ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1572 วิวทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด

บทที่ 1572 วิวทิวทัศน์ที่งดงามที่สุด

กลับกันการนั่งรถเล่นก็ถือเป็นเรื่องน่าเบื่ออย่างหนึ่ง ฉินสือโอวและวินนี่พูดคุยกันในหัวข้อของคนรักและสาวน้อยน่ารัก หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ระบายความคับข้องใจออกมาว่า ถ้าบนโลกใบนี้มีผู้ชายที่ดีเพียงคนเดียว คนคนนั้นก็คือเขา

พี่เขยที่กำลังขับรถหยุดพูดกลั้วหัวเราะออกมาว่า “แล้วฉันอยู่อันดับที่เท่าไรล่ะ? เสี่ยวโอว พูดจากใจจริงนะ แม้ว่านายจะเป็นคนดี แต่ว่าในเรื่องของท้องก่อนแต่งน่ะ เรื่องนี้ทำให้นายหลุดจากตำแหน่งผู้ชายที่ดีที่สุดนะ ฉันว่าคนคนนั้นเป็นฉันมากกว่า”

พี่สาวของฉินสือโอวพูดอย่างเย็นชาว่า “งั้นเหรอ? เรื่องแย่ๆ ของคุณทั้งหลายฉันยังไม่เอาขายเลยนะ”

พี่เขยไม่ได้พูดอะไรต่อ มีเพียงใบหน้าของเขาเท่านั้นที่แสดงออกมาอย่างเศร้าสร้อย

รถขับเข้าไปในเขตมณฑล จากนั้นก็ตรงเข้าไปใจกลางมณฑล โรงแรมที่พวกเขาพักตั้งอยู่ที่นั่น

โรงแรมที่พวกเขาพักชื่อโรงแรมสุดขอบฟ้าก็ยังอยู่ร่วมกับทะเล การตบแต่งของโรงแรมนี้ผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออก ซึ่งเป็นไปอย่างสวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นประตูหมุน รูปปั้นสิงโต การตบแต่งที่สวยงามนี้ ยากที่จะบรรยายออกมา

ต้วนเหล่ยรออยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นออดี้เอหกขับเข้ามา เขาก็โทรไปหาฉินสือโอวด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็เข้าไปกอดฉินสือโอวอย่างอบอุ่น

เมื่อเข้ามาในโรงแรม เขาตั้งใจพูดแนะนำว่า “ชื่อโรงแรมแห่งนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม?”

ด้วยชื่อของโรงแรม ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา นี่เป็นชื่อที่ต้วนเหล่ยตั้งขึ้น โดยมีที่มาจากบทกวีโบราณชื่อดัง ‘ใต้หล้ามีเพียงท่านที่รู้ใจ แต่ให้ไกลสุดขอบฟ้าก็เหมือนอยู่ข้างกัน’ บทกลอนนี้มีหลายความหมายมาก ‘ผู้รู้ใจ’ ในที่นี้หมายถึงทานอาหารร่วมกับญาติคนสนิท ‘สุดขอบฟ้า’ จากด้านบนนี้กล่าวถึงอาหารทะเลส่วนมากของที่โรงแรมนั้นถูกส่งมาจากอีกฟากหนึ่งของทะเล

กิจการโรงแรมเป็นไปด้วยดี ตอนนี้สิบโมง ยังไม่ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน แต่เมื่อฉินสือโอวเข้าไป ก็มีคนเข้ามาทักทายต้วนเหล่ย “ประธานต้วน กิจการของคุณรุ่งเรืองใหญ่แล้วนะ? ตอนนี้ฉันจองอาหารไม่ได้แล้ว นี่พึ่งจะสิบโมงกว่าเอง”

ต้วนเหล่ยต้องการหารือกับฉินสือโอวในเรื่องของกลยุทธ์บางอย่าง เขาจึงเรียกผู้จัดการล็อบบี้ให้มาหา และให้เขาเตรียมห้องพักส่วนตัวให้ชายผู้นั้นใหม่

หลังจากแยกทางกัน ต้วนเหล่ยก็พูดแนะนำว่า “นี่คือผู้อำนวยการการส่งเสริมการลงทุนของมณฑลของเรา ผู้อำนวยการฉี ฉันต้องไว้หน้าเขาเสียหน่อย ทุกวันพวกเราต้องจัดเตรียมห้องส่วนตัวไว้ล่วงหน้าราวห้าห้อง ก็เพื่อรองรับแขกที่มีหน้ามีตาแบบนี้”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “กิจการเป็นไปด้วยดีเลยนี่ แต่ว่าหัวหน้าใหญ่บอกไม่ให้กินดื่มไม่ใช่เหรอ? ดูเหมือนว่านายนี่จะสุดยอดไปเลยนะ”

ต้วนเหล่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอก สำหรับการลงทุนอย่างไรก็ต้องกินดื่มอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องกินดื่มอย่างยิ่งใหญ่ ถ้าหากว่าอาหารยังไม่ได้รับ แล้วคนจะมาลงทุนที่นี่เหรอ?”

ฉินสือโอวพึมพำออกมาว่า “ฉันลงทุนให้เสียวหย่งจวง แต่ไม่ได้ทานอาหารของพวกเขาเลย ไม่ว่าจะทานอาหารกี่ครั้งก็เป็นฉันที่เลี้ยง”

ต้วนเหล่ยบอกว่า “พวกนายทานอาหารกันที่ไหน ทำไมไม่มาทานที่โรงแรมของพวกเรา?”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “เฮ้อ พวกคนของเทศบาลท้องถิ่นขี้ขลาดจะตายไม่กล้ามาที่นี่หรอก บอกว่าตอนนี้มีการตรวจสอบเข้มงวด พวกเราเลยต้องทานอาหารกันอย่างไม่เป็นทางการ”

ต้วนเหล่ยพยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนนี้ทางราชการมีการตรวจสอบเข้มงวดมาก ไม่งั้นโรงแรมของเราคงยิ่งใหญ่มากกว่านี้ไปแล้ว! อาหารทะเลของนายรสชาติสุดยอดมา แม้ราคาจะสูงกว่าตลาดถึงสองเท่าแต่ก็ยังมีความต้องการสูง หากสองปีที่ผ่านมานี้รัฐบาลไม่จับพวกที่กินดื่มในที่สาธารณะ ไม่รู้ว่าโรงแรมของเราจะมีรายได้เท่าไร”

ฉินสือโอวยิ้มออกมา แน่นอนว่า คุณภาพของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินนั้นจะเอามาเทียบกับอาหารทะเลที่เลี้ยงในประเทศนี้ได้อย่างไร? แม้แต่ในอเมริกาและแคนาดา อาหารทะเลของเขาก็ครองตลาดหลักของสองประเทศนี้มาตลอด ตระกูลมอร์รี่ยังแพ้ให้กับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินของเขาอย่างย่อยยับ!

วัตถุดิบบางส่วนของโรงแรมแห่งนี้ส่วนหนึ่งนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ในประเทศจีนมีที่นี่ที่เดียวที่ขายอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน ตอนนี้ชื่อเสียงของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินเป็นที่ยอมรับอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นทางปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว สามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล และเมืองสำคัญเมืองอื่นๆ ต่างก็อยากที่จะนำอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินไปขายแต่ก็ไร้หนทาง

พวกเขาเข้าไปนั่งกันในห้องทำงาน ต้วนเหล่ยรินน้ำชาพลางถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “พี่ฉิน ในตอนแรกฉันประเมินนายต่ำไปจริงๆ โรงแรมแห่งนี้เล็กเกินไปที่จะทำเรื่องยุ่งยาก หากรู้ว่าจะมีวันนี้ ฉันคงจะไปหาโรงแรมขนาดใหญ่ทำธุรกิจ และทำให้เป็นร้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้!”

โรงแรมนี้ไม่ได้เล็กเลย มีห้องรับรองอยู่ห้าสิบห้องและห้องโถงใหญ่อีกสองห้อง ทั้งหมดห้าชั้น ชั้นหนึ่งและชั้นห้าเป็นห้องโถงใหญ่ ซึ่งสามารถรับรองคนมาทานอาหารได้พร้อมกันทีเดียวจำนวนนับพันคน ที่นี่มีพนักงานกว่าหนึ่งร้อยคน แต่มีแขกเต็มจนทะลักออกมาแบบนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถรับรองได้อย่างทั่วถึง

ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ข้าวก็ค่อยๆ กิน อันที่จริงนี่ก็ถือว่าเป็นโรงแรมที่ใหญ่มากแล้ว ที่ฟาร์มปลาของฉันมีพนักงานทั้งหมดห้าสิบคนเอง ไม่ถึงครึ่งของที่นี่ด้วยซ้ำ”

ต้วนเหล่ยหัวเราะแล้วพูดว่า “ที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีพนักงานกี่คนนะ? ห้าสิบคนเองหรอ?”

อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินขยายกิจการไปอย่างรวดเร็ว มีร้านค้ามากกว่าห้าสิบร้าน บัตเลอร์มีแผนที่จะขยายไปยังยุโรป ทั้งหมดนี้ต้องใช้พนักงานไม่น้อยกว่าหนึ่งพันคนเลยนะ!

พูดถึงเรื่องนี้ ฉินสือโอวจำข้อตกลงที่เขากับฮิลตันคนน้องในครั้งแรกได้ ฮิลตันยังคนน้องติดหนี้ที่จะแนะนำเขาให้รู้จักกับหัวหน้าตระกูลฮิลตันอยู่ กลับไปคงต้องไปตามเรื่องนี้ซะแล้ว

ฉินสือโอวดื่มชา เขาเริ่มวางแผนการทำงานของเขาหลังจากกลับไปที่ฟาร์มปลา แน่นอนว่า เขาต้องให้ตัวเองได้พักร้อนก่อน ช่วงนี้เขายุ่งมาก

ต้วนเหล่ยคิดว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงการพัฒนาโรงแรม เขาจึงอยากตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ จึงพูดออกมาว่า “ฉันอยากขยายธุรกิจ นายว่าการตั้งสาขา หรือว่าเปลี่ยนที่ และเปิดเป็นร้านอาหารใหญ่ๆ เลยแบบไหนดีกว่ากัน?”

ฉินสือโอวอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่ นายอย่าพึ่งรีบร้อน ตอนนี้เป็นเวลาสะสมชื่อเสียง อย่าพึ่งรีบขยาย ถ้ากำลังการผลิตไม่พอมันจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน หากต้องการขยาย อยากเร็วที่สุดก็ต้องหลังจากนี้ไปอีกสองปี อย่างน้อยอ่างเก็บน้ำของฉันก็ยังสามารถผลิตสินค้าให้กับนายได้”

ต้วนเหล่ยพูดอย่างไม่มั่นใจว่า “สองปีเลยเหรอ ฉิน แบบนี้เงินจะลดลงไปอีกเท่าไรล่ะ?”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “แต่ว่าหลังจากนี้ แบบนี้จะทำเงินได้อีกเยอะเลยนะ! การลับมีดและฟันลงไปอย่างไม่ตั้งใจ เหตุผลนี้ พี่ต้วนไม่เข้าใจเหรอ?”

ต้วนเหล่ยไม่มีทางเลือก จึงต้องยอมรับแผนการชั่วคราวนี้อย่างจำยอม ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนความสนใจของงานจากโรงแรมสี่เอสมาเป็นที่โรงแรมแห่งนี้โดยสิ้นเชิง เขาอยากเป็นราชาแห่งอาหารของคนทั้งเมืองไม่ใช่แค่มณฑลนี้

หลังจากเดินดูโรงแรมและทานอาหารเสร็จ ในที่สุดงานสุดท้ายของฉินสือโอวก็สิ้นสุดลงแล้ว เขาต้องกลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่ก่อนอีกสองวัน ฉินสือโอวแอบถ่ายทอดพลังโพไซดอนให้กลับลูกสุนัขพวกนั้น หลังจากนั้นก็มองไปยังพ่อแม่ด้วยสายที่อาลัยอาวรณ์ จากนั้นก็เลือกที่จะบินกลับเซนต์จอห์น

รถยนต์แล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวเท้าคางด้วยมือของเขา สายตาจ้องมองไปยังวิวทิวทัศน์ข้างนอก

ถนนสายออกจากหมู่บ้านเป็นเส้นทางที่เขาคุ้นเคย แต่ตอนนี้ถนนสายนี้กลับเปลี่ยนไปเล็กหน่อย

สี่ปีก่อน ถนนเส้นนี้เป็นถนนลูกรัง แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นถนนคอนกรีตที่กว้างและเรียบสนิทแล้ว เนื่องจากที่นี่มีโรงงานผลิตกระป๋องและห้องทำความเย็นขนาดใหญ่ หมู่บ้านแห่งนี้จึงทำเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากเงินที่แจกจ่ายให้ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนแล้ว ก็ยังเอาเงินมาสร้างถนนซีเมนต์นี้

สองข้างทางมีต้นไม้ต้นเล็กๆ ปลูกอยู่ ต้นไม้พวกนี้ปลูกมาได้ไม่ถึงสองปี ยังถือว่าอ่อนแอมาก แต่สุดท้ายพวกมันก็รอดตายจากอากาศที่หนาวเหน็บมาได้ เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง พวกมันก็ผลิใบแตกหน่อเล็กๆ ออกมา เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของเขา ฉินสือโอวพึมพำออกมาว่า “ผมยังจำได้อยู่เลย เมื่อก่อนไม่มีต้นไม้สองข้างทางแบบนี้เลย มีเพียงวัชพืชเท่านั้น เมื่อก่อนผมรู้สึกว่ามันไม่สวยเอาเสียเลย ต่อมาเมื่อผมไปเรียนมหาวิทยาลัย ไปทำงาน กลับรู้สึกว่าที่จริงแล้วพวกมันสวยงามมาก นี่ถือเป็นเรื่องแปลกไหมนะ?”

วินนี่จับมือของเขาเบาๆ แล้วพูดออกมาว่า “วิวทิวทัศน์ที่สวยที่สุด มักอยู่เป็นที่บ้านเกิดที่อยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ แต่คนเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้แล้ว ไม่ใช่เหรอคะ?”

………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน