ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1568 ยอดฝีมือในการเลี้ยงสุนัข

บทที่ 1568 ยอดฝีมือในการเลี้ยงสุนัข

พอปล่อยพวกลูกสุนัขไปในอ่างเก็บน้ำแล้ว พวกมันก็เริ่มกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจในทันที

สัญชาตญาณแต่เกิดของพวกสุนัขคือความอิสระและการออกกำลังกาย โดยเฉพาะตอนเล็กๆ ต้องห้ามเลี้ยงโดยการขังไว้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นแล้ว สิ่งที่หายไปจะไม่ใช่แค่สัญชาตญาณของสัตว์ป่าเท่านั้น ความฉลาดก็จะหายไปด้วย

นี่คือประสบการณ์ที่ฉินสือโอวได้รับมาจากการเลี้ยงหู่จือและเป้าจือ แต่การเลี้ยงสุนัขสองตัวกับยี่สิบห้าตัวนั้นมันคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัขที่เขาเลี้ยงคือแลบราดอร์ที่ทั้งฉลาดและเชื่อฟัง แต่เจ้ายี่สิบห้าตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็นร็อตไวเลอร์หรือว่าสุนัขพื้นเมือง ล้วนเป็นพันธุ์ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเป็นตัววุ่นกันทั้งคู่

หลังจากปล่อยแล้วก็ทำเอาฉินสือโอวแทบคลั่งเลยทีเดียว เจ้าตัวเล็กพวกนี้วิ่งกันไปทั่ว แถมยังรู้สึกประหลาดใจกับทุกสิ่งที่เจออีก ทำให้มีลูกสุนัขวิ่งไปสำรวจริมน้ำแล้วก็ตกน้ำลงไปกันไม่หยุดเลย

ฉินสือโอวตกใจแทบบ้า เพราะลูกสุนัขพวกนี้ว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าตกน้ำไปจะต้องจมน้ำตายอย่างแน่นอน จะหวังให้ร็อตไวเลอร์ที่มีความเป็นผู้นำไปช่วยเหรอ? ไม่ได้เรื่องหรอก ร็อตไวเลอร์น้อยยังเป็นลูกสุนัขอยู่ จะเป็นผู้นำได้อย่างไร ตัวมันเองยังพุ่งเข้าไปมุดอยู่ในอ่างเก็บน้ำเลย

เมื่อเป็นแบบนี้ ก็จำเป็นต้องหาคนมาดูสุนัขพวกนี้ด้วย ฉินสือโอวคิดถึงว่าต่อไปหากพวกสุนัขโตแล้วต้องยิ่งวิ่งเก่งกว่านี้แน่ พ่อกับแม่ของฉินสือโอวก็คงดูไม่ไหว จะต้องหาคนมาเลี้ยงสุนัขพวกนี้โดยเฉพาะ

ตอนที่เขาคุยอยู่กับฉินเผิงก็ได้ถือโอกาสพูดถึงเรื่องนี้ด้วย ฉินเผิงหัวเราะอย่างตื่นเต้นดีใจแล้วพูดว่า “เฮ้ นายน่ะถือว่ามาถามถูกคนแล้ว มาคุยกับฉันเรื่องนี้น่ะถูกแล้ว เพราะว่าฉันรู้จักกับนักเลี้ยงสุนัขยอดฝีมืออยู่คนหนึ่งพอดี!”

ฉินสือโอวถามอย่างสนใจว่า “ยอดฝีมือ? เป็นคนอย่างไร? ถ้านิสัยกับบุคลิกดีก็ไม่มีปัญหา ฉันสามารถจ้างราคาสูงเพื่อมาเลี้ยงสุนัขที่อ่างเก็บน้ำได้”

ฉินสือโอวปัดมือแล้วพูดว่า “เรื่องนี้นายวางใจได้ พี่น้องของฉันทั้งทีจะแย่สักแค่ไหนกันเชียว? แค่ว่าเจ้าหมอนี่น่ะเป็นคนพิเรนทร์ ชอบแกล้งคนอะไรแบบนี้ นายต้องใจกว้างกับเขาหน่อยนะ แต่ว่าเป็นมือหนึ่งในการเลี้ยงสุนัขเลยล่ะ บ้านเขาเลี้ยงสุนัขกันตั้งแต่รุ่นปู่แล้ว เป็นทักษะที่สืบทอดกันมาน่ะ”

ฉินสือโอวหัวเราะร่าออกมา ถามว่า “ทักษะการเลี้ยงสุนัขนี่ยังมีการถ่ายทอดกันทางตระกูลด้วยเหรอ?”

ฉินเผิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นายดูสิ คนจับปลาอย่างนายยังจะกล้าไปดูถูกคนเลี้ยงสุนัขอีก พวกนายจับปลามีการถ่ายทอดมาจากตระกูลไหม?”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าที่ฉินเผิงพูดมามีเหตุผล การแสดงออกของเขาเมื่อกี้ค่อนข้างแย่ไปหน่อย

หลังจากได้คำรับประกันแล้ว ฉินเผิงก็เช็ดคราบน้ำมันบนมือออก หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออก “สวัสดี โก่วตั้น นายทำอะไรอยู่? ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อย…”

“โอ้ พี่บิ๊กเบิร์ด ทำไมถึงมีเวลาว่างโทรหาผมได้เนี่ย? ฮ่าๆๆ มีเรื่องอะไรเดี๋ยวเจอกันแล้วค่อยพูดแล้วกัน สุนัขของบ้านผมไปจับกระต่ายตัวอ้วนมาได้หลายตัว เดี๋ยวไปย่างที่บ้านพี่แล้วดื่มด้วยสักแก้วสองแก้วแล้วกัน?”

โทรศัพท์ที่ฉินเผิงใช้เป็นรุ่นเก่า มีเสียงแทรกออกมาค่อนข้างดัง เขาโทรศัพท์อยู่ที่นี่ แต่ฉินสือโอวที่อยู่ข้างๆ ก็ยังสามารถได้ยินชัดเจน

“งั้นก็ดีเหมือนกัน นายมาสิ เดี๋ยวแนะนำคนคนหนึ่งให้นายรู้จัก แต่ว่าไม่ต้องเอาอะไรมาหรอก คนมาก็พอแล้ว ฉันเลี้ยงเอง”

“ไม่เป็นไร ให้ผมเลี้ยงเถอะครับ ก่อนหน้านี้ได้เงินจากงานนอกมา ไปเจอกับเจ้าโง่คนหนึ่ง ฮ่าๆๆ ทำผมขำมากเลย เดี๋ยวเจอหน้ากันค่อยเล่ารายละเอียดให้ฟังนะครับ พี่เองก็ต้องหัวเราะท้องแข็งแน่นอน”

พอวางสาย ฉินเผิงก็พาฉินสือโอวไปที่สวนหลังบ้านของอู่ซ่อมรถ พูดว่า “รอก่อนละกัน ที่พักของโก่วตั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล ถ้ามาถึงแล้วเดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก”

ฉินสือโอวดื่มน้ำชา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้านนอกก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยสำเนียงนักเลงดังขึ้นมาว่า “เสี่ยวจวินเอ๊ย ยุ่งอยู่เหรอ? ฉันมาหาบิ๊กเบิร์ด พวกนายยุ่งต่อเถอะ อ้อใช่ละ ช่วงนี้เครื่องยนต์รถของฉันมีปัญหานิดหน่อย เดี๋ยวนายช่วยดูให้หน่อยนะ”

ฟังเสียงนี้แล้ว ฉินเผิงก็ยืนขึ้นมาหัวเราะแล้วพูดว่า “โก่วตั้นมาแล้ว นายรอก่อนนะฉันออกไปรับเขาก่อน”

ฉินสือโอวพยักหน้า เขาฟังเสียงนี้แล้วรู้สึกคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

เสี่ยวจวินคือหนึ่งในลูกศิษย์สองคนของฉินเผิง เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พอได้แล้วน่าพี่ตั้น บอกไปกี่ครั้งแล้ว ที่นี่พวกเราน่ะเป็นศูนย์ซ่อมรถยานยนต์ ไอ้จักรยานวินเทจของพี่น่ะไฮโซเกินไป พวกเราซ่อมไม่ได้หรอก แล้วก็นะ ดูอย่างไรรถพี่ก็โซ่หลุดแท้ๆ มาบอกอะไรเครื่องยนต์มีปัญหา?”

ฉินเผิงออกไปตะคอกทีหนึ่ง เสี่ยวจวินจึงเงียบปากลง แล้วเสียงที่เหมือนนักเลงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก พูดว่า “พี่เบิร์ดออกมารับฉันด้วยตัวเองเลยเหรอ? อั้ยหยา รับไม่ไหวนะ”

ฉินเผิงหัวเราะแล้วพูดว่า “พอแล้วน่า นายพูดมีสาระหน่อยเถอะ อายุปูนนี้แล้ว ทำไมยังชอบพูดล้อเล่นอยู่เรื่อยอีก? ฉันไม่ให้นายจ่ายเงินไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังซื้อเหล้ามาอีก?”

“เฮ้ ฉันก็บอกกับนายแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่กี่วันก่อนฉันหาเงินจากงานนอกได้ก้อนหนึ่ง ไปเจอเข้ากับเจ้าโง่คนหนึ่ง แล้วเอาเงินจากเขามาได้สองพัน เงินนี่ถือเป็นลาภลอย ต้องรีบใช้ออกไป ฮ่าๆ”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็อึ้งไปทันที เขาคิดออกแล้วว่าได้ยินเสียงนี้จากที่ไหน ให้ตายเถอะ ไอ้พี่เสียวหม่าที่ขายลูกสุนัขให้เขาก็เสียงแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?

ฉินเผิงพาผู้ชายอายุประมาณสามสิบกว่าเดินเข้าไปสวนด้านหลัง ระหว่างเดินก็ถามไปด้วยว่า “ลาภลอยอะไร? ได้เงินสองพันมาได้อย่างไร?”

ผู้ชายหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ที่ฉันน่ะมักมีคนเอาลูกสุนัขมาให้จัดการใช่ไหม? ปกติฉันจะเอาไปให้คนอื่น แต่ว่าประมาณสี่ห้าวันที่แล้ว…”

ตอนนี้เขากับฉินสือโอวได้ประจันหน้ากัน เมื่อเห็นหน้าตาฉินสือโอวชัดๆ แล้ว เสียงของเขาก็สะดุดลงทันที แล้วก็ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น

ฉินสือโอวยิ้มแล้วก็พยักหน้าให้เขา เป็นอย่างที่เขาเดาไว้ไม่มีผิด คนคนนี้ก็คือพี่เสียวหม่าคนนั้น

ฉินเผิงยังเร่งต่อว่า “พูดต่อสิ สี่ห้าวันก่อนหน้านี้ทำไม?”

พี่เสียวหม่าหัวเราะร่าพร้อมลูบจมูกตัวเอง มองไปที่ฉินสือโอวอย่างเก้ๆ กังๆ ฉินเผิงสังเกตเห็นสายตาของเขา จึงได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “ชิท ฉินโซ่วนายเองก็ไปซื้อสุนัขพื้นเมืองจากในเมืองมาเมื่อสี่ห้าวันก่อนไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว เป็นน้องชายคนนี้แหละที่ขายให้ฉัน ไอ้โง่ที่เขาพูดถึงก็คือฉันนี่แหละ”

พี่เสียวหม่ารีบพูดว่า “น้องชาย เข้าใจผิดน่ะ ไอ้โง่ที่ฉันพูดไม่ได้หมายความอย่างที่นายเข้าใจนะ ฉันเป็นพวกคนเถื่อน ในปากของฉัน คำว่าไอ้โง่เป็นสรรพนามเรียกเฉยๆ เหมือนกับคำว่า ‘เธอเขาท่านคุณ’ นั่นแหละ!”

ฉินสือโอวโกรธแทบคลั่ง ที่เขาไปเชื่อคำพูดของเจ้านี่ได้ ต้องโทษที่เขามองคนผิดไปนั่นแหละ!

มองดูทั้งสองคน ฉินเผิงก็หัวเราะร่าออกมา ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งหยุดไม่ได้ สุดท้ายถึงกับนั่งลงไปกองกับพื้น กอดอกหัวเราะต่อไม่หยุด

พี่เสียวหม่าก็หัวเราะแห้งๆ เหอๆ ด้วย ส่วนฉินสือโอวกลับยิ้มแบบเย็นเยือก ให้ตายอย่างไรเขาก็ต้องเอาพี่เสียวหม่ามาเป็นลูกน้องให้ได้ จากนั้นก็จัดการเขา จะต้องแก้แค้น!

ฉินเผิงจัดแจงให้ทั้งสองคนนั่งลง แต่ก็ยังคงหัวเราะร่าไม่หยุด สุดท้ายพอหยุดได้แล้ว ก็พูดทอดถอนใจออกมาว่า “นี่ก็คือพรหมลิขิตของพวกนายทั้งสองคนนะ ฉินโซ่ว มาแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันก่อน คนนี้คือยอดฝีมือการเลี้ยงสุนัขหม่าโก่วตั้น โก่วตั้น คนนี้คือพี่น้องของฉัน ฉินสือโอว เป็นเถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่ง”

ฉินสือโอวยื่นมือออกไปอย่างมีมารยาท พูดว่า “ได้ยินชื่อเสียงมานาน ชื่อนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ นะ เต็มไปด้วยพลังของยอดฝีมือจริงๆ!”

ในมือพี่เสียวหม่าถือเหล้าขาวอยู่สองขวดพร้อมถุงตาข่ายอันหนึ่ง ในนั้นมีกระต่ายตัวอ้วนอยู่สองตัวกับของจำพวกนกยูงป่าอยู่ เมื่อเห็นเขายื่นมือไปหา จึงรีบวางลงแล้วเข้าไปจับมือด้วย แล้วก็ยิ้มร่าออกมาพร้อมพูดว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ งั้นผมต้องเรียกคุณว่าพี่ฉินหรือว่าพี่โซ่วครับ? ความจริงพวกเราก็พอๆ กันนะ พี่เป็นฉินโซ่วผมเป็นหมาโก่ว (ล้วนเป็นชื่อเรียกสัตว์ทั้งนั้น) เหอๆ ”

ฉินสือโอวโกรธจนกลอกตามองบน เขาพูดย้ำไปว่า “ชื่อของฉันคือฉิน สือ โอว มาอะไรฉินโซ่ว อย่ามาเรียกไปเรื่อยนะ!”

……………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท