ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1574 การต่อสู้ของหู่จือเป้าจือ

บทที่ 1574 การต่อสู้ของหู่จือเป้าจือ

เมื่อเครื่องบินร่อนลงจอดที่สนามบินเล็กๆ ของเกาะแฟร์เวล ก็เป็นช่วงเวลาเช้าตรู่ของอีกวันพอดี

พระอาทิตย์ยามเช้ากำลังขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงที่ไม่สว่างจนเกินไปทำให้ท้องฟ้าทิศตะวันออกถูกแต่งแต้มไปด้วยสีขาวนวล เด็กหญิงตัวน้อยยังคงนอนหลับอยู่ ฉินสือโอวอุ้มเด็กน้อยที่อยู่ในกระเป๋าเป้เด็กไว้ที่ด้านหน้า มือและขาของเธอเกาะอยู่ที่ร่างของฉินสือโอว เหมือนกับหมีโคอาล่าที่กำลังหลับ

เมื่อพวกเขาลงมาจากเครื่องบิน ก็มีเสียงเห่าของหู่จือและเป้าจือ รวมถึงเสียงหอนของหลัวปอดังมาจากที่ไกลๆ บนท้องฟ้ามีเงาของสิ่งมีชีวิตสามตัวโฉบลงมาจากท้องฟ้า พวกของบุชบินลงมาหาพวกเขาด้วยความดีใจ

บุชและแคลร์บินลงมาเกาะที่ไหล่ของฉินสือโอว พวกมันกางปีกออกและใช้ปีกตบหน้าฉินสือโอวอยู่หลายที ปากก็ส่งเสียงร้อง พร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกัน ท่าทางของพวกมันดูน่ากลัวมาก…เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ พวกมันไม่มีวิธีที่จะแสดงความรู้สึกแบบอื่น

แต่ว่าฉินสือโอวก็ตัดสินไปแล้วว่า เจ้าพวกนี้ไม่ได้แสดงท่าทีต้อนรับเขาแต่เป็นการทำโทษเขา ทำไมไม่เห็นหน้าตั้งหลายวัน? ไม่อยากเลี้ยงพวกเราแล้วใช่ไหม? รู้ไหมว่าเป็นห่วงขนาดไหน?

พวกมันทำตัววุ่นวาย จนเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เธอเงยหน้าขึ้นมองพวกมันอย่างไม่พอใจ เจ้าพวกนี้มาทำอะไรกัน?

เมื่อแคลร์เห็นเถียนกวา มันจึงหยุดตบฉินสือโอว แต่หัวมาตบหัวเถียนกวาแทน หลับนะหลับ หลับจนเป็นอัมพาตไปเลย!

เด็กหญิงตื่นเต็มตัว เด็กหญิงตัวน้อยถูกปลุกให้ตื่นแล้วยังโดนตีอีก จู่ๆ เธอก็ยื่นมือออกไป แล้วคว้าปีกของแคลร์กระชากลงมา

นี่คือความโกรธของเด็กหญิงตัวน้อย เธอไม่ได้ร้องโวยวาย แต่เธอลงมือทำทันที!

แคลร์กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด มันรีบหุบปีกลงและหลบมือของเสี่ยวเถียนกวา

ในมือของเด็กหญิงมีขนนกติดอยู่ พลางมองไปยังแคลร์ด้วยสายตารังเกียจ ปากเล็กๆ พึมพำออกมาว่า “ตี! กวากวาตี!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมา พลางหันไปพูดกับวินนี่ว่า “ต่อไปถ้ามีลูกชาย ผมจะให้ลูกชื่อว่าโม๋กู่ แบบนี้เถียนกวาก็จะพูดว่า ‘โม๋โม๋ต่า’ ที่แปลว่าจุ๊บๆ แบบนี้คงจะสนุกดี เนอะ?”

วินนี่ที่กำลังช่วยเขาจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของเถียนกวายิ้มออกมาพลางพูดว่า “ดีค่ะ เอาตามที่คุณว่าเลย คุณชอบชื่อไหนก็เอาชื่อนั้น”

หู่จือและเป้าจือวิ่งมาหาแต่ไกล วินนี่ย่อตัวนั่งลงเพื่อกอดพวกมัน เด็กน้อยทั้งสองตัววิ่งวนรอบพวกเขาไปมา จากนั้นก็ยื่นลิ้นออกมาเลียมือของฉินสือโอวและวินนี่

ช่วงเปลี่ยนกะ บีบีซวงและทริกเกอร์ขับรถมารับพวกเขา ฉินสือโอวถามออกไปว่า “สองสามวันมานี้ที่บ้านมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?”

บีบีซวงหาวแล้วพูดออกมาว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ไม่มีเรือขโมยปลา ไม่มีเรื่องวุ่นวาย ไม่มีโรคเกิดขึ้นในปลา มีเพียงหู่จือและเป้าจือที่ดูเหมือนหงุดหงิดมาก แต่ดูเหมือนพวกมันจะอยู่ในช่วงติดสัด”

วินนี่ที่กอดหู่จือตะโกนกลับไปว่า “อย่ามาพูดอะไรซี้ซั้วนะ พวกมันเพียงแค่คิดถึงฉันก็เท่านั้น…”

ในหมู่สุนัข มีเพียงตัวเมียเท่านั้นที่มีช่วงเวลาแห่งความต้องการที่จะแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน แต่เพศผู้นั้นพวกมันสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา เมื่อสุนัขตัวเมียส่งเสียงร้องและส่งกลิ่นพิเศษออกมา เมื่อตัวผู้ได้กลิ่นพวกมันก็จะเข้าไปผสมพันธุ์ด้วย พวกมันไม่มีทางที่จะส่งคำเชิญด้วยตัวเองเด็ดขาด

แต่ว่า ก็จะมีช่วงเวลาที่เฉพาะเจาะจงอย่างเช่นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เพศเมียมีความต้องการสูง ในช่วงเวลานี้ตัวผู้ก็จะมีอาการตื่นเต้นเช่นเดียวกัน หากว่ากันตามสามัญสำนึกของพวกมันแล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่จำเป็นจะต้องพาพวกมันออกไปเดินเล่น

เป้าจือบิดตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายในอ้อมกอดของฉินสือโอว มันอ้าปากกัดชายเสื้อของฉินสือโอวเบาๆ ฉินสือโอวยื่นมือออกไปลูบหัวของเป้าจือ จากนั้นมันก็หันหัวมางับมือของฉินสือโอวเบาๆ

จากท่าทางของมัน ฉินสือโอวคิดว่าพวกมันคึกคักผิดปกติ สงสัยจะต้องพาพวกมันไปคลายเครียดเสียหน่อย

แลบราดอร์พวกนี้ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป พวกมันอายุสามขวบแล้ว หากนับอายุคนก็เท่ากับวัยรุ่นแล้ว พวกมันสามารถมีความรักได้แล้ว

ไม่นาน วินนี่ก็สังเกตเห็นเช่นกัน เพราะว่าหลังจากที่กลับบ้านไปให้อาหารแลบราดอร์แล้ว พวกมันทั้งสองตัวไม่ยอมกินอาหารดีๆ กินได้สองคำก็เล่นกันเสียงดังอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลับมากินต่อ

ครั้งนี้พวกเขาอยู่บ้านค่อนข้างนาน ใช้เวลากว่ายี่สิบวัน พอกลับมาก็เป็นช่วงต้นเดือนเมษายนแล้ว อากาศเริ่มอุ่นขึ้น ทำให้บรรยากาศฝนเกาะจึงเริ่มเห็นสีเขียวขึ้น

ในเวลายี่สิบวันนี้ ฟาร์มปลาเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก สวนดอกไม้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง สวนถูกแบ่งออกเป็นสี่แบบ วัสดุที่จำเป็นส่วนใหญ่มาถึงแล้ว หินบางส่วนถูกทำขึ้นมาแล้ว นอกจากนี้ยังมีต้นไม้สีเขียวและดอกไม้นานาชนิด ส่วนที่เหลือนั้นอันเดร์ได้สั่งให้คนงานประกอบแล้ว

นอกจากนี้ หม้อน้ำของวิลล่าและท่อประปาได้รับการปรับปรุงแล้วเรียบร้อย ทุกอย่างถูกเปลี่ยนเป็นของใหม่หมด เหล่าเด็กวัยรุ่นกำลังช่วยกันทำความสะอาดทั้งด้านนอกและด้านในวิลล่า ชาร์คและคนอื่นๆ กำลังทาสีผนังด้านนอกวิลล่า ตอนนี้แดดกำลังออก เลยทำให้วิลล่าดูสว่างขึ้นมา ราวกับเป็นบ้านหลังใหม่

หลังจากที่ฉินสือโอวกลับมาเขาก็หลับไปอย่างยาวนาน เขาถูกปลุกด้วยเสียงดังของเด็กๆ วินนี่ยังคงนอนหลับอยู่ บนเครื่องบินเขาและเถียนกวาต่างพากันส่งเสียงดัง ซึ่งไม่ง่ายเลยสำหรับเธอ

ฉินสือโอวนั่งพิงฉงต้าอยู่บนสนามหญ้าสีเขียว เขาอุ้มหมีโลลิขึ้นมากอด จากนั้นก็มองไปยังหู่จือกับเป้าจือที่กำลังต่อสู้กันด้วยรอยยิ้ม

พี่น้องเฟอเรทกำลังเดินเล่นอยู่ด้วยกัน ฉินสือโอวกวักมือเรียกพวกเขา พวกมันทั้งสองตัวหันไปรอบๆ อย่างหยิ่งยโส โดยที่ไม่สนใจเขาเลยสักนิด

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา พวกนายเก่งขนาดนั้นเลยหรอ? ดีมาก เขาผิวปากพลางชี้นิ้วไปยังพี่น้องเฟอเรท หู่จือและเป้าจือเงยหน้าขึ้นมามองทันที พี่น้องเฟอเรทรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง พวกมันจึงออกวิ่งทันทีตามสัญชาตญาณ

ปรากฏว่าพวกมันออกตัวช้าเกินไป หู่จือและเป้าจือวิ่งเร็วมาก เพียงไม่กี่ก้าว หู่จือก็จับเฟอเรทผู้พี่ได้ และเป้าจือก็จับเฟอเรทผู้น้องได้ พวกมันทำเวลาเกือบจะพร้อมกันเลยมีเดียว

ฉินสือโอวกำลังจะสั่งให้พวกมันพาเฟอเรทมาส่ง ปรากฏว่าแลบราดอร์ปล่อยพี่น้องเฟอเรทลง ภาพตรงหน้าทำให้ฉินสือโอวรู้สึกสับสน หู่จือกับเป้าจือจะทำอะไรอย่างนั้นเหรอ?

พี่น้องเฟอเรทวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หู่จือและเป้าจือมองตากันและกัน พวกมันจ้องมองกันไม่วางตา โดยที่ไม่ได้สนใจเฟอเรทเลย

จนเมื่อพวกเฟอเรทวิ่งหนีไปได้ค่อนข้างไกล แววตาของหู่จือและเป้าจือก็เปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นพวกมันก็พุ่งตัวออกไปราวกับจรวด พวกมันพุ่งตัวไล่พี่น้องเฟอเรทอย่างรวดเร็ว

พี่น้องเฟอเรทไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกมันแยกกกันหนี ปรากฏว่าพวกมันทั้งสองก็ถูกหู่จือและเป้าจือจับได้ในเวลาไล่เลี่ยกันอีกครั้ง

และด้วยเหตุนี้หู่จือและเป้าจือก็ปล่อยเฟอเรทลงอีกครั้ง ฉินสือโอวกำลังสับสนเป็นอย่างมาก แลบราดอร์พวกนี้กำลังทำอะไรกันอยู่นะ?

พี่น้องเฟอเรทยังคงวิ่งต่อไป ผ่านไปไม่นาน หู่จือและเป้าจือก็พุ่งตัวออกไปไล่เฟอเรทอีกครั้ง ครั้งนี้หู่จือเป็นผู้จับเฟอเรทผู้พี่ขึ้นมาได้ก่อน เป้าจือช้าไปเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น หลังจากที่จับเฟอเรทผู้น้องได้ มันก็เงยหน้าขึ้นมามอง หู่จืออยู่ที่นั่นทำหน้าอวดอำนาจของตัวเองอยู่

ทันใดนั้นเป้าจือก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที มันสะบัดหัวเพื่อปล่อยเฟอเรทผู้น้องไป หู่จือก็ปลอยเฟอเรทผู้พี่ไปเหมือนกัน หลังจากนั้นมันก็ร้องคำรามให้เป้าจือด้วยความภูมิใจ

การปล่อยเฟอเรทในครั้งนี้ พวกมันไม่ได้วิ่งหนีอีกแล้ว ต่อให้วิ่งก็วิ่งไม่ออก พวกมันมองไปยังแลบราดอร์ด้วยสายตาดุด่า แม่เจ้าพวกนี้สิ คิดว่าเป็นแมวไล่จับหนูรึไง? การแกล้งพวกเราแบบนี้มันดีจริงๆ งั้นเหรอ?

พวกมันทั้งสองตัวเริ่มไม่อยากต่อสู้ จึงวิ่งไปหาฉินสือโอวแทน แค่วิ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของฉินสือโอว ก็โอเคแล้ว พวกเรายอมแล้ว เรื่องนี้ให้มันจบลงแบบนี้แล้วกัน โอเคไหม? พวกเรามาจับมือและสงบศึกกันเถอะ โอเคไหม?

หู่จือและเป้าจือไม่สนใจพวกมัน เมื่อได้ยินเสียงร้องของหู่จือ เป้าจือก็มองไปยังหู่จืออย่างมืดมน จากนั้นเป้าจือก็กระโจนเข้าหาหู่จือจนมันล้มลงกับพื้น

หู่จือโดนจับอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่หลังจากนั้นมันก็ตอบสนองกลับไปอย่างรวดเร็ว มันเตะร่างของเป้าจืออย่างแรงจนตัวลอย จากนั้นมันก็ลุกขึ้นและร้องคำรามออกมาพลางพุ่งตัวเข้าใส่…

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท