คำพูดของฉินสือโอวคำหนึ่งได้ตอบข้อสงสัยของพวกเขาจนหมด “ผมเหมาเครื่องบินมาลำหนึ่ง ก็คือเครื่องโกลบอล 7000 ลำนั้น เห็นไหม? ขอแค่พวกคุณเช่าเหมาลำ จะเอาของกลับมาเท่าไรก็ได้”
คนพวกนี้หัวเราะออกมา จากนั้นก็มีคนเริ่มพูดคำพูดจำพวก ‘ขี้โว’ ‘เสแสร้ง’ ‘ขี้โอ่’ ออกมา
ฉินสือโอวยักไหล่ ไม่มีความจำเป็นต้องไปสนใจคนพวกนี้ เก็บของเสร็จแล้วรถยนต์สามคันก็ขับขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปเมืองของพวกเขากัน
พี่สาวของฉินสือโอวกำลังปัดกวาดทำความสะอาดบ้านอยู่กับเสี่ยวฮุย อย่างไรเสียก็เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่ไม่มีคนอยู่ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดในบ้านได้ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ฉินสือโอวกลับไปดู ทุกอย่างไม่เลวเลย
เมื่อเห็นเขาพยักหน้า พี่สาวของฉินสือโอวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนี้นายน่ะเป็นถึงผู้บังคับบัญชานะ ออกคำสั่งคำเดียว พวกเราไม่มีใครกล้าไม่ฟังคำพูดนายหรอก ใช่แล้ว พี่ติดต่อบริษัทรับต่อเติมบ้านไปแล้วนะ เดี๋ยวให้พวกเขาพาคนมาต่อเติมนิดหน่อย อยู่แล้วต้องสบายอย่างแน่นอน”
แม่ของฉินสือโอวส่ายหัว รีบพูดออกมาว่า “ช่างเถอะ ความกตัญญูของพวกลูก แม่กับพ่อของลูกรับไว้ก็แล้วกัน ไม่ต้องต่อเติมหรอก นี่เพิ่งต่อเติมไปนานแค่ไหนเอง? สามปี? สามปีครึ่ง? อย่าหาเรื่องเลย”
ฉินสือโอวบอกว่า “แม่ครับ ในเมื่อแม่จะอยู่ที่นี่แล้ว งั้นก็ต้องต่อเติมดีๆ หน่อย ปูพื้นใหม่ แม่ดูพื้นที่บ้านสิยังเป็นกระเบื้องอยู่เลย ขนาดบ้านของฉินเผิงยังปูพื้นไม้เลย”
ฉินเผิงที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ในสวนได้ยินคำนี้แล้วก็หันกลับมาอย่างสงสัย พูดว่า “เสี่ยวโอว คำพูดนายหมายความว่าอย่างไร? อะไรคือขนาดบ้านฉันยังปูพื้นไม้เลย? บ้านฉันในตอนนี้ก็ถือว่าเป็นเศรษฐีในหมู่บ้านตระกูลฉินเถอะ”
“มารอฉันแบบนี้นายยังกล้าพูดแบบนี้อีก!”
เสี่ยวฮุยกระโดดโลดเต้นวิ่งเข้ามา ด้านหลังมีสุนัขตัวใหญ่สีดำทั้งตัวตามมาด้วยตัวหนึ่ง สุนัขตัวนี้ตอนวิ่งเข้ามาก็ยังร่าเริงอยู่แท้ๆ แต่พอวิ่งเข้ามากระดิกจมูกไปมาแล้ว ก็ถอยหลังกลับไปอย่างระมัดระวัง แล้วก็ไปยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ไม่กล้าเข้ามา
เมื่อเห็นแบบนี้ เสี่ยวฮุยก็หันกลับไปโบกมือเรียก “เกี๊ยวซ่า รีบเข้ามา นี่คือบ้านคุณยายกับคุณตา ทำไมนายไม่เข้ามาล่ะ?”
ฉินสือโอวหัวเราะร่าออกมา เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บนตัวเขากับวินนี่่ต่างมีกลิ่นของหู่จือกับเป้าจืออยู่ บางทีอาจจะมีกลิ่นของพวกฉงต้า ฉงเอ้อด้วย สุนัขดำเกี๊ยวซ่าเคยเสียเปรียบให้พวกมันมาก่อน พอได้กลิ่นแล้วจึงคิดว่าเจ้าฝูงคนเถื่อนพวกนี้มาอีกแล้ว จึงไม่กล้าเข้ามา
อาหารค่ำได้ไปทานกันที่บ้านฉินเผิง พ่อของฉินเผิงเคยเป็นพ่อครัวมาก่อน เมื่อก่อนตอนเรียนมหาวิทยาลัยฉินสือโอวก็ชอบมาขอข้าวบ้านฉินเผิงกินเป็นที่สุด แม้จะเป็นเพียงผัดเกี่ยมฉ่าย พ่อของฉินเผิงก็สามารถทำรสชาติที่ไม่เหมือนใครออกมาได้
พอดีกับที่วันนี้เป็นวันที่มีตลาดนัดในเมือง พ่อของฉินเผิงได้ซื้อผักกับเนื้อมาชุดใหญ่ พอเดินเข้าไปในสวนบ้านพวกเขาเท่านั้น ก็มีกลิ่นหอมของพริกลอยมาเตะจมูกเลย!
พ่อของฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “ตาไล่นายใส่พริกน้อยหน่อยนะ อยู่แคนาดาฉันยังได้กลิ่นพริกของนายเลย”
พ่อของฉินเผิงเดินออกมาพร้อมกับผ้ากันเปื้อน พอเห็นพ่อของฉินสือโอวที่เป็นเพื่อนเก่าแก่แล้ว ก็เข้ามาต่อยเขาไปทีหนึ่ง แล้วพูดอย่างอิจฉาว่า “นายดูสิ น้ำของต่างประเทศนี่บำรุงคนได้ดีจริงๆ เลย พวกนายสองคนสามีภรรยา ผมทั้งดำทั้งเงา นี่เพิ่งไปอบไอน้ำมาใช่ไหม?”
คนแก่พากันหัวเราะพูดคุยกัน ฉินสือโอวกับวินนี่วางของขวัญลงแล้วก็อุ้มลูกไปในสวน
บ้านหลังเก่าของฉินเผิงขายไปแล้ว และเปลี่ยนเป็นตึกเล็กสองชั้น แต่ทว่าไม่ใช่เป็นแบบปิดตายทั้งหมด ด้านหลังมีสวนอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือสวนหลังบ้านเก่าของเขา ในสวนมีต้นแมกโนเลียอยู่ต้นหนึ่ง
ต้นไม้ต้นนี้อายุมากแล้ว มีความสูงกว่าสิบกว่าเมตร ขนาดหนึ่งคนโอบ ออกกิ่งใบเต็มต้น บนต้นยังมีดอกสีขาวปนชมพูที่ผลิบานเต็มต้น กลิ่นหอมของดอกไม้ได้กลบกลิ่นของพริกไว้ ลมพัดผ่านมา กลิ่นดอกไม้ก็ยิ่งหอมมากขึ้น
ใต้ต้นแมกโนเลียมีชุดเครื่องชาอยู่ชุดหนึ่ง ภรรยาของฉินเผิงเหยียนลี่ลี่กำลังดูแลลูกสาวอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาเดินเข้ามาแล้วก็ยิ้มแล้วลุกขึ้นยืน เชิญพวกเขานั่งลงดื่มชาอย่างมีมารยาท
ลูกของฉินเผิงสามขวบกว่าแล้ว ได้กลายเป็นยัยตัวกึ่งใหญ่ เธอมองไปที่ฉินสือโอวอย่างสงสัย เมื่อมองเห็นเสี่ยวเถียนกวาก็หัวเราะคิกๆ แล้วยื่นมือไปทักทาย พูดว่า “นี่คือน้องสาว”
เหยียนลี่ลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว นี่คือน้องสาว หลันหลันมีของอร่อยไหมคะ แบ่งให้น้องสาวกินดีไหมคะ?”
เด็กน้อยหยิบขนมมาหลายถุงแล้วเข้าไปยื่นให้เถียนกวา เถียนกวาอยู่ที่ฟาร์มปลาไม่ได้กินของพวกนี้ เพราะพ่อกับแม่ของฉินสือโอวบอกว่ามีสารกันบูด จึงไม่ให้เธอกิน
ยัยตัวเล็กเห็นเป็นครั้งแรก จึงยื่นมือไปหยิบมาเก็บไว้กับตัว พอคิดไปคิดมาสักพักก็เดินเข้าไป หยิบขนมในกล่องออกมาทั้งหมด
ลูกสาวของฉินเผิงตาค้างไปแล้ว ดูท่าเธอคงจะนึกไม่ถึงว่าน้องสาวที่ดูอ่อนโยนคนนี้จะป่าเถื่อนถึงเพียงนี้
วินนี่กระแอมทีหนึ่ง มองไปที่ยัยตัวเล็กแล้วถามว่า “ของพวกนี้หนูกินหมดเหรอคะ?”
ครั้งนี้เป็นเถียนกวาที่ตาค้างบ้างแล้ว เธอรีบเอาขนมที่แย่งมาได้วางลงไปทั้งหมด สุดท้ายเหลือไว้แค่สองถุงที่ได้มาแต่แรก แต่จากนั้นคิดไปคิดมาอีกทีก็วางลงอีกหนึ่งถุง ใบหน้าสีชมพูระเรื่อนั้น เต็มไปด้วยสีหน้าแห่งการลังเล
คู่สามีภรรยาฉินเผิงล้วนหัวเราะออกมาทั้งคู่ บอกว่าเด็กคนนี้ตลกจัง
ฉินสือโอวบอกว่า “ลูกสาวของฉัน ฉลาดได้ฉันมา แต่ว่าฉินเผิง นายก็ไม่เลวนะ ลูกสาวนายก็ฉลาดพอตัวเลย มีลูกสาวมันดีมากเลยใช่ไหม?”
พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ทางฉินเผิงก็หดหู่ขึ้นมาทันที ตอนแรกที่เขาพาเหยียนลี่ลี่ไปตรวจร่างกาย ข่าวที่ได้รับผ่านคนวงในบอกว่าเป็นลูกชาย แต่สุดท้ายพอคลอดออกมากลับเป็นลูกสาว
ตามยุคเวลาที่เปลี่ยนไป ในหมู่บ้านตระกูลฉินไม่มีการรักลูกชายชังลูกสาวกันแล้ว จะคลอดลูกชายหรือลูกสาวก็พอๆ กัน เหตุผลหลักๆ เพราะในปัจจุบันผู้ชายหลายคนหาภรรยาไม่ได้ แถมหลายๆ ครอบครัวภรรยาก็เป็นช้างเท้าหน้าอีก ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนความคิดที่ว่ารักผู้ชายชังผู้หญิงไป
แต่ว่าการที่ถูกโรงพยาบาลหลอกแบบนี้ ทำให้ฉินเผิงไม่พอใจนัก เขาไปถามกับคุณหมอ คุณหมอบอกกับเขาว่า นี่เป็นกฎของทางโรงพยาบาลที่จะทำการปกปิดเพศไว้ ขอแค่มีการถามขึ้นมาก็จะบอกว่าได้ลูกชายทั้งนั้น
นึกย้อนเรื่องนี้แล้ว ฉินเผิงยังคงหดหู่เป็นอย่างมาก ฉินสือโอวหัวเราะร่าออกมา บอกว่าใครใช้ให้นายเป็นคนขี้อวดล่ะ เอาเรื่องเพศของลูกไปป่าวประกาศก่อนซะทั่ว บอกว่าได้ลูกชาย แต่สุดท้ายพอเด็กคลอดออกมานายก็จบเห่เลยล่ะสิ?
เด็กน้อยพาเถียนกวาไปเล่น เถียนกวาเริ่มห่วงแต่เล่นแล้ว พอมีคนเล่นด้วยเลยทำให้ดีใจ คนยัยตัวเล็กทั้งสอง คนโตหนึ่งคนเล็กหนึ่งคน พากันเก็บดอกแมกโนเลียที่ตกไว้บนพื้นขึ้นมา
ระหว่างดื่มชา ฉินเผิงพูดว่า “พวกนายนี่ดวงดีใช้ได้เลย ระยะการบานของดอกแมกโนเลียมีแค่สิบกว่าวันเท่านั้น แต่พวกนายก็ยังทันมาเห็น ถ้ามาเวลาอื่นนะไม่ทันได้เห็นดอกหรอก”
ดอกแมกโนเลียที่อยู่ทางใต้จะเริ่มผลิดอกออกมาตั้งแต่เดือนมกราคม แต่ทางเหนืออุณหภูมิอากาศต่ำ ต้องรอถึงเดือนมีนาคมกับเมษายนจึงจะออกดอก และจริงอย่างที่ฉินเผิงบอก ระยะการผลิดอกสั้นมาก พวกฉินสือโอวมาได้ทันเวลาจริงๆ
นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ดมกลิ่นดอกไม้และดื่มชา วินนี่ตามไปดูแลเด็กๆ แม้ว่าเสี่ยวเถียนกวาจะอายุน้อยกว่าลูกสาวของฉินเผิงมาก แต่ว่าร่างกายกำยำแข็งแรง เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ทำให้เธอนิสัยไม่ดี พอมีเรื่องอะไรที่ไม่พอใจก็จะตีเด็กหญิงตัวน้อยท่าเดียว เด็กหญิงถูกเธอแกล้งเสียจนอนาถเลย
มองดูเงาหลังของวินนี่กับเถียนกวาแล้ว เหยียนลี่ลี่ก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดายจริงๆ เลย ของอย่างพรหมลิขิตนี่แปลกจริงๆ ฉันยังคิดจะจับคู่นายให้โหลวมู่ชิงอยู่เชียว ในตอนนั้นเธอรู้สึกดีกับนายมากเลยนะ”
ฉินสือโอวก็พูดอย่างจนปัญญาว่า “นั่นสิ พรหมลิขิตก็อย่างนี้แหละ บางทีอาจจะเป็นช่วงเวลาพริบตาเดียวเท่านั้น ถ้าผ่านเลยไปแล้วก็คือผ่านเลยไป ใช่แล้ว ตอนนี้โหลวมู่ชิงยังสบายดีใช่ไหม?”
เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำ ฉินสือโอวยังจำตอนที่กลับไปแคนาดาครั้งนั้น เขาได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่สนามบิน ‘สหายฉินโซ่ว ฉันคือโหลวมู่ชิง สวัสดีค่ะ’
เพียงแต่ว่าตอนนั้นได้ตัดสินใจไปแล้ว…
………………………