ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1570 ตรวจลูกปลา

บทที่ 1570 ตรวจลูกปลา

ดื่มเหล้าไปสามรอบ ฉินเผิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าก็พูดกับเสียวหม่าว่า “บ้านพี่โซ่วน่ะได้ทำอ่างเก็บน้ำอันหนึ่ง แล้วก็เลี้ยงสุนัขไว้ฝูงหนึ่งเอาไว้เฝ้าที่ ตอนนี้ขาดคนช่วยงาน ฉันเลยแนะนำให้นายไปทำ”

ใบหน้าพี่เสียวหม่าเต็มไปด้วยความกังวล พูดว่า “พี่โซ่วมองฉันสูงเกินไปแล้ว ฉันไม่ไหวหรอก ให้ฉันแค่เลี้ยงสุนัขตัวสองตัวยังไหว แต่ให้ไปสอนสุนัขทั้งฝูงน่ะ คงทำไม่ไหวหรอก”

ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกเกรงกลัวฉินสือโอวอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะภาพที่ฉินสือโอวกดฉินเผิงเมื่อกี้ทำให้เขากังวลหรือเปล่า

ฉินสือโอวตบที่ไหล่เขา แล้วพูดว่า “ไม่ต้องสอนหรอก ความจริงหน้าที่ของนายก็คือให้อาหารสุนัข ดูไว้อย่าให้สุนัขป่วยหรืออะไรพวกนี้เอง อย่างอื่นนายไม่ต้องทำเลย เห็นแก่หน้าพี่เบิร์ดของนาย ฉันรับนายไว้แล้วกัน เดือนละห้าพันหยวน เงินเดือนเท่านี้ถือว่าใจกว้างพอไหม?”

ในเขตตัวเมืองของบ้านเกิดเขา เงินเดือนพนักงานก็แค่สองพันถึงสามพันหยวนเท่านั้น งานเลี้ยงสุนัขพอๆ กับงานยามเฝ้าประตู ยามทั่วไปเงินเดือนยังไม่ถึงสองพันหยวนด้วยซ้ำ ฉินสือโอวถือว่าให้เงินเดือนสูงเลยทีเดียว

พี่เสียวหม่าลังเลขึ้นมา พูดว่า “แต่ผมไม่ใช่คนที่เหมาะสำหรับ…”

“ก็แค่ร็อตไวเลอร์หนึ่งตัวกับสุนัขพื้นเมืองอีกยี่สิบสี่ตัวเอง แถมสุนัขพื้นเมืองพวกนั้นนายยังเป็นคนเลี้ยงอีก จะบอกว่าไม่ใช่คนที่เหมาะกับงานได้อย่างไร?” ฉินเผิงตะคอกใส่เขาอย่างไม่พอใจ “ใจกล้าๆ หน่อยได้ไหม? นายดูนายสิเอาแต่เตร็ดเตร่ไปวันๆ อายุขนาดนี้แล้วแม้แต่เมียก็หาไม่ได้ ไม่คิดว่าน่าอายเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดเขาแล้ว พี่เสียวหม่าก็เบิกตาโต “พี่ว่าอะไรนะ?”

ฉินสือโอวรีบย้ายเก้าอี้ไปข้างหลัง นี่คือจะเริ่มการทะเลาะกันหลังดื่มเหล้าแล้วใช่ไหม? คำพูดประโยคสุดท้ายของฉินเผิงถือว่าทำร้ายใจคนจริงๆ

ฉินเผิงรู้จักคนอย่างพี่เสียวหม่าดี เขาพูดใหม่ว่า “ฉันบอกว่าที่อ่างเก็บน้ำมีร็อตไวเลอร์ตัวหนึ่ง”

“ได้ ไม่มีปัญหา งานนี้ผมรับทำ!” พี่เสียวหม่าฉีกปากยิ้มออกมา “ร็อตไวเลอร์เลยนะ นั่นน่ะเป็นสุนัขชั้นดีเลยล่ะ!”

ฉินสือโอวเอาเก้าอี้กลับไปใหม่ แล้วก็ยกแก้วขึ้นมา พูดว่า “มาๆๆ ชนแก้วนี้กัน! ทุกคนกินดีดื่มดี กินดีดื่มดี!”

พนักงานเลี้ยงสุนัขกำหนดเสร็จแล้ว เรื่องที่เหลือก็ค่อนข้างง่ายแล้ว เมล็ดพืชน้ำในอ่างเก็บน้ำก็มีแล้ว ต่อไปก็แค่เลี้ยงปลาในนั้นก็ได้แล้ว

คุณภาพน้ำของอ่างเก็บน้ำธรรมดา จำเป็นต้องใช้พืชน้ำมาทำให้สะอาด ดังนั้นฉินสือโอวจึงสั่งปลาน้ำจืดที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่คุณภาพต่ำได้ดีเช่นพวกปลาทอง ปลาคาร์ฟ ปลาเฉาฮื้อและปลาดุก ส่วนปลาเศรษฐกิจที่ราคาสูงจำพวกปลาไหล ปลาซ่งและปลาไหลนาไว้ค่อยเลี้ยงปีหน้าแล้วกัน

หลังจากเซ็นสัญญาเช่าอ่างเก็บน้ำแล้ว ฉินสือโอวก็เริ่มเตรียมที่จะซื้อลูกปลาของปลาแต่ละชนิด เมื่อมีอ่างเก็บน้ำเสียวหย่งจวงแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีบ่อปลาไป๋หลงเจียงอีกต่อไป เขากะว่าปีหน้าจะเอาปลาในบ่อปลาทั้งหมดย้ายมาไว้ที่อ่างเก็บน้ำนี้

ความจริงแล้วในบ่อปลาไป๋หลงเจียงมีลูกปลาอยู่ แถมยังเป็นลูกปลาชั้นดีที่ทำการผสมพันธุ์กันเองในบ่ออีกด้วย แต่เขาไม่อยากใช้ เพราะการไปจับขึ้นมานั้นเปลืองแรงอย่างมาก สู้ไปซื้อจากตลาดขายปลาเลยดีกว่า

ที่บ้านเกิดเขา ลูกปลาเรียกว่าดอกปลา หมายถึงปลาอนุบาลที่ฟักออกมาจากไข่ได้ระยะหนึ่งแล้ว หลักๆ สามารถแบ่งออกได้สองประเภท คือลูกปลาที่ขยายพันธุ์โดยคนและลูกปลาที่ขยายพันธุ์มาจากแม่น้ำในธรรมชาติ

เมื่อก่อนเคยมีบริษัทที่รับจับลูกปลาธรรมชาติจากในแม่น้ำด้วย ลูกปลาประเภทนี้แข็งแรง มีพลังเยอะ หลังจากโตเต็มตัวแล้วเนื้อก็ดีด้วย แต่ว่าเพราะมลภาวะเป็นพิษที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ บวกกับการจับปลาผิดๆ ทำให้ลูกปลาชนิดนี้หาพบได้ยากมาก ลูกปลาที่ฉินสือโอวซื้อก็ถูกขยายพันธุ์โดยมนุษย์ด้วย

การแบ่งขนาดเล็กใหญ่ของลูกปลานั้นอ้างอิงจากว่าในหนึ่งชั่งมีปลากี่ตัว ที่ฉินสือโอวซื้อเป็นลูกปลาใหญ่ หรือเรียกว่าดอกใหญ่ ลูกปลาคาร์ฟตัวหนึ่งอยู่ที่ประมาณหนึ่งตำลึง และปลาทองสองตัวจะหนักหนึ่งตำลึง

บริษัทลูกปลาใช้รถขนน้ำแบบปิดสนิทที่ดัดแปลงใหม่ในการขนส่งลูกปลามาให้ ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปตรวจดูข้างใน พบว่าลูกปลาพวกนี้มีพลังชีวิตพอใช้ได้ อัตราการอยู่รอดสูงมาก

การซื้อลูกปลานั้นเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ ประสิทธิภาพของการเพาะเลี้ยงเริ่มจากลูกปลา ส่วนปริมาณของอัตราการมีชีวิตรอดในการขนส่งของลูกปลาคือข้อสองในเหตุผลหลักที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะเลี้ยง

มีบริษัทเพาะลูกปลาบางที่ เพื่อหวังผลกำไร จึงจงใจลดปริมาณลูกปลาลง และก็มีบางบริษัทที่อาจจะเพราะมีตัวอย่างไม่เพียงพอ น้อยมากที่จะสามารถมีถึง 100% มีบางที่มีไม่ถึง 70% ด้วยซ้ำ เมื่อเป็นแบบนี้ พอปริมาณลูกปลาไม่เพียงพอ แม้ว่าอัตราการมีชีวิตรอดจะพอ แต่ก็ทำกำไรไม่ได้มากอยู่ดี

และอัตราการมีชีวิตรอดก็คือสิ่งที่ทำยากที่สุดในกระบวนการขนส่ง มีบริษัทลูกปลาบางแห่งที่ใส่ยาลงไปในน้ำ การทำแบบนี้เหล่าลูกปลาสามารถมีชีวิตรอดได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เหมือนกับการใช้สเตอรอยด์ ร่างกายของลูกปลาได้ถูกทำลายไปแล้ว หลังจากนำไปเลี้ยงในฟาร์มปลาจึงทำให้ไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้

ลูกปลาพวกนี้ฉินสือโอวได้ติดต่อซื้อผ่านพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ เขาให้ทิญาหาเหตุผลทางการเมืองเพื่อค้นหาบริษัทเพาะลูกปลาชื่อดังในประเทศจีนมาให้ จากนั้นก็ส่งคำสั่งซื้อไป

บริษัทเพาะลูกปลาที่ได้มาตรฐานก็จะดีแบบนี้ ลูกปลาพวกนี้ไม่เพียงแต่มีปริมาณที่เพียงพอเท่านั้นยังมีพลังชีวิตที่ดีอีกด้วย พวกเขายอมลงทุนเต็มที่ โดยการใส่เพนิซิลินเข้าไปในน้ำ สร้างออกซิเจนให้ตลอดการขนส่ง อัตราการรอดชีวิตของลูกปลาถึงได้สูงขนาดนี้

มีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนคอยตรวจเช็กให้ ฉินสือโอวจึงไม่จำเป็นต้องไปตรวจด้วยตัวเอง รถขนส่งคันแล้วคันเล่าขับเข้าไปในอ่างเก็บน้ำ ผู้จัดการที่รับผิดชอบการขนส่งในครั้งนี้ให้เขาเตรียมเครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์มาชั่งปลา เขาปัดมือแล้วพูดว่า “คนน่าสงสัยไม่ใช้ ใช้คนก็จะไม่สงสัย ในเมื่อผมใช้บริการลูกปลาของคุณแล้ว ผมก็จะไม่สงสัยว่าพวกคุณจะกั๊กลูกปลาไว้ เอาไปปล่อยในอ่างเก็บน้ำได้เลยครับ!”

ผู้จัดการคนนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “คุณฉินเป็นคนอาจหาญจริงๆ ครับ เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว งั้นผมขอตัดสินใจ ให้อาหารลูกปลาฟรีกับคุณครึ่งตันนะครับ!”

จำนวนจะไม่นับก็ได้ น้ำหนักจะไม่ชั่งก็ได้ เพราะว่างานนี้ยุ่งยากมาก แต่ว่าเขาไม่สามารถไม่ดูปลาได้ หรือก็คือต้องเช็กคุณภาพปลาก่อนนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นการที่ผ่อนปรนเกินไปนั้นจะถูกมองว่าโง่เกินไปได้

การดูคุณภาพของลูกปลา เริ่มจากดูภายนอก ลูกปลาคุณภาพดีจะมีขนาดที่พอๆ กัน ส่วนมากสีตัวจะสีเดียวกัน ลูกปลาคาร์ฟพวกนี้มีสีทองที่จางมาก เกล็ดปลาใสเงางาม ร่างกายกำยำ เนื้อตัวลื่นไหลไม่ติดโคลน เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกปลาคุณภาพดี

ลูกปลาคุณภาพแย่จะมีสีที่ไม่เหมือนกัน และเมื่อใช้ไฟฉายส่องดูแล้วจะเห็นได้ว่าสีตัวปลาจะคล้ำ ลูกปลาประเภทนี้ก็คือปลาที่เอาไว้หลอกคนนั่นเอง

หลังจากดูเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็พับแขนเสื้อแล้วสะบัดแขนลงในน้ำเพื่อทำให้เกิดน้ำวนขึ้นมา ลูกปลาพวกนี้พากันตะเกียกตะกายว่ายออกไปด้านนอก เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาก็พยักหน้า นี่บอกได้ว่าพลังชีวิตของลูกปลาพวกนี้ไม่มีปัญหา

เขาใช้ไดร์เป่าผมเป่าไปบนผิวน้ำอีก เกิดเป็นคลื่นน้ำเล็กๆ พัดมาทั้งจากหน้าและหลัง ลูกปลาพากันว่ายอย่างชุลมุน ไม่มีระเบียบ มีบ้างที่ว่ายไปตามคลื่นน้ำ บ้างก็ว่ายไปตามแนวขวางคลื่นน้ำ แล้วก็มีบางตัวที่ว่ายทวนน้ำไป

นี่ก็บ่งบอกว่าคุณภาพของลูกปลาดีมากเช่นกัน ลูกปลาที่คุณภาพแย่จะไม่มีพลังชีวิต จะลอยไปกับคลื่นน้ำ พอเกิดน้ำวนขึ้นมาแล้วจะไม่มีทางหนีออกไปได้

ในตอนท้ายเขาได้ทำการตรวจเช็กปฏิกิริยาการตอบโต้ของลูกปลาพวกนี้ด้วย เรื่องนี้ง่าย แค่ใช้ท่อนไม้แตะน้ำเรื่อยๆ ลูกปลาที่กลัวก็จะทำการหลบหนี ดูจากความเร็วในการหนีของพวกมันก็จะสามารถดูออกได้

เขายังได้ทำการตักลูกปลาจำพวกหนึ่งมาวางไว้บนพื้น ลูกปลาคาร์ฟพวกนี้พยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์ และกระโดดไปมาบนพื้น กระโดดทีสามารถกระโดดได้สูงถึงครึ่งเมตร หรือก็คือเป็นท่าทีของลูกปลาชั้นดีนี่เอง

เท่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ฉินสือโอวยกนิ้วโป้งเป็นความหมายว่าชื่นชม แล้วก็พยักหน้าตาม ลูกปลาพวกนี้สามารถปล่อยไปในน้ำได้ การแลกเปลี่ยนนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

ในอ่างเก็บน้ำได้ใช้แหจับปลากั้นพื้นที่ประมาณห้าสิบหมู่ออกมา นี่คือเขตเพาะเลี้ยงปลา ปล่อยพวกลูกปลาในนี้ จากนั้นอีกสี่สิบห้าวันค่อยแก้แหออกเพื่อปล่อยให้พวกมันเป็นอิสระ

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท