากับวินนี่่ต่างมีกลิ่นของหู่จือกับเป้าจืออยู่ บางทีอาจจะมีกลิ่นของพวกฉงต้า ฉงเอ้อด้วย สุนัขดำเกี๊ยวซ่าเคยเสียเปรียบให้พวกมันมาก่อน พอได้กลิ่นแล้วจึงคิดว่าเจ้าฝูงคนเถื่อนพวกนี้มาอีกแล้ว จึงไม่กล้าเข้ามา

อาหารค่ำได้ไปทานกันที่บ้านฉินเผิง พ่อของฉินเผิงเคยเป็นพ่อครัวมาก่อน เมื่อก่อนตอนเรียนมหาวิทยาลัยฉินสือโอวก็ชอบมาขอข้าวบ้านฉินเผิงกินเป็นที่สุด แม้จะเป็นเพียงผัดเกี่ยมฉ่าย พ่อของฉินเผิงก็สามารถทำรสชาติที่ไม่เหมือนใครออกมาได้

พอดีกับที่วันนี้เป็นวันที่มีตลาดนัดในเมือง พ่อของฉินเผิงได้ซื้อผักกับเนื้อมาชุดใหญ่ พอเดินเข้าไปในสวนบ้านพวกเขาเท่านั้น ก็มีกลิ่นหอมของพริกลอยมาเตะจมูกเลย!

พ่อของฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “ตาไล่นายใส่พริกน้อยหน่อยนะ อยู่แคนาดาฉันยังได้กลิ่นพริกของนายเลย”

พ่อของฉินเผิงเดินออกมาพร้อมกับผ้ากันเปื้อน พอเห็นพ่อของฉินสือโอวที่เป็นเพื่อนเก่าแก่แล้ว ก็เข้ามาต่อยเขาไปทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างอิจฉาว่า “นายดูสิ น้ำของต่างประเทศนี่บำรุงคนได้ดีจริงๆ เลย พวกนายสองคนสามีภรรยา ผมทั้งดำทั้งเงา นี่เพิ่งไปอบไอน้ำมาใช่ไหม?”

คนแก่พากันหัวเราะพูดคุยกัน ฉินสือโอวกับวินนี่วางของขวัญลงแล้วก็อุ้มลูกไปในสวน

บ้านหลังเก่าของฉินเผิงขายไปแล้ว และเปลี่ยนเป็นตึกเล็กสองชั้น แต่ทว่าไม่ใช่เป็นแบบปิดตายทั้งหมด ด้านหลังมีสวนอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือสวนหลังบ้านเก่าของเขา ในสวนมีต้นแมกโนเลียอยู่ต้นหนึ่ง

ต้นไม้ต้นนี้อายุมากแล้ว มีความสูงกว่าสิบกว่าเมตร ขนาดหนึ่งคนโอบ ออกกิ่งใบเต็มต้น บนต้นยังมีดอกสีขาวปนชมพูที่ผลิบานเต็มต้น กลิ่นหอมของดอกไม้ได้กลบกลิ่นของพริกไว้ ลมพัดผ่านมา กลิ่นดอกไม้ก็ยิ่งหอมมากขึ้น

ใต้ต้นแมกโนเลียมีชุดเครื่องชาอยู่ชุดหนึ่ง ภรรยาของฉินเผิงเหยียนลี่ลี่กำลังดูแลลูกสาวอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาแล้วก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เชิญพวกเขานั่งลงดื่มชาอย่างมีมารยาท

ลูกของฉินเผิงสามขวบกว่าแล้ว ได้กลายเป็นยัยตัวกึ่งใหญ่ เธอมองไปที่ฉินสือโอวอย่างสงสัย เมื่อมองเห็นเสี่ยวเถียนกวาก็หัวเราะคิกๆ แล้วยื่นมือไปทักทาย พูดว่า “นี่คือน้องสาว”

เหยียนลี่ลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว นี่คือน้องสาว หลันหลันมีของอร่อยไหมคะ แบ่งให้น้องสาวกินดีไหมคะ?”

เด็กน้อยหยิบขนมมาหลายถุงแล้วเข้าไปยื่นให้เถียนกวา เถียนกวาอยู่ที่ฟาร์มปลาไม่ได้กินของพวกนี้ เพราะพ่อกับแม่ของฉินสือโอวบอกว่ามีสารกันบูด จึงไม่ให้เธอกิน

ยัยตัวเล็กเห็นเป็นครั้งแรก จึงยื่นมือไปหยิบมาเก็บไว้กับตัว พอคิดไปคิดมาสักพักก็เดินเข้าไป หยิบขนมในกล่องออกมาทั้งหมด

ลูกสาวของฉินเผิงตาค้างไปแล้ว ดูท่าเธอคงจะนึกไม่ถึงว่าน้องสาวที่ดูอ่อนโยนคนนี้จะป่าเถื่อนถึงเพียงนี้

วินนี่กระแอมทีหนึ่ง มองไปที่ยัยตัวเล็กแล้วถามว่า “ของพวกนี้หนูกินหมดเหรอคะ?”

ครั้งนี้เป็นเถียนกวาที่ตาค้างบ้างแล้ว เธอรีบเอาขนมที่แย่งมาได้วางลงไปทั้งหมด สุดท้ายเหลือไว้แค่สองถุงที่ได้มาแต่แรก แต่จากนั้นคิดไปคิดมาอีกทีก็วางลงอีกหนึ่งถุง ใบหน้าสีชมพูระเรื่อนั้น เต็มไปด้วยสีหน้าแห่งการลังเล

คู่สามีภรรยาฉินเผิงล้วนหัวเราะออกมาทั้งคู่ บอกว่าเด็กคนนี้ตลกจัง

ฉินสือโอวบอกว่า “ลูกสาวของฉัน ฉลาดได้ฉันมา แต่ว่าฉินเผิง นายก็ไม่เลวนะ ลูกสาวนายก็ฉลาดพอตัวเลย มีลูกสาวมันดีมากเลยใช่ไหม?”

พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ทางฉินเผิงก็หดหู่ขึ้นมาทันที ตอนแรกที่เขาพาเหยียนลี่ลี่ไปตรวจร่างกาย ข่าวที่ได้รับผ่านคนวงในบอกว่าเป็นลูกชาย แต่สุดท้ายพอคลอดออกมากลับเป็นลูกสาว

ตามยุคเวลาที่เปลี่ยนไป ในหมู่บ้านตระกูลฉินไม่มีการรักลูกชายชังลูกสาวกันแล้ว จะคลอดลูกชายหรือลูกสาวก็พอๆ กัน เหตุผลหลักๆ เพราะในปัจจุบันผู้ชายหลายคนหาภรรยาไม่ได้ แถมหลายๆ ครอบครัวภรรยาก็เป็นช้างเท้าหน้าอีก ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนความคิดที่ว่ารักผู้ชายชังผู้หญิงไป

แต่ว่าการที่ถูกโรงพยาบาลหลอกแบบนี้ ทำให้ฉินเผิงไม่พอใจนัก เขาไปถามกับคุณหมอ คุณหมอบอกกับเขาว่า นี่เป็นกฎของทางโรงพยาบาลที่จะทำการปกปิดเพศไว้ ขอแค่มีการถามขึ้นมาก็จะบอกว่าได้ลูกชายทั้งนั้น

นึกย้อนเรื่องนี้แล้ว ฉินเผิงยังคงหดหู่เป็นอย่างมาก ฉินสือโอวหัวเราะร่าออกมา บอกว่าใครใช้ให้นายเป็นคนขี้อวดล่ะ เอาเรื่องเพศของลูกไปป่าวประกาศก่อนซะทั่ว บอกว่าได้ลูกชาย แต่สุดท้ายพอเด็กคลอดออกมานายก็จบเห่เลยล่ะสิ?

เด็กน้อยพาเถียนกวาไปเล่น เถียนกวาเริ่มห่วงแต่เล่นแล้ว พอมีคนเล่นด้วยเลยทำให้ดีใจ คนยัยตัวเล็กทั้งสอง คนโตหนึ่งคนเล็กหนึ่งคน พากันเก็บดอกแมกโนเลียที่ตกไว้บนพื้นขึ้นมา

ระหว่างดื่มชา ฉินเผิงพูดว่า “พวกนายนี่ดวงดีใช้ได้เลย ระยะการบานของดอกแมกโนเลียมีแค่สิบกว่าวันเท่านั้น แต่พวกนายก็ยังทันมาเห็น ถ้ามาเวลาอื่นนะไม่ทันได้เห็นดอกหรอก”

ดอกแมกโนเลียที่อยู่ทางใต้จะเริ่มผลิดอกออกมาตั้งแต่เดือนมกราคม แต่ทางเหนืออุณหภูมิอากาศต่ำ ต้องรอถึงเดือนมีนาคมกับเมษายนจึงจะออกดอก และจริงอย่างที่ฉินเผิงบอก ระยะการผลิดอกสั้นมาก พวกฉินสือโอวมาได้ทันเวลาจริงๆ

นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ดมกลิ่นดอกไม้และดื่มชา วินนี่ตามไปดูแลเด็กๆ แม้ว่าเสี่ยวเถียนกวาจะอายุน้อยกว่าลูกสาวของฉินเผิงมาก แต่ว่าร่างกายกำยำแข็งแรง เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ทำให้เธอนิสัยไม่ดี พอมีเรื่องอะไรที่ไม่พอใจก็จะตีเด็กหญิงตัวน้อยท่าเดียว เด็กหญิงถูกเธอแกล้งเสียจนอนาถเลย

มองดูเงาหลังของวินนี่กับเถียนกวาแล้ว เหยียนลี่ลี่ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดายจริงๆ เลย ของอย่างพรหมลิขิตนี่แปลกจริงๆ ฉันยังคิดจะจับคู่นายให้โหลวมู่ชิงอยู่เชียว ในตอนนั้นเธอรู้สึกดีกับนายมากเลยนะ”

ฉินสือโอวก็พูดอย่างจนปัญญาว่า “นั่นสิ พรหมลิขิตก็อย่างนี้แหละ บางทีอาจจะเป็นช่วงเวลาพริบตาเดียวเท่านั้น ถ้าผ่านเลยไปแล้วก็คือผ่านเลยไป ใช่แล้ว ตอนนี้โหลวมู่ชิงยังสบายดีใช่ไหม?”

เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำ ฉินสือโอวยังจำตอนที่กลับไปแคนาดาครั้งนั้น เขาได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่สนามบิน ‘สหายฉินโซ่ว ฉันคือโหลวมู่ชิง สวัสดีค่ะ’

เพียงแต่ว่าตอนนั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว…

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท