ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1571 สะพานปลาคาร์ฟนับหมื่น

บทที่ 1571 สะพานปลาคาร์ฟนับหมื่น

การขนส่งปลาคาร์ฟครั้งนี้ขนส่งปลาทั้งหมดสองแสนตัว คิดเป็นเงินทั้งหมดสองแสนหยวน ปลาราคาตัวละหนึ่งหยวนพวกนี้ เป็นปลาคาร์ฟสายพันธุ์แข็งแกร่งที่สุดของทางตอนเหนือ หลังจากที่เข้าไปยังบ่อเลี้ยงปลาอนุบาล ลูกปลาพวกนี้ก็เริ่มกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ

แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมากระทบอ่างเก็บน้ำ สะท้อนสีทองของปลาคาร์ฟที่กระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ภาพที่เห็นช่างสวยงามยิ่งนัก

ในตอนที่ปลาคาร์ฟอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาอนุบาล พวกมันกระโดดไปมาผ่านประตูมังกร ปลาคาร์ฟชอบกระโดดน้ำมาก พวกมันกระโดดไปมาในพื้นที่เลี้ยงปลาขนาดเล็กนี้ไม่หยุด และเพราะว่าจำนวนปลาค่อนข้างมาก จึงมีปลาหลายสิบตัวกระโดดพร้อมกันในหนึ่งครั้ง หากมากหน่อยก็กระโดดพร้อมกันหลายร้อยตัว เป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

รอบๆ อ่างเก็บน้ำมีชาวบ้านหลายคนเข้ามามุงดูภาพเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นนี้ ผู้คนต่างพากันกระซิบกระซาบ มีข่าวมากมายแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่รู้ว่าการสร้างอ่างเก็บน้ำใช้เงินไปมากกว่าสองล้านดอลลาร์ พวกเขาก็พากันตกตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องเสียเงินสองล้านกว่าไปกับการเลี้ยงปลาด้วย?

วันรุ่งขึ้นพี่เสียวหม่าก็กลับมาทำงาน เขาเป็นคนที่ใช้ได้จริงๆ หลังจากไม่มาสองวัน เจ้าพวกลูกสุนัขก็เอาแต่ส่งเสียงเรียกร้องความสนใจจากเขา วันๆ เอาแต่อยู่รอบๆ ตัวเขา ยกเว้นก็แต่เสี่ยวหลัวที่สนิทสนมกับฉินสือโอวมากกว่า

นี่คือความแตกต่างของความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิด พวกมันทุกตัวได้รับพลังโพไซดอน แต่มีเพียงเสี่ยวหลัวเท่านั้นที่สัมผัสได้ถึงความพิเศษของฉินสือโอว

เสี่ยวฮุย เพื่อนตัวดำของเกี๊ยวซ่าวิ่งไปรอบๆ อ่างเก็บน้ำด้วยความตื่นเต้น ด้วยความคึกของมัน ทำให้มันกลายเป็นตัวเด่น มันวิ่งแลบลิ้นไปมา เหมือนกับสุนัขก็ไม่ปาน แต่มันไม่ได้รู้สึกแบบนั้น มันคิดว่าตัวเองนั้นหล่อเหลาเป็นอย่างมาก

ผู้จัดการบ่อเลี้ยงปลาอนุบาลบอกว่าการที่จะเห็นลูกค้ามีความสุขแบบนี้เกิดขึ้นได้น้อยมาก เป็นการกระทำที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่พวกเขา และไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก ทำให้การเก็บเงินเป็นเรื่องสนุก เมื่อปล่อยปลาลงบ่อหนึ่งฝูง เขาก็ได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้ว ถ้าหากว่าปล่อยปลาทั้งสิบฝูงลงมาพร้อมกัน เงินทั้งหมดก็จะถูกจ่ายให้เขาในเวลาเดียวกัน

เพราะแบบนี้เขาจึงมีความสุข เขาบอกเคล็ดลับให้กับฉินสือโอว “พวกคุณไปซื้อไข่เป็ดมาสักยี่สิบโลสิ แล้วนำไข่พวกนั้นตอกใส่ลงถ้วย เมื่อตีจนเข้ากันแล้วก็นำมาเทใส่ในบ่อเลี้ยงปลาอนุบาล ปลาพวกนี้จะกินไข่แดง ไข่แดงสามารถเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของพวกมันให้แข็งแกร่งขึ้น และยังเพิ่มความแข็งแรงในให้ร่างกายอีกด้วย”

ฉินสือโอวแอบถ่ายทอดพลังโพไซดอนไปในบ่อเลี้ยงปลาอนุบาลตั้งนานแล้ว ความสามารถในการปรับตัวและสุขภาพร่างกายของพวกมันไม่มีปัญหาอะไร แต่ไข่ไก่ยี่สิบกิโลถือว่าเป็นเรื่องเล็ก เขากล่าวขอบคุณผู้จัดการ จากนั้นก็ให้พี่เสียวหม่าไปซื้อไข่ไก่

พี่เสียวหม่าตอบกลับอย่างนอบน้อมว่า “พี่โซ่ว คนพวกนี้แค่เป็นผู้ดูแลเท่านั้น…”

“พูดอะไรไร้สาระ รีบไปเร็วเข้า ไม่อย่างนั้นฉันจะตีนายให้ตายเลย!”

“เฮ้อ ฉันไปอยู่แล้ว พี่อย่าโมโหสิ ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ เหอะๆ แค่พูดเฉยๆ เอง” พี่เสียวหม่ารีบวิ่งกุลีกุจอออกไปทันที

ผู้จัดการพูดขึ้นมาอีกว่า “สามวันแรกของการอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาอนุบาลเป็นช่วงปรับตัว ปกติพวกมันจะไม่ค่อยทานอาหาร มันจะพึ่งพาอาศัยพลังงานที่เหลืออยู่ในร่างกายในการใช้ชีวิต แต่หลังจากสามวัน คุณจำเป็นที่จะต้องให้อาหารพวกมัน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะนำไขมันในร่างกายมาใช้ ตอนนี้พวกมันยังเล็ก อาจจะหิวตายได้ภายในไม่กี่วัน”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน คนที่เลี้ยงปลานั้นรู้ดี เพื่อให้แน่ใจว่าลูกปลาจะรอดตายได้ ตอนที่เริ่มต้นเลี้ยงปลา พวกเขาจำเป็นที่จะต้องหาเหยื่อที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและเหมาะสมกับพวกมัน ที่บ้านเกิดของฉินสือโอวมีการเรียกเหยื่อพวกนี้ว่า การให้อาหารแบบเปิด

ผู้จัดการยังบอกย้ำอีกว่า ไข่แดงที่เตรียมไว้เป็นอาหารที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง แต่ว่าพวกมันอาจจะยังไม่หิว ดังนั้นเพียงแค่ใส่ลงไปในบ่อเพียงบางส่วนก็พอแล้ว ให้พวกมันแย่งกันกินก็พอ

อาหารแบบเปิดอื่นๆ ยังมีจำพวกนมถั่วเหลืองที่มีกากใยหยาบๆ โรติเฟอร์ สาหร่ายและพวกจุลชีววิทยาทางน้ำและอื่นๆ อีกมากมาย บริษัทเนอสเซอรี่จะมีอาหารจำพวกนี้อยู่ เพื่อให้อาหารปลาในบ่อเลี้ยงปลาอนุบาลพวกนี้ ก่อนหน้านี้พวกมันก็ทานอาหารประเภทนี้

อาหารปลาสำหรับบ่อเลี้ยงปลาอนุบาลเป็นสิ่งที่เฉพาะเจาะจงมาก ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวไม่เข้าใจถึงตลาดอาหารพวกนี้ แต่ตอนนี้เขาได้เตรียมการทำอาหารปลาไว้แล้ว เขาจึงตั้งใจศึกษาเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำให้พบว่าอาหารในประเทศของตัวเองนั้นไม่ได้แย่กว่าของแคนาดาเลย

ปลาที่แคนาดาเป็นปลาทะเลซะส่วนใหญ่ ลูกป่าส่วนมากเลยเป็นสัตว์ตามธรรมชาติ พวกมันจึงเต็มไปด้วยพลังงาน ขอเพียงได้กินอาหารที่เหมาะสมก็เพียงพอแล้ว ฉินสือโอวจึงเลือกสาหร่ายมาเป็นวัตถุดิบหลักในการทำอาหารหยาบ

เนื่องจากส่วนมากในประเทศปลาที่เพาะเลี้ยงเป็นปลาน้ำจืด จำเป็นที่จะต้องพิถีพิถันมากกว่า อาหารที่เป็นที่นิยมในตลาดคือปลาสามชนิด ซึ่งเป็นอาหารของปลาในบ่อเลี้ยงปลาอนุบาลและปลาตัวเต็มวัย

อาหารที่บริษัทเนอสเซอรี่เตรียมไว้นั้นส่วนใหญ่เป็นโรติเฟอร์ และจุลชีววิทยาบางอย่าง

โรติเฟอร์เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังตัวเล็กๆ ชนิดหนึ่งที่มักจะอาศัยอยู่ตามบริเวณน้ำเค็มหรือบริเวณแถวๆ ทะเลสาบ บ่อน้ำและน่านน้ำชายฝั่งทะเล และพวกมันก็ยังปรากฏอยู่ตามบริเวณพื้นที่ชื้นและพื้นที่ที่เต็มไปด้วยมอสอีกด้วย

พวกมันมีอัตราการแพร่พันธุ์ที่รวดเร็วมาก การขยายพันธุ์สูง จึงทำให้เป็นอาหารหลักของลูกปลาทะเล อาหารปลาแบบเปิดที่ประเทศจีนพัฒนาขึ้นมานั้น ส่วนมากเป็นพวกโรติเฟอร์ ส่วนของแคนาดานั้นใช้สาหร่ายทะเลเป็นหลัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเงื่อนไขที่ต่างกันของทั้งสองประเทศ

ฉินสือโอวเชิญผู้จัดการบริษัทเนอสเซอรี่และพวกคนขับรถมาทานอาหารเย็นด้วยกัน ภายในงานเลี้ยง ผู้จัดการท่านนั้นพูดขึ้นว่า “พี่น้อง ผมมาดูแล้ว คุณจริงใจพอสมควร งั้นผมจะพูดตรงๆ เลยแล้วกัน บริษัทเนอสเซอรี่ของพวกเราเป็นบริษัทที่ดี คุณวางใจเถอะ แต่ว่าราคามันค่อนข้างแพง ที่พวกเราขายราคาแพงนั้นก็มีเหตุผล ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรต้องพูดมากนัก”

“ดังนั้น ผมแนะนำว่าคุณไม่ต้องไปเสียเวลาซื้อปลาทั้งสามชนิดมาทำอาหารหรอก คุณสามารถเข้าไปในเมืองแล้วไปยังร้านขายน้ำเต้าหู้ได้เลย เพียงแค่ซื้อน้ำเต้าหู้มาเยอะหน่อย หลังจากนั้นสามวันก็เทลงบ่อไปวันละห้าหกสิบถัง แบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว”

ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า เขาไม่ได้สนใจ เพราะว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องจำนวนเงินอยู่แล้ว พ่อของฉินสือโอวจำได้ขึ้นใจเลยว่า สองสามวันนี้ฉินสือโอวเสียเงินแบบไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิด แต่เขารู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาอ่างเก็บน้ำ สร้างอ่างเก็บน้ำ ซื้อลูกปลา การซื้อพันธุ์ไม้น้ำต่างๆ ของพวกนี้เป็นการใช้เงินมหาศาล พอซื้ออ่างเก็บน้ำมาได้ไม่กี่วัน ก็ใช้เงินไปแล้วกว่าสองล้านกว่าบาท ใช้เงินเหมือนเทน้ำแบบนี้ ซื้อสุนัขยังใช้เงินตั้งหนึ่งหมื่นหยวนเลย!

ดังนั้นวันรุ่งขึ้น เขาจึงออกไปที่ร้านขายน้ำเต้าหู้เพื่อซื้อนมถั่วเหลืองพร้อมกากถั่วเหลือง ฉินสือโอวบอกว่าไม่ต้อง แต่เขาตอบกลับอย่างโมโหว่า “อะไรที่บอกว่าไม่ต้องเหรอ? แกนี่นะ ไม่กี่วันก็ผลาญเงินไปเท่าไรแล้ว! สามารถประหยัดเงินได้แล้วจะไปเสียเงินเพิ่มทำไมกัน?”

ฉินสือโอวหมดคำพูด เขาพูดออกมาว่า “พ่อ มันไม่เหมือนกัน พ่อประหยัดเงินแต่ก็เปลืองแรง ถ้ามีแรงขนาดนั้นสู้ออกไปหาเงินไม่ดีกว่าเหรอครับ”

พ่อของฉินสือโอวยิ่งโกรธหนักเข้าไปใหญ่ “แกนี่นะ ทำไมตอนนี้ถึงได้ขี้เกียจแบบนี้ฮะ? แค่ออกไปซื้อน้ำเต้าหู้ จะเปลืองแรงแค่ไหนเชียว? คนที่มีแรงอย่างแก นั่นแหละที่มีค่าจริงๆ”

ฉินสือโอวรู้ว่าตัวเองนั้นเข้ากับพ่อไม่ค่อยได้ เพราะมีความคิดที่แตกต่างกัน เขายกมือขึ้นยอมแพ้ จากนั้นก็ออกไปพร้อมกับพี่สาวและพี่เขย เพื่อพาวินนี่ไปหาต้วนเหล่ยในเมือง นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำที่บ้าน หลังจากเจอต้วนเหล่ย เขาก็จะกลับแล้ว

ในขณะที่นั่งอยู่บนรถ ฉินสือโอวกอดลูกสาวและถอนหายใจออกมา “กลับบ้านครั้งนี้ เป็นการรีบมารีบกลับจริงๆ ไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติและบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเลย ไม่ทันไรก็ต้องกลับแล้ว”

วินนี่พูดงึมงำว่า “คุณจะอยู่ต่ออีกสักสองสามวันก็ได้นะคะ ไปเมืองไหเต่าเพื่อไปหาคนรักของคุณ ไปปักกิ่งเพื่อไปหาน้องสาวของคุณ ฉันจะพาลูกกลับไปก่อน อีกอย่างก็ยังมีเด็กๆ ที่บ้านเรียกร้องหาอยู่ด้วย”

จู่ๆ ฉินสือโอวก็รู้สึกหมดแรง เขาพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อยว่า “คนรักและน้องสาวอะไรกันล่ะ? คุณไม่ได้เป็นคนพูดพล่ามแบบนี้นี่? แล้วยังเจ้าพวกที่ร้องเรียกพวกนั้นอีก มีแค่หู่จือกับเป้าจือพวกนั้นนั่นแหละที่ร้องเรียกอย่างกับเด็กๆ!”

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท