ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1575 หญิงงามกับชายทั้งสอง

บทที่ 1575 หญิงงามกับชายทั้งสอง

เพียงเท่านี้ การต่อสู้ระหว่างสองพี่น้องหู่จือและเป้าจือก็เริ่มขึ้น

อันดับแรก เป้าจือพุุ่งตัวเข้าใส่หู่จือราวกับเสือผู้หิวโหย จากนั้นหู่จือก็เตะเป้าจือกลับราวกับกระต่ายที่เตะนกอินทรี

หลังจากที่ลุกขึ้นมาได้ หู่จือก็พุ่งเข้ามาราวกับงูขาว มันพุ่งตัวเอาหัวโหม่งเข้ากับหัวของเป้าจือ เป้าจือขยับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีก่อน จากนั้นมันก็สะบัดหาง แล้วม้วนตัวใช้เท้าหลังเตะเข้าไปที่หู่จือ

หู่จือโมโหเป็นอย่างมาก มันใช้เคล็บลับของนกกระเรียนสีขาว โดยการวิ่งไปที่ด้านหน้าของเป้าจือจากนั้นก็ใช้อุ้งเท้าตบเข้าที่หัวของเป้าจืออย่างแรง หมัดชุดราชาแปดกระบวนท่านี้มีจังหวะที่รวดเร็วมาก เป้าจือถูกตีจนไม่สามารถลืมตาได้ แต่มันก็ยังมีจิตวิญญาณในการต่อสู้ แต่ประสบการณ์การต่อสู้มากมาย เมื่อได้โอกาสเป้าจือก็ใช้เท้าแหวกหน้าอกของหู่จือ เมื่อหน้าอกของหู่จือถูกเปิดออก มันก็ใช้หัวของตัวเองพุ่งเข้าชน

นี่เป็นการใช้ประโยชน์จากการป่วยในการฆ่าอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเป้าจือนั้นมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ข้างถนนเป็นอย่างมาก มันใช้จังหวะนี้ในการพุ่งเข้าชนอีกครั้ง มันอ้าปากก้มลงเพื่อที่จะกัดที่คอของหู่จือ มันอยากจะกดหู่จือให้จม

หู่จือไม่ยอมที่จะยอมแพ้ มันกางเล็บทั้งสองข้างออกและข่วนเข้าที่ใบหน้าของเป้าจือ กระบวนท่านี้เรียกว่ามังกรไล่ลูกกวาด ท่านี้มีความรุนแรงมาก เป้าจือถูกข่วนเข้าที่มุมปากอย่างไม่ทันตั้งตัว ในที่สุดมันก็เจ็บจนต้องถอยหลังไป

จากนั้นหู่จือก็กระโดดตัวขึ้น หู่จือยังคงต่อสู้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นท่างมพระอาทิตย์ใต้มหาสมุทร ลิงขโมยลูกท้อ นางฟ้ากังฟู ฝ่าเท้าฮ่องกงไร้พ่าย กำปั้นสะท้านฟ้า กระบวนท่ากังฟูถูกนำออกมาใช้ทั้งหมด

ฉินสือโอวมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้นะ? ทั้งสองตัวที่รักใคร่ราวกับพี่น้องทำไมถึงได้ทะเลาะกันได้ล่ะ? ตอนแรกเขาคิดว่าพวกมันแค่เล่นกัน แต่ปรากฏว่า พวกมันทะเลาะกันจริงๆ!

หลังจากที่เขาสังเกตแล้ว หู่จือเก่งในการใช้หมัดและกรงเล็บ เช่นท่าอินทรีข่วน ท่ามังกรรีดนม ซึ่งท่าพวกนี้ทำให้เป้าจือกลายเป็นเหยื่อ เป้าจือก็ไม่ยอมน้อยหน้า การต่อสู้กับแบบกะทันหันและการหลบหลีกของมันนั้นดีมาก มันสามารถหาทางออกแม้แต่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังได้เสมอ เรียกได้ว่าได้รางวัลการโจมตีพิเศษไปเลยสองร้อยเปอร์เซ็นต์

แม่งเอ๊ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ฉินสือโอวส่ายหัวไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาวิ่งเข้าไปและตะโกนให้หู่จือและเป้าจือแยกออกจากกัน พวกมันทั้งสองตัวยังคงแยกเขี้ยวให้กัน ท่าทางไม่รักกันเลยแม้แต่น้อย

ฉินสือโอวลากพวกมันกลับมา พวกมันไม่อยากวางมือ พวกมันจ้องมองตากันและกัน ด้วยเหตุนี้ท่านชายฉินจึงโมโหออกมา เขาตะโกนออกมาว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน? เป็นพี่น้องกันทำไมถึงทะเลาะกัน?”

เมื่อถูกฉินสือโอวดุ พวกมันทั้งสองตัวก็เชื่อฟังขึ้นมา พวกมันก้มหัวอย่างไม่เต็มใจ แกล้งทำเป็นฟังคำสอนของเขา ทั้งที่ที่จริงแล้วพวกมันยังคงแอบเขม่นกันอยู่เงียบๆ

ฉินสือโอวไม่อยากจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ดุพวกมันแล้วเห็นว่าพวกมันรู้สึกสำนึกผิดแล้ว จึงปล่อยพวกมันไป

ต่อมา หู่จือและเป้าจือก็วิ่งไปหาเสี่ยวหลัวปอ พวกมันทั้งสองตัววิ่งลิ้นห้อยไปอยู่ด้านหน้าหลัวปอราวกับเป็นสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง จากนั้นก็มองไปยังหลัวปอด้วยสายตารังเกียจ

เสี่ยวหลัวปอมองดูทั้งสองตัวนั้นด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์แล้วค่อยๆ เดินถอยหลังออกมา แต่แลบราดอร์ทั้งสองยังคงเดินตามมันมา หมดความอดทนแล้ว เสี่ยวหลัวปอเดินเข้าไปด้านหน้าหู่จือแล้วแลบลิ้นออกไปเลียหน้าของหู่จือ

หู่จือแสยะยิ้มออกมาแทบจะถึงด้านหลัง เป้าจือไม่พอใจเป็นอย่างมาก มันร้องคำรามใส่หู่จือด้วยความไม่พอใจ ราวกับหมาป่าผู้หิวโหยแกะก็ไม่ปาน…

เพราะแบบนี้ฉินสือโอวจึงเข้าใจขึ้นมาในทันที แลบราดอร์กำลังแข่งกันเพื่อแย่งชิงหลัวปอ พวกมันไม่ได้ต่อสู้เพราะเรื่องของตัวเอง แต่พวกมันต่อสู้เพื่อที่จะตัดสินใจว่าใครจะได้ครอบครองเสี่ยวหลัวปอ!

หมาป่าขาวตัวนี้อายุหนึ่งขวบครึ่งแล้ว แม้ว่าในสายตาของฉินสือโอวและวินนี่พวกมันจะเป็นเด็ก แต่อันที่จริงแล้วในมุมของหมาป่าขาว อายุเท่านี้เท่ากับเป็นสาววัยสะพรั่งแล้ว ร่างกายของมันอาจจะมีกลิ่นหอมแห่งการเชิญชวน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หู่จือและเป้าจือตื่นเต้น และเป็นที่มาของการต่อสู้อย่างดื้อรั้นของสองพี่น้อง…

อันที่จริงแล้วมันเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดมาก ฉินสือโอวสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในฐานะผู้สังเกตการณ์ หมาป่าขาวไม่ได้สนใจหู่จือและเป้าจือเลยสักนิด ความต้องการครั้งแรกของตัวเมียนั้นไม่ได้รุนแรงมากนัก และสิ่งที่ดีที่สุดคืออย่าไปจับคู่พวกมัน แบบนี้ก็สามารถป้องกันการผสมพันธุ์ได้

ดังนั้นหมาป่าขาวตัวนี้จึงไม่ได้มีอะไรผิดปกติ และหู่จือและเป้าก็ไม่ได้ทำตัวรุ่มร่าม เหมือนว่าเจ้าแลบราดอร์ทั้งสองตัวนี้จะไปก่อกวนเสี่ยวหลัวปอเสียมากกว่า เสี่ยวหลัวปอนั้นฉลาด มันรู้วิธีที่จะยั่วโมโหสองหนุ่มนี้ดีทีเดียว

บางครั้งมันก็เข้าไปใกล้หู่จือและบางทีก็เข้าใกล้เป้าจือ หนุ่มๆ ทั้งสองจึงคิดว่าหลัวปอเป็นของตัวเอง พวกมันจึงเริ่มต่อสู้กันไม่หยุด จึงไม่แปลกเลยที่บีบีซวงจะบอกว่าช่วงนี้หู่จือและเป้าจือมีท่าทีขุ่นเคืองใส่กัน

เมื่อดูท่าทีของหมาป่าขาวกับแลบราดอร์แล้ว ฉินสือโอวก็เห็นท่าทางของวีรสตรีจากท่าทางของมัน ใช่แล้ว มันคือกั่วฟู่จาก เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี แล้วหู่จือกับเป้าจือล่ะ? ไม่ต้องบอกเลย พวกมันก็คือสองพี่น้องต้าอู่และเสี่ยวอู่นั่นเอง

เสียดายที่สองพี่น้องตระกูลอู่ไม่ได้สังเกตเลยว่า หญิงงามกั่วฟู่ไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สวมชุดเกราะกับหูกระต่าย ในสายตาคนทั่วไปพวกมันก็เป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา

ฉินสือโอวเดินเข้าไปลากหู่จือและเป้าจือออกมา หลังจากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาสเตราท์ว่า “สวัสดี โคล เป็นยังไงบ้าง? ไม่ได้คุณกับนายนานเลย คิดถึงนายนะ ตอนนี้สะดวกคุยหรือเปล่า?”

โคล สเตราท์ยิ้มออกมาพลางพูดว่า “แน่นอน ฉันก็คิดถึงนาย ฉิน ฉันคิดถึงวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของฟาร์มปลานายเหลือเกิน คิดถึงอาหารทะเลและผลไม้สดๆ ที่ฟาร์มปลาของนาย ถ้ามีเวลา ฉันจะไปพักผ่อนที่นั่น”

ฉินสือโอวกระแอมออกมาแล้วเข้าเรื่องทันที “เพื่อน นายชอบหู่จือและเป้าจือมากใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินดังนั้น โคลก็ตะโกนออกมาอย่างดีใจว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ฉิน นายจะยกหู่จือและเป้าจือให้ฉันเหรอ? ฉันชอบพวกมันมากเลย นายเอาพวกมันมาให้ฉันเถอะ”

ใบหน้าของฉินสือโอวเต็มไปด้วยเหงื่อ คิดในใจว่าโคลคิดมากเกินไปแล้ว เขาพูดออกมาว่า “ไม่ใช่ นายเข้าใจผิดแล้ว ที่ฉันจะบอกก็คือ นายจะชอบลูกของหู่จือและเป้าจือหรือเปล่า? พวกมันถึงเวลาผสมพันธุ์แล้ว ทำไมนายไม่พาแลบราดอร์แสนน่ารักของนายทั้งสองตัวมาที่นี่ล่ะ? แบบนี้นายก็จะได้ลูกของมันไปไงล่ะ”

เมื่อเข้าใจว่าไม่ได้ตัวหู่จือและเป้าจือ โคลก็ผิดหวังนิดหน่อย แต่ว่าพอคิดไปคิดมาเขาก็ดีใจขึ้นมา ลูกของหู่จือและเป้าจือก็ดีเหมือนกัน เขาตอบกลับว่า “งั้นเดี๋ยวสองสามวันฉันไปหา เพื่อน ฉันจะนำแลบราดอร์ที่ดีที่สุดสองตัวไปหานาย”

โคลและพ่อของเขาขอบสุนัขมาก พวกเขาอยากได้หู่จือและเป้าจือมานานแล้ว ฉินสือโอวให้สิทธิ์พวกเขาในการผสมพันธุ์หู่จือกับเป้าจือก็ดีเท่าไรแล้ว แลบราดอร์พี่น้องสองตัวนี้มีชื่อเสียงในแคนาดาเป็นอย่างมาก หากสุนัขธรรมดาต้องการมาผสมพันธุ์กับพวกมัน อย่างน้อยต้องเสียเงินหนึ่งหมื่นถึงหนึ่งแสนดอลลาร์แคนาดาต่อหนึ่งครั้ง

เมื่อวางสาย ฉินสือโอวก็พูดกับแลบราดอร์ทั้งสองว่า “สองสามวันนี้พวกนายทำตัวดีๆ กับฉันหน่อยนะ เข้าใจไหม? ไม่นานก็จะมีสาวสวยมาหาแล้ว พอถึงตอนนั้นพวกนายก็จะสบายแล้ว เข้าใจไหม?”

หู่จือและเป้าจือนั่งลงที่ด้านหน้าเขาอย่างว่านอนสอนง่าย พวกมันมองไปยังฉินสือโอวด้วยสายตาเปล่งประกาย ท่าทางเชื่อฟังจริงๆ

แต่ว่าทันทีที่ฉินสือโอวเดินออกไป เจ้าสองตัวนั้นก็เริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง

ฉินสือโอวรู้สึกเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก เขาบอกเรื่องนี้กับวินนี่ตอนช่วงทานอาหารเย็น วินนี่หัวเราะออกมา เธอกอดเสี่ยวหลัวปอแล้วพูดว่า “ลูกสาวของฉันปฏิบัติต่อพวกมันในฐานะพี่น้องเท่านั้น พวกมันต้องการลูกสาวของฉันอย่างนั้นเหรอคะ ชักจะเกินไปแล้ว!”

ช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน หู่จือและเป้าจือที่นั่งอยู่หน้าประตูบ้านมองไปยังต้นเมเปิลที่อยู่ไกลออกไปด้วยความอิจฉา ที่บนต้นเมเปิลเสี่ยวหมิงที่กำลังเล่นกับฝนและน้ำค้างอยู่ มันใช้ชีวิตกับนางสนมทั้งหกตัวของตนเองอย่างไม่อายฟ้าดินอย่างมีความสุข

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท