ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1580 ล่องแก่งในทะเลสาบ

บทที่ 1580 ล่องแก่งในทะเลสาบ

ปลาบรีมที่อยู่ในทะเลสาบเฉินเป่านั้นเป็นสายพันธุ์แท้ พวกมันชอบอาศัยอยู่บริเวณแม่น้ำที่ไหลช้า หรือนิ่งสงบเหมือนที่ทะเลสาบ ช่วงสืบพันธุ์ของพวกมันอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมไปจนถึงกลางเดือนมิถุนายน พื้นที่วางไข่ของพวกมันอยู่ในบริเวณน้ำตื้นริมท่าเรือของทะเลสาบที่มีพืชน้ำเขียวชอุ่มหรือไม่ก็บริเวณที่เงียบสงบรอบๆ ปากอ่าว

ตอนนี้เป็นช่วงต้นเดือนพฤษภาคม มีปลาบรีมบางส่วนพร้อมที่จะวางไข่แล้ว ตามกฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับการประมงของแคนาดา ไม่อนุญาตให้ตกปลาตัวเมียที่กำลังจะวางไข่ ดังนั้นฉินสือโอสจึงต้องขับเรือออกจากบริเวณที่มีพืชน้ำเขียวชอุ่ม

เขาคุ้นชินกับปลาบรีม เขาสามารถรู้สึกถึงพวกมันได้โดยไม่ต้องใช้จิตสำนึกโพไซดอน พวกมันอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนหน้าหนาวพวกมันชอบอยู่ในน่านน้ำลึก ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการตกปลาบรีม ในช่วงฤดูหนาวพวกมันมักจะใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ที่ใต้ก้นทะเลสาบ ส่วนฤดูนี้พวกมันจะขึ้นมาบนผิวน้ำเพื่อหายใจและหาอาหาร ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่จับพวกมันง่ายที่สุด

เพราะว่าเขามาตกปลา ฉินสือโอวจึงไม่ใช้จิตสำนึกโพไซดอน เขาไม่สามารถโกงการแข่งขันได้

โลลิต้าใส่หนอนทรายบนตะขอ มันเป็นอาหารโปรดของปลาบรีม

ปลาบรีมเป็นปลาที่ไม่เลือกกินอาหาร อาหารหลักของมันเป็นพวกโคลเวอร์ โคพีพอด ริ้นน้ำจืด แมลงน้ำและตัวอ่อนต่างๆ รวมถึงหอยตัวเล็กๆ ที่เปลือกบางด้วย บางครั้งพวกมันก็กินสาหร่ายและต้นอ่อนในน้ำที่มีกากใยสูง รวมถึงใบและเมล็ดต่างๆ

หลังจากที่โยนเบ็ดออกไป ฉินสือโอวก็นั่งอยู่บนดาดฟ้าเรือด้วยท่าทีสบายๆ เขามองดูนักตกปลารอบๆ พลางหยอกล้อกับหู่จือและเป้าจือ

แลบราดอร์ทั้งสองตัวมองไปยังโลลิต้า และก็พบว่าเชอร์ลี่ย์ไม่ได้มีท่าทีสนใจความใกล้ชิดสนิทสนมของพวกมันกับฉินสือโอว พวกมันจึงเล่นกับฉินสือโอวได้อย่างสบายใจ

“ท้องฟ้าสีคราม ทะเลสาบสีใส ทุ่งหญ้าสีเขียว ที่นี่คือบ้านของฉันจริงๆ…”

ฉินสือโอวที่กำลังเล่นกับหู่จือและเป้าจืออยูู่ จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำร้องเพลงสวรรค์ขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงเขาแทบไม่ต้องเงยหน้าดูก็รู้เลยว่านี่เป็นเสียงร้องของชาร์ค

เมื่อชาร์คร้องจบ เสียงของซีมอนสเตอร์ก็ดังขึ้น แต่เขาไม่ได้ร้องเพลงนี้ต่อ “ควบม้าในทุ่งหญ้า ฝูงแกะสีขาวบริสุทธิ์ แล้วยังมีภรรยาอีก นี่ต่างหากคือบ้านของฉัน…”

ฉินสือโอวสอนให้พวกเขาร้องเพลงตั้งนานแล้ว ตอนนั้นพวกเขาอยากจะร้องเพลงเฉลิมฉลองของเมือง แต่เนื่องจากความอยากเรียนภาษาจีนทำให้ยังเรียนไม่จบ แต่ตอนนี้ที่ฟาร์มปลามีคนจีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเพ่าไห่ที่พูดภาษาจีนกลางได้ดีมาก พวกเขาจึงมีครูสอนการสื่อสารที่จำเป็นแล้ว ทำให้ตอนนี้ภาษาจีนของเหล่าชาวประมงไม่เลวเลยทีเดียว

เพลงสวรรค์ เพลงนี้เป็นเพลงที่เรียบง่ายแต่ไพเราะ สิ่งที่สำคัญคือการทำงานของปอดและน้ำเสียง เหล่าชาวประมงฟังเพลงนี้กันบ่อย พวกเขาทุกคนมีเสียงอันทุ้มใหญ่และปอดที่ใหญ่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นเสียงต่ำเสียงสูงพวกเขาก็ร้องได้หมด ในความเป็นจริงแล้วเสียงที่พวกเขาร้องนั้นออกมาจากลำคอ แต่ก็ถือว่าร้องได้ไม่เลวเลย

ตอนนี้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากอยู่ ตอนที่พวกเขาร้องเพลง เหล่านักท่องเที่ยวก็พากันหัวเราะออกมา และต่างพากันปรบมือและส่งเสียงร้องไปกับพวกเขา

ฉินสือโอวยิ้มพลางส่ายหน้า เดิมทีการตกปลาต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ปรากฏว่าคนพวกนี้ส่งเสียงร้องออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับเป็นการจัดงานสังสรรค์ แล้วแบบนี้จะยังตกปลากันอยู่รึเปล่า?

เหล่าชาวประมงร่วมกันร้องเพลงสวรรค์ ทำให้นักท่องเที่ยวสนใจเป็นอย่างมาก และร่วมร้องเพลงไปกับพวกเขา จากนั้นก็กลายเป็นการร้องเพลงเสียงดังไปทั่ว หู่จือและเป้าจือชอบความสนุกสนาน บางครั้งพวกมันก็ส่งเสียงร้องออกมาร่วมด้วยสองสามครั้ง ทำให้บรรยากาศนั้นครึกครื้นยิ่งขึ้น

ทรัพยากรประมงที่ทะเลสาบเฉินเป่านั้นสมบูรณ์เกินไป แม้จะเสียงดัง แต่ก็มีคนตกปลาได้ไม่หยุด

อย่างไรก็ตามปลาที่ตกได้มากที่สุดก็คือปลาคาร์พเอเชีย ฉินสือโอวไม่อยากจับปลาชนิดนี้ ดังนั้นเขาจึงใช้จิตสำนึกโพไซดอนในการไล่พวกมันให้ออกไปใต้น้ำ หากมีปลาคาร์พเอเชียเข้ามา เขาก็จะไล่มันออกไป

ด้วยเหตุนี้ คนหลายคนจึงจับปลาได้ แม้ว่าจะมีปลาบรีมจำนวนไม่มากนัก แต่ยังมีปลาอีกหลายสายพันธุ์ ฉินสือโอวค่อนข้างสงบนิ่ง แต่ยังไม่สามารถจับปลาได้เลย

เชอร์ลี่ย์เริ่มทนไม่ไหว เธอมุ่ยปากพลางพูดออกมาว่า “ปลาล่ะ? ทำไมปลาไม่มาติดเบ็ดเลยล่ะ? พวกเรามีเหยื่อปลาที่ดีที่สุดเลยนะ พวกมันไม่ชอบเหรอ?”

พอเธอพูดจบ ปลาคาร์พตัวใหญ่ยาวเกือบหนึ่งเมตรก็กระโดดขึ้นมาจากเรือ เมื่อปลาขึ้นมาบนเรือ หางปลาก็กระพือไปมาจนน้ำกระเด็น ทำให้เสื้อผ้าของฉินสือโอวและเชอร์ลี่ย์เปียก

เชอร์ลี่ย์อุทานออกมา เมื่อชุดชีฟองสัมผัสกับน้ำ ทำให้ผ้าแนบไปกับลำตัวจนเห็นสัดส่วนมากขึ้น

ฉินสือโอวนำผ้าขนหนูมาให้เชอร์ลี่ย์เช็ด โลลิต้าเขินอายขึ้นมาจริงๆ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ เธอรีบนำผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวทันที “เดี๋ยวหนูเช็ดเองค่ะ”

เมื่อหู่จือและเป้าจือเห็นปลาคาร์พก็อยากจะก่อกวนขึ้นมาทันที มันนอนอยู่บนขอบเรือ แล้วมองไปยังทะเลสาบด้วยความตื่นเต้น

เรือเด็คจอดนิ่งสงบ ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ดังนั้นเรือไม่ได้ทำให้ปลาคาร์พกลัว แต่สาเหตุที่ปลาคาร์พกระโดดขึ้นมาเป็นเพราะพวกมันต้องการกระโดดขึ้นมา

ปลาคาร์พเป็นปลาน้ำจืดที่ชอบกระโดดเป็นอย่างมาก

เมื่อพวกมันกระโดดขึ้นน้ำมาหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นมันก็กระโดดขึ้นมาอีก แต่พวกมันกระโดดขึ้นมาช้าเกินไป พอพวกมันกระโดดขึ้นมา หู่จือและเป้าจือก็ขึ้นไปที่ด้านข้างเรือ ราวกับลูกศรที่พุ่งออกมาจากคันธนู พวกมันพุ่งกระโดดเข้าไปจับปลาคาร์พทีละตัว หลังจากนั้นก็ตกลงไปในน้ำ

สิบวินาทีต่อมา หู่จือและเป้าจือก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำ เป้าจือคาบปลาคาร์พในปากแล้วลากมันขึ้นมา มันนำปลาขึ้นมาให้ฉินสือโอวเพราะอยากได้คำชม

นักท่องเที่ยวที่อยู่รอบๆ ต่างยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป และยังมีคนถามออกมาด้วยความอิจฉาว่า “พี่ชาย สุนัขของคุณพันธุ์อะไร ทำไมพวกมันถึงจับปลาได้ด้วยล่ะ?”

มีคนตอบกลับคนคนนั้นไปว่า “คุณไม่รู้จักพวกมันเหรอ? เดิมทีสุนัขสองตัวนี้เป็นดาราของพื้นที่นี้ คุณไม่ได้เข้าไปในเวยป๋อหรือทวิตเตอร์ของเมืองแฟร์เวลเหรอ? สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์สองตัวนี้ เดิมที่พวกมันเป็นวอเตอร์ สแปเนียล สามารถช่วยชาวประมงจับปลาได้”

ในขณะที่ฉินสือโอวลากปลาคาร์พขึ้นมา เบ็ดตกปลาของเขาก็สั่น เขารีบจับคันเบ็ดและค่อยๆ ลากมันขึ้นมา ปลาบรีมห้อยอยู่ที่ปลายคันเบ็ด

ปลาบรีมสามารถโตได้มากที่สุดเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น ปกติแล้วพวกมันจะโตเต็มที่ประมาณสี่สิบเซนติเมตร ปลาบรีมที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่จะยาวได้ถึงสี่สิบห้าเซนติเมตร เดิมทีรูปร่างของพวกมันเป็นทรงไข่และมีพละกำลังที่แข็งแรงมาก ร่างกายอันแบนราบของพวกมันมีกำลังที่แข็งแรงมาก หลังจากที่มันโผล่ออกมาจากน้ำ มันก็ดิ้นไปมาไม่หยุด

เชอร์ลี่ย์หยิบกล่องพลาสติกขึ้นมาด้วยความดีใจ ข้างในกล่องบรรจุไปด้วยก้อนน้ำแข็ง ฉินสือโอวชำแหละปลาตรงนั้นจนเลือดไหลออกมา หลังจากที่ปลาบรีมตายเลือดของมันก็กระจัดกระจายไปทั่ว แม้ว่าเลือดของมันจะไม่ส่งผลต่อรสชาติเหมือนกับปลาทูน่า แต่ว่าอย่างไรก็ส่งผลกระทบแน่นอน ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือต้องเอาเลือดออกให้หมดก่อน

ในขณะที่กำลังตกปลา กลิ่นปลาย่างก็หอมกรุ่นไปทั่วทะเลสาบ ควันลอยคละคลุ้ง ฉินสือโอวเห็นว่ามีเตาย่างหลายเตาตั้งอยู่ทั่ว นักท่องเที่ยวนำปลามาย่างทันที

หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ส่งเบ็ดให้กับเชอร์ลี่ย์ เขาสอนเธอให้ตกปลา อันที่จริงมันเป็นเรื่องง่ายๆ ตอนนี้ปลาบรีมลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ดังนั้นเธอจึงสามารถตกปลาที่อยู่บนผิวน้ำได้ เพราะแบบนี้จึงสามารถเห็นน้ำกระเพื่อมไปมาได้ เหยื่อปลาถูกดึงให้จมลงไปในน้ำ

เพื่อที่จะสร้างความสนใจให้เชอร์ลี่ย์ ฉินสือโอวจึงขยับนิ้ว เรียกให้ปลาบรีมเข้ามาหา

หนอนถั่วลิสงที่มาจากฟาร์มปลามีรสชาติที่ดึงดูดปลาบรีมเป็นอย่างมาก พวกมันไม่เข้ามาใกล้เลย เพราะเมื่อเข้ามาใกล้แล้วก็จะถูกตะขอเกี่ยวไปทันที

ปลาบรีมถูกตกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เชอร์ลี่ย์ร้องออกมาด้วยความดีใจว่า “ปลาติดเบ็ดแล้ว ติดเบ็ดแล้ว!”

หู่จือและเป้าจือกระโดดลงไปช่วยด้วยความเคยชิน แต่ว่าปลาตัวนี้ทำแบบนั้นไม่ได้ ปลาบรีมไม่ได้มีน้ำหนักมาก ผู้หญิงอย่างเชอร์ลี่ย์สามารถดึงปลาขึ้นมาเองได้อย่างง่ายดาย การที่พวกมันลงไปในน้ำกลับทำให้ผลลัพธ์ต่างออกไป นั่นคือทำให้ปลาพวกนั้นหนีหายไปหมด

หลังจากตกปลาบรีมขึ้นมาได้ทั้งหมดสี่ตัว เชอร์ลี่ย์ดีใจเป็นอย่างมาก เธอตะโกนขอให้ฉินสือโอวติดเหยื่อให้ ส่วนเธอเป็นคนตกปลาขึ้นมาเอง

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท