พอปล่อยพวกลูกสุนัขไปในอ่างเก็บน้ำแล้ว พวกมันก็เริ่มกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจในทันที
สัญชาตญาณแต่เกิดของพวกสุนัขคือความอิสระและการออกกำลังกาย โดยเฉพาะตอนเล็กๆ ต้องห้ามเลี้ยงโดยการขังไว้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นแล้ว สิ่งที่หายไปจะไม่ใช่แค่สัญชาตญาณของสัตว์ป่าเท่านั้น ความฉลาดก็จะหายไปด้วย
นี่คือประสบการณ์ที่ฉินสือโอวได้รับมาจากการเลี้ยงหู่จือและเป้าจือ แต่การเลี้ยงสุนัขสองตัวกับยี่สิบห้าตัวนั้นมันคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัขที่เขาเลี้ยงคือแลบราดอร์ที่ทั้งฉลาดและเชื่อฟัง แต่เจ้ายี่สิบห้าตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นร็อตไวเลอร์หรือว่าสุนัขพื้นเมือง ล้วนเป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นตัววุ่นกันทั้งคู่
หลังจากปล่อยแล้วก็ทำเอาฉินสือโอวแทบคลั่งเลยทีเดียว เจ้าตัวเล็กพวกนี้วิ่งกันไปทั่ว แถมยังรู้สึกประหลาดใจกับทุกสิ่งที่เจออีก ทำให้มีลูกสุนัขวิ่งไปสำรวจริมน้ำแล้วก็ตกน้ำลงไปกันไม่หยุดเลย
ฉินสือโอวตกใจแทบบ้า เพราะลูกสุนัขพวกนี้ว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าตกน้ำไปจะต้องจมน้ำตายอย่างแน่นอน จะหวังให้ร็อตไวเลอร์ที่มีความเป็นผู้นำไปช่วยเหรอ? ไม่ได้เรื่องหรอก ร็อตไวเลอร์น้อยยังเป็นลูกสุนัขอยู่ จะเป็นผู้นำได้อย่างไร ตัวมันเองยังพุ่งเข้าไปมุดอยู่ในอ่างเก็บน้ำเลย
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็จำเป็นต้องหาคนมาดูสุนัขพวกนี้ด้วย ฉินสือโอวคิดถึงว่าต่อไปหากพวกสุนัขโตแล้วต้องยิ่งวิ่งเก่งกว่านี้แน่ พ่อกับแม่ของฉินสือโอวก็คงดูไม่ไหว จะต้องหาคนมาเลี้ยงสุนัขพวกนี้โดยเฉพาะ
ตอนที่เขาคุยอยู่กับฉินเผิงก็ได้ถือโอกาสพูดถึงเรื่องนี้ด้วย ฉินเผิงหัวเราะอย่างตื่นเต้นดีใจแล้วพูดว่า “เฮ้ นายน่ะถือว่ามาถามถูกคนแล้ว มาคุยกับฉันเรื่องนี้น่ะถูกแล้ว เพราะว่าฉันรู้จักกับนักเลี้ยงสุนัขยอดฝีมืออยู่คนหนึ่งพอดี!”
ฉินสือโอวถามอย่างสนใจว่า “ยอดฝีมือ? เป็นคนอย่างไร? ถ้านิสัยกับบุคลิกดีก็ไม่มีปัญหา ฉันสามารถจ้างราคาสูงเพื่อมาเลี้ยงสุนัขที่อ่างเก็บน้ำได้”
ฉินสือโอวปัดมือแล้วพูดว่า “เรื่องนี้นายวางใจได้ พี่น้องของฉันทั้งทีจะแย่สักแค่ไหนกันเชียว? แค่ว่าเจ้าหมอนี่น่ะเป็นคนพิเรนทร์ ชอบแกล้งคนอะไรแบบนี้ นายต้องใจกว้างกับเขาหน่อยนะ แต่ว่าเป็นมือหนึ่งในการเลี้ยงสุนัขเลยล่ะ บ้านเขาเลี้ยงสุนัขกันตั้งแต่รุ่นปู่แล้ว เป็นทักษะที่สืบทอดกันมาน่ะ”
ฉินสือโอวหัวเราะร่าออกมา ถามว่า “ทักษะการเลี้ยงสุนัขนี่ยังมีการถ่ายทอดกันทางตระกูลด้วยเหรอ?”
ฉินเผิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายดูสิ คนจับปลาอย่างนายยังจะกล้าไปดูถูกคนเลี้ยงสุนัขอีก พวกนายจับปลามีการถ่ายทอดมาจากตระกูลไหม?”
ฉินสือโอวรู้สึกว่าที่ฉินเผิงพูดมามีเหตุผล การแสดงออกของเขาเมื่อกี้ค่อนข้างแย่ไปหน่อย
หลังจากได้คำรับประกันแล้ว ฉินเผิงก็เช็ดคราบน้ำมันบนมือออก หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออก “สวัสดี โก่วตั้น นายทำอะไรอยู่? ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อย…”
“โอ้ พี่บิ๊กเบิร์ด ทำไมถึงมีเวลาว่างโทรหาผมได้เนี่ย? ฮ่าๆๆ มีเรื่องอะไรเดี๋ยวเจอกันแล้วค่อยพูดแล้วกัน สุนัขของบ้านผมไปจับกระต่ายตัวอ้วนมาได้หลายตัว เดี๋ยวไปย่างที่บ้านพี่แล้วดื่มด้วยสักแก้วสองแก้วแล้วกัน?”
โทรศัพท์ที่ฉินเผิงใช้เป็นรุ่นเก่า มีเสียงแทรกออกมาค่อนข้างดัง เขาโทรศัพท์อยู่ที่นี่ แต่ฉินสือโอวที่อยู่ข้างๆ ก็ยังสามารถได้ยินชัดเจน
“งั้นก็ดีเหมือนกัน นายมาสิ เดี๋ยวแนะนำคนคนหนึ่งให้นายรู้จัก แต่ว่าไม่ต้องเอาอะไรมาหรอก คนมาก็พอแล้ว ฉันเลี้ยงเอง”
“ไม่เป็นไร ให้ผมเลี้ยงเถอะครับ ก่อนหน้านี้ได้เงินจากงานนอกมา ไปเจอกับเจ้าโง่คนหนึ่ง ฮ่าๆๆ ทำผมขำมากเลย เดี๋ยวเจอหน้ากันค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟังนะครับ พี่เองก็ต้องหัวเราะท้องแข็งแน่นอน”
พอวางสาย ฉินเผิงก็พาฉินสือโอวไปที่สวนหลังบ้านของอู่ซ่อมรถ พูดว่า “รอก่อนละกัน ที่พักของโก่วตั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ถ้ามาถึงแล้วเดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก”
ฉินสือโอวดื่มน้ำชา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้านนอกก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยสำเนียงนักเลงดังขึ้นมาว่า “เสี่ยวจวินเอ๊ย ยุ่งอยู่เหรอ? ฉันมาหาบิ๊กเบิร์ด พวกนายยุ่งต่อเถอะ อ้อใช่ละ ช่วงนี้เครื่องยนต์รถของฉันมีปัญหานิดหน่อย เดี๋ยวนายช่วยดูให้หน่อยนะ”
ฟังเสียงนี้แล้ว ฉินเผิงก็ยืนขึ้นมาหัวเราะแล้วพูดว่า “โก่วตั้นมาแล้ว นายรอก่อนนะฉันออกไปรับเขาก่อน”
ฉินสือโอวพยักหน้า เขาฟังเสียงนี้แล้วรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
เสี่ยวจวินคือหนึ่งในลูกศิษย์สองคนของฉินเผิง เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พอได้แล้วน่าพี่ตั้น บอกไปกี่ครั้งแล้ว ที่นี่พวกเราน่ะเป็นศูนย์ซ่อมรถยานยนต์ ไอ้จักรยานวินเทจของพี่น่ะไฮโซเกินไป พวกเราซ่อมไม่ได้หรอก แล้วก็นะ ดูอย่างไรรถพี่ก็โซ่หลุดแท้ๆ มาบอกอะไรเครื่องยนต์มีปัญหา?”
ฉินเผิงออกไปตะคอกทีหนึ่ง เสี่ยวจวินจึงเงียบปากลง แล้วเสียงที่เหมือนนักเลงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก พูดว่า “พี่เบิร์ดออกมารับฉันด้วยตัวเองเลยเหรอ? อั้ยหยา รับไม่ไหวนะ”
ฉินเผิงหัวเราะแล้วพูดว่า “พอแล้วน่า นายพูดมีสาระหน่อยเถอะ อายุปูนนี้แล้ว ทำไมยังชอบพูดล้อเล่นอยู่เรื่อยอีก? ฉันไม่ให้นายจ่ายเงินไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังซื้อเหล้ามาอีก?”
“เฮ้ ฉันก็บอกกับนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่กี่วันก่อนฉันหาเงินจากงานนอกได้ก้อนหนึ่ง ไปเจอเข้ากับเจ้าโง่คนหนึ่ง แล้วเอาเงินจากเขามาได้สองพัน เงินนี่ถือเป็นลาภลอย ต้องรีบใช้ออกไป ฮ่าๆ”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็อึ้งไปทันที เขาคิดออกแล้วว่าได้ยินเสียงนี้จากที่ไหน ให้ตายเถอะ ไอ้พี่เสียวหม่าที่ขายลูกสุนัขให้เขาก็เสียงแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?
ฉินเผิงพาผู้ชายอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้าไปสวนด้านหลัง ระหว่างเดินก็ถามไปด้วยว่า “ลาภลอยอะไร? ได้เงินสองพันมาได้อย่างไร?”
ผู้ชายหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ที่ฉันน่ะมักมีคนเอาลูกสุนัขมาให้จัดการใช่ไหม? ปกติฉันจะเอาไปให้คนอื่น แต่ว่าประมาณสี่ห้าวันที่แล้ว…”
ตอนนี้เขากับฉินสือโอวได้ประจันหน้ากัน เมื่อเห็นหน้าตาฉินสือโอวชัดๆ แล้ว เสียงของเขาก็สะดุดลงทันที แล้วก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
ฉินสือโอวยิ้มแล้วก็พยักหน้าให้เขา เป็นอย่างที่เขาเดาไว้ไม่มีผิด คนคนนี้ก็คือพี่เสียวหม่าคนนั้น
ฉินเผิงยังเร่งต่อว่า “พูดต่อสิ สี่ห้าวันก่อนหน้านี้ทำไม?”
พี่เสียวหม่าหัวเราะร่าพร้อมลูบจมูกตัวเอง มองไปที่ฉินสือโอวอย่างเก้ๆ กังๆ ฉินเผิงสังเกตเห็นสายตาของเขา จึงได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “ชิท ฉินโซ่วนายเองก็ไปซื้อสุนัขพื้นเมืองจากในเมืองมาเมื่อสี่ห้าวันก่อนไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นน้องชายคนนี้แหละที่ขายให้ฉัน ไอ้โง่ที่เขาพูดถึงก็คือฉันนี่แหละ”
พี่เสียวหม่ารีบพูดว่า “น้องชาย เข้าใจผิดน่ะ ไอ้โง่ที่ฉันพูดไม่ได้หมายความอย่างที่นายเข้าใจนะ ฉันเป็นพวกคนเถื่อน ในปากของฉัน คำว่าไอ้โง่เป็นสรรพนามเรียกเฉยๆ เหมือนกับคำว่า ‘เธอเขาท่านคุณ’ นั่นแหละ!”
ฉินสือโอวโกรธแทบคลั่ง ที่เขาไปเชื่อคำพูดของเจ้านี่ได้ ต้องโทษที่เขามองคนผิดไปนั่นแหละ!
มองดูทั้งสองคน ฉินเผิงก็หัวเราะร่าออกมา ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งหยุดไม่ได้ สุดท้ายถึงกับนั่งลงไปกองกับพื้น กอดอกหัวเราะต่อไม่หยุด
พี่เสียวหม่าก็หัวเราะแห้งๆ เหอๆ ด้วย ส่วนฉินสือโอวกลับยิ้มแบบเย็นเยือก ให้ตายอย่างไรเขาก็ต้องเอาพี่เสียวหม่ามาเป็นลูกน้องให้ได้ จากนั้นก็จัดการเขา จะต้องแก้แค้น!
ฉินเผิงจัดแจงให้ทั้งสองคนนั่งลง แต่ก็ยังคงหัวเราะร่าไม่หยุด สุดท้ายพอหยุดได้แล้ว ก็พูดทอดถอนใจออกมาว่า “นี่ก็คือพรหมลิขิตของพวกนายทั้งสองคนนะ ฉินโซ่ว มาแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันก่อน คนนี้คือยอดฝีมือการเลี้ยงสุนัขหม่าโก่วตั้น โก่วตั้น คนนี้คือพี่น้องของฉัน ฉินสือโอว เป็นเถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่ง”
ฉินสือโอวยื่นมือออกไปอย่างมีมารยาท พูดว่า “ได้ยินชื่อเสียงมานาน ชื่อนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ เต็มไปด้วยพลังของยอดฝีมือจริงๆ!”
ในมือพี่เสียวหม่าถือเหล้าขาวอยู่สองขวดพร้อมถุงตาข่ายอันหนึ่ง ในนั้นมีกระต่ายตัวอ้วนอยู่สองตัวกับของจำพวกนกยูงป่าอยู่ เมื่อเห็นเขายื่นมือไปหา จึงรีบวางลงแล้วเข้าไปจับมือด้วย แล้วก็ยิ้มร่าออกมาพร้อมพูดว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ งั้นผมต้องเรียกคุณว่าพี่ฉินหรือว่าพี่โซ่วครับ? ความจริงพวกเราก็พอๆ กันนะ พี่เป็นฉินโซ่วผมเป็นหมาโก่ว (ล้วนเป็นชื่อเรียกสัตว์ทั้งนั้น) เหอๆ ”
ฉินสือโอวโกรธจนกลอกตามองบน เขาพูดย้ำไปว่า “ชื่อของฉันคือฉิน สือ โอว มาอะไรฉินโซ่ว อย่ามาเรียกไปเรื่อยนะ!”
……………