ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1586 รางวัลปลาทูน่า

บทที่ 1586 รางวัลปลาทูน่า

ฉินสือโอวพูดออกมาว่า “ไม่มีปัญหา ที่นี่มีฝูงปลาทูน่าครีบดำอยู่ พวกมันไม่ได้อยู่อย่างสันโดษ ตัวนี้หลุดไป ก็ต้องมีตัวอื่นตามมันมาเช่นกัน ไปจัดการพวกมันกันเถอะ!”

เมื่อได้ยินดังนั้น คิ้วที่ขมวดกันของเคอร์ก็คลี่ออก เขายิ้มออกมา แล้วถามว่า “จริงเหรอ? ที่นี่มีฝูงทูน่าครีบดำงั้นเหรอ? เร็วเข้าๆๆ ฝูงต่อไปเราต้องจับมาให้ได้!”

การตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินได้ ถือเป็นการตกปลาที่มีค่าที่สุด คนอย่างเคอร์อาจจะเบื่อกับการกินทูน่าแล้ว แต่ว่าเขาไม่เคยตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินด้วยตัวเองสำเร็จ นี่จึงเป็นความฝันของเขาทุกครั้งที่เขาออกทะเล

ฉินสือโอวอาจจะสามารถเติมเต็มความต้องการของเขาได้ ปลาทูน่าของฟาร์มปลา ไม่เพียงแต่จะมีปลาทูน่าครีบน้ำเงินเท่านั้นแต่ยังมีปลาทูน่าครีบเหลือง และไม่เพียงแต่มีปลาทูน่าตาโตแต่ยังมีปลาโอแถบด้วย ปลาทั้งหมดนี้สามารถเจริญพันธุ์ได้ดีมาก ดังนั้นการตกปลาจึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อพวกมันเท่าไร

แม้ว่า จะต้องรอจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงที่เป็นฤดูการจับปลาทูน่าก็ตาม เขาตั้งใจวางอวนลงไปในทะเล เพื่อที่จะจับฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินทั้งฝูง แต่กระนั้นจำนวนของพวกมันก็ยังคงเยอะอยู่ดี

สายเบ็ดถูกโยนออกไปเส้นแล้วเส้นเล่า คันเบ็ดตกปลาถูกสอดเข้าไปบริเวณราวกั้นของดาดฟ้าเรือและด้านข้างของเรือ บนตะขอเบ็ดมีปลาแฮร์ริ่งเกี่ยวไว้อยู่ นี่เป็นอาหารที่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินชื่นชอบที่สุด

พระอาทิตย์ลอยขึ้นฟ้าไปเรื่อยๆ เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบยังผืนน้ำทะเล พวกเขาก็มองเห็นพื้นที่ตกปลาได้อย่างชัดเจน เกลียวคลื่นพัดไปมา น้ำบริเวณนี้สดใสสะอาดราวกับคริสตัล บางครั้งก็มีน้ำพ่นออกมาจากที่ไกลๆ นั่นคือสัญญาณว่าวาฬขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ

ฉินสือโอวรอให้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินเข้ามาแย่งเหยื่อ เขาชมวิวทิวทัศน์ของทะเลไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นน้ำพุรูปตัววีปรากฏตัวขึ้น เขาก็ชี้ให้เคอร์ดู แล้วพูดออกมาว่า “นั่นคือวาฬหัวคันศร อยากไปดูหรือเปล่า?”

เคอร์มองลงไปในทะเลอย่างตั้งใจ เขาส่ายหัวแล้วตอบกลับว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะรอปลาทูน่าก่อน พูดจริงๆ นะเพื่อน ฉันอยากจะตกปลาชนิดนี้ได้ด้วยตัวเองสักครั้ง”

ฉินสือโอวยักไหล่ จากนั้นเขาก็ส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในทะเล รอบๆ นี้มีฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินว่ายผ่านมาจริงๆ สิ่งที่เขาพูดเมื่อกี้เป็นเรื่องจริงเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อันที่จริงแล้วฝูงปลาทูน่าที่ฟาร์มปลาไม่ได้มีเพียงฝูงเดียว โดยทั่วไปแล้วตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดจะเป็นผู้นำฝูง จากนั้นตัวอื่นๆ ก็จะคอยว่ายน้ำตามมา ดังนั้นเมื่อเจอเข้ากับจ่าฝูงแล้ว ก็สามารถเจอเข้ากับฝูงของพวกมันได้

เบิร์ดถือกล่องแช่ปลาแฮร์ริ่งไว้ในมือ ฉินสือโอวสวมถุงมือ จากนั้นก็เข้าไปแล่ปลาแฮร์ริ่งกับเบิร์ด แล้วโยนเนื้อปลาพวกนั้นลงไปในน้ำ เพื่อที่จะล่อให้ฝูงปลาเข้ามาใกล้เรือ

พวกที่ได้กลิ่นอันหอมหวานของปลาแฮร์ริ่งพวกแรกไม่ใช่ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน แต่เป็นนกนางนวล เมื่อพวกเขาเริ่มโยนเนื้อปลาลงไปในทะเล พวกนกนางนวลก็บินมาหาทันที พวกมันส่งเสียงดัง จากนั้นก็บินไปมาเพื่อแย่งเนื้อปลา

นกนางนวลพวกนี้ไม่ใช่นกนางนวลสีเงินก่อนหน้านี้ นกนางนวลสีเงินอพยพไปยังมหานครเซนต์จอห์นแล้ว หลังจากที่ปล่อยให้พวกมันเข้ามาสร้างความวุ่นวายได้สองสามวัน รัฐบาลก็ต้องจำยอมอนุญาตให้มีการกำจัดนกนางนวลสีเงินพวกนี้ ทำให้พวกมันกลัวจนบินหนีไปในที่สุด

มีนกนางนวลมากกว่ายี่สิบตัวบินมาหาพวกเขา พวกมันตัวเล็กแต่มีปากที่ยาว ลูกนกพวกนี้บินวนไปมาอย่างสะเปะสะปะ บางครั้งเมื่อคลื่นทะเลลูกใหญ่พัดมาแล้วพวกมันหลบไม่ทัน ก็โดนคลื่นพัดลงทะเลไป

แต่ว่านกนางนวลไม่จมน้ำตาย ขนของพวกมันมีความเงามัน เมื่อตกลงไปในน้ำปีกของพวกมันจะยังคงสภาพเดิมและบินขึ้นมาได้อีกครั้ง

เบิร์ดหยิบปืนออกมาไล่ฝูงนกเล็กๆ พวกนี้ ฉินสือโอวมองไปยังฝูงนกนางนวล จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วบอกเบิร์ดว่า “ไม่เป็นไร ให้พวกมันได้กินอาหารหน่อยละกัน”

เมื่อเนื้อปลาถูกโยนลงไปในทะเล ปลาทูน่าครีบน้ำเงินก็ถูกเนื้อปลาดึงดูดให้เข้ามา พวกมันกินเนื้อปลาเหล่านั้นอย่างสบายใจ และสายตาของพวกมันก็มองเห็นปลาแฮร์ริ่งที่ติดอยู่บนตะขอ

เหล่านกนางนวลมาช่วยด้วย เมื่อพวกมันแทงลงไปในน้ำเพื่อกินเนื้อปลา ทุกครั้งที่มันแทงลงไปทำให้เกิดน้ำกระเด็นขึ้นมา แบบนี้ทำให้ทัศนวิสัยในการมองในน้ำลดลง ทำให้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินมองเห็นสายเบ็ดได้ไม่ชัดเจน

ปลาทูน่าทุกตัวสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนโตเต็มวัย พวกมันทุกตัวว่ายผ่านเส้นเอ็นตกปลาและสายเบ็ดมาก่อน พวกมันฉลาดมาก ถ้าหากว่าพวกมันเห็นสายเบ็ด พวกมันก็จะว่ายน้ำหนีทันที เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉินสือโอวรู้เมื่อตอนที่ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปสำรวจ ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่าปลามีความจำอยู่เพียงไม่กี่นาที แต่เมื่อเขาเจอกับเหตุการณ์นี้ เขาก็รู้สึกสมเพชกับสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์

ในที่สุด เมื่อนกนางนวลกินจนอิ่มแล้ว ทันใดนั้นสายเบ็ดก็ตึงขึ้นมาทันที รอกตกปลาหมุนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คันเบ็ดโค้งงอราวกับพระจันทร์เสี้ยว

“เร็ว!” ฉินสือโอวตั้งใจเดินเข้าไปช้าๆ เพื่อให้เคอร์ได้จับเบ็ดไว้ จากนั้นเขาก็เข้าไปช่วยดึงเบ็ดขึ้นมา

ปลาทูน่าตัวนี้มีความยาวประมาณสามเมตร ไม่ถือว่าใหญ่มาก ปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่อยู่ในฟาร์มปลาสามารถยาวได้ถึงห้าเมตร แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ถูกนำไปประมูล แต่ก็มีมูลค่าหลายล้าน

การตกปลาทูน่าครีบน้ำเงินจำเป็นที่จะต้องมีเทคนิค การต่อสู้กับปลาชนิดนี้ไม่ควรใจร้อน ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ผู้ตกปลาต้องมีความอดทน ที่สำคัญคือต้องมีประสบการณ์

เคอร์ไม่มีประสบการณ์ในการตกปลา เขาจึงไม่รู้ว่าเมื่อไรควรปล่อยสายเบ็ดและเมื่อไรควรดึงสายเบ็ด ฉินสือโอวคอยสอนเขาอยู่ข้างๆ ทุกครั้งที่เคอร์ทำผิดเขาจะได้เข้ามาช่วยได้อย่างทันถ่วงที แบบนี้ปลาทูน่าครีบน้ำเงินหนีไปไหนไม่ได้แน่นอน

นีลเซ็นเป็นคนคุมหางเรืออยู่ในห้องโดยสาร ฉินสือโอวตะโกนไม่หยุด บอกให้เขาเปลี่ยนทิศทาง “ไปข้างหน้า ความเร็วสิบน็อต!” “โอเคๆ หยุดๆ จอดตรงนี้ก่อน!” “เลี้ยวหัวเรือ ไปยังสิบนาฬิกา ความเร็วหกน็อต!”

เคอร์ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขาหมุนรอกตกปลาพร้อมกับรอยยิ้ม แล้วพูดออกมาว่า “นายนี่เป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ฉิน ฉันมีลางสังหรณ์ว่า ปลาตัวใหญ่ที่กำลังอยู่ใต้น้ำตอนนี้ไม่สามารถหนีเราไปไหนได้แน่นอน”

เขาพูดออกมาด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะมีจิตสำนึกแห่งโพไซดอนที่อยู่ใต้น้ำคอยสร้างคลื่นลดแรงของปลาทูน่าครีบน้ำเงินอยู่ล่ะก็ ปานนี้มันคงหนีไปแล้ว

พลังโพไซดอนไม่เพียงแต่จะปรับปรุงเนื้อของปลาทูน่าครีบน้ำเงินให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังเพิ่มแรงให้พวกมันด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพลังและความอึดของพวกมันก็โดดเด่นเป็นอย่างมาก นักตกปลาทั่วไปไม่สามารถจับมันได้แน่นอน

แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็เสียเวลาไปมากกว่าสี่สิบนาที กว่าปลาทูน่าจะโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ

ฉินสือโอวให้เคอร์ตั้งใจกับการตกปลา เขาหยิบฉมวกมาจากเบิร์ด แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เอาล่ะเพื่อน ดึงมันกลับมา ฉันจะจบชีวิตมันเอง!”

เคอร์ใช้แรงมหาศาลในการดึงสายเบ็ดกลับมา เมื่อปลาทูน่าครีบน้ำเงินอยู่ห่างฝูงนกนางนวลประมาณสิบเมตร ฉินสือโอวก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วใช้กล้ามแขนขว้างฉมวกไปข้างหน้า

‘สวบ’ เสียงฉมวกผ่านอากาศดังขึ้น ฉมวกแทงเข้าที่คอของปลาอย่างแม่นยำ ปลายแหลมทั้งสามแทงเข้าไปจนมิดด้าม และด้ามของฉมวกก็สั่นไหวอย่างแรง

“สุดยอด!” เคอร์ร้องออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมกับไฮไฟว์ให้ฉินสือโอว

ปลาถูกดึงกลับมาช้าๆ จากนั้นเขาก็ใช้บ่วงเกี่ยวเข้ากับหางรูปพระจันทร์เสี้ยวขึ้นมา แล้วใช้มอเตอร์ในการดึงมันขึ้นมา เพียงเท่านี้ก็ถือว่าสิ้นสุดการตกปลาแล้ว

เคอร์เข้าไปกอดปลาทูน่าแล้วถ่ายรูปสองสามรูป จากนั้นก็เรียกให้ฉินสือโอวเข้ามาถ่ายรูปด้วยกัน

เขาถ่ายรูปไปหลายรูปเลยทีเดียว เคอร์โพสท่าราวกับเด็กๆ เขาไม่หยุดถ่ายรูปไปจนกว่าเขาจะหมดลม

เมื่อเคอร์ถ่ายรูปเสร็จ เบิร์ดก็เข้าไปตัดเหงือกของมันด้วยมีด ทำให้เลือดและไส้ของปลาทูน่าไหลออกมา

ฉินสือโอวส่งไอซ์ไวน์ให้เคอร์ดื่ม ทั้งสองคนชนแก้วกันแล้วพูด ‘ยินดีด้วย’ ออกมาพร้อมกัน

ดังนั้นอาหารกลางวันจึงออกมาเช่นนี้ ฉินสือโอวนำหนังปลาและเนื้อปลาแยกออกมา แล้วทำอาหารง่ายๆ แต่เต็มไปด้วยความอร่อยให้เคอร์ทานสองสามอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังย่าง หนังปลาผัด ปลาย่างและปลาทอด

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน