ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1594 แมวน้ำ & เต่าทะเล

บทที่ 1594 แมวน้ำ & เต่าทะเล

ฝูงโลมากลุ่มนี้ล้วนเป็นโลมาปากขวดทุกตัว ซึ่งน่าจะเป็นฝูงโลมาที่หลงมาฟาร์มปลาตั้งแต่ยังเป็นลูกโลมาตอนไหนสักตอน พวกมันได้ยินเสียงเรียกของบีน จึงต่างว่ายมาหา เพื่อทำเซอร์ไพรส์ให้กับฉินสือโอว

วินนี่ที่โต้คลื่นอยู่ด้านหลัง หัวเราะอย่างสนุกสนานอยู่ตลอดเวลา ต่อให้น้ำทะเลซัดเข้าหาขนาดไหน ก็ยังคงมีเสียงหัวเราะของเธอเสมอ

ช่างเป็นเรื่องที่เกินคาดจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีฝูงโลมากระโดดตามหลังเธอไปมา

โต้คลื่นเป็นกีฬาที่กินแรงมาก ฉินสือโอวคิดว่าวินนี่น่าจะหมดแรงแล้วจึงลดความเร็วของเจ็ทสกี แล้วพาเธอขึ้นมาบนเรือ แต่ฝูงโลมายังสนุกอยู่จึงล้อมเรือไว้ไม่อยากให้พวกเขาจากไป

แต่พอผ่านไปสักพัก ฝูงโลมาอยู่ดีๆ ก็ว่ายหายไปกันเอง ฉินสือโอวใจเต้นระส่ำ นึกว่าเฮยป้าหวังมาแล้วทำให้ฝูงโลมาตกใจจนจากไป แต่ปรากฏว่าเมื่อเขามองไปบริเวณรอบๆ กลับพบว่าเป็นฝูงเต่าทะเล!

ใช่แล้ว ปู่นิโคลัส กูสพาฝูงเต่ามะเฟืองกลับมาแล้ว!

ปีนี้ฝูงเต่าถือว่ากลับมาช้าไปหน่อย เพราะอย่างปีที่แล้วกลางเดือนเมษายนพวกมันก็กลับมาแล้ว แต่ปีนี้ช้าไปหนึ่งเดือน

แต่เขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เต่าทะเลเหล่านี้ถูกเฝ้าดูด้วยเรือสังเกตการณ์หลายลำในช่วงที่พวกมันพักระหว่างทาง รั้งพวกมันเอาไว้ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อทำการวิจัย โดยหลักๆ ก็คือทำการตรวจสอบและสำรวจการขยายพันธุ์และการเจริญเติบโตของฝูงเต่ามะเฟือง

เนื่องด้วยการปกป้องของฉินสือโอวจึงทำให้จำนวนของฝูงเต่ามะเฟืองเพิ่มมากขึ้น แค่ฝูงเต่าที่อยู่ด้านหน้านี้ ก็มีจำนวนเต่าขนาดกลางและใหญ่ถึงสามสี่ร้อยตัวแล้ว ซึ่งยังมีเต่าขนาดเล็กอีกจำนวนมาก

แม่เต่าทะเลแต่ละตัวที่ด้านหลังของมันจะมีลูกเต่าทะเลเกาะอยู่ อย่างน้อยก็มี 2-3 ตัว แต่ถ้าอย่างมากก็มีมากถึง 10 กว่าตัว…

ลุงกูสมีความรู้สึกไวต่อพลังโพไซดอนมาก มันจึงสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของฉินสือโอว และค่อยๆ ว่ายกระดึ๊บๆ มา

เต่ามะเฟืองตัวเต็มวัยจะมีลำตัวใหญ่มาก ถือว่าเป็นเต่าที่ใหญ่ที่สุดในธรรมชาติประเภทหนึ่ง เมื่อพวกมันว่ายโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แต่ละตัวมีลักษณะเหมือนเกาะเล็กๆ เรียงรายกันไป ดังนั้นเมื่อมีเต่ามะเฟืองโผล่เหนือผิวน้ำขึ้นมา 10 กว่าตัว ก็เหมือนกับมีเกาะปรากฏขึ้นมา 10 กว่าเกาะ

ช่างภาพแต่ละคนต่างส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง ฉินสือโอวขับเจ็ทสกีให้มาใกล้ๆ ลุงกูส เขาพูดว่าวินนี่ว่า “คุณค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนหลังมันนะ เดี๋ยวมันจะพาคุณไปเอง”

วินนี่เคยให้อาหารฝูงเต่ามะเฟือง จึงคุ้นเคยกับพวกมันเป็นอย่างดี จึงรู้ว่าถึงหน้าตาพวกมันจะดูน่าเกลียดน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วฉลาด และเชื่อฟังมาก ยังแข็งแกร่งกว่ามาสเตอร์ที่นิสัยเสียกว่ามาก และไม่สนใจด้วยว่าใครจะนั่งอยู่บนหลังมัน ซึ่งต่างจากมาสเตอร์ ที่ไม่ให้ใครเข้าใกล้เลย ยกเว้นก็แต่ฉินสือโอว

วินนี่ก้าวขึ้นไปบนหลังเต่าลุงกูสอย่างช้าๆ หลังจากนั้นก็นั่งอยู่ข้างบนหลังมัน

หัวของลุงกูสยังคงกระตุกอยู่ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องโทษบิลลี่ เพราะตอนนั้นไฟฟ้าช็อตเต่าลุงกูส จึงกลายเป็นผลข้างเคียงในเวลาต่อมา แต่ทว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะด้วยท่าทางการขยับที่ประหลาดของมันในที่ประชุมสมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลกจึงทำให้มันโด่งดังขึ้นมา และมีแฟนคลับติดตามอยู่จำนวนหนึ่ง

โดยไม่ต้องมีคำสั่งของฉินสือโอวแต่อย่างใด เจ้าเต่าลุงกูสก็ว่ายพาวินนี่ขึ้นฝั่งโดยไม่ทำให้อับอาย

ฉินสือโอวจึงให้พวกชาวประมงออกเรือแล้วใช้แหในการจับแมงกะพรุน เพื่อเป็นอาหารกลางวันให้ลุงกูส

เมื่อแมงกะพรุนถูกปล่อยออกมา เต่ามะเฟืองแต่ละตัวก็ค่อยๆ เข้าไปจับกินอย่างช้าๆ วินนี่พูดอย่างมีความสุขว่า “คุณดูสิ พวกมันเป็นสุภาพบุรุษมาก”

ฉินสือโอวเกาหัวแกรกๆ ไม่รู้ว่าพูดต่อว่าอะไรดี เพราะเจ้าเต่ามะเฟืองพวกนี้เดิมทีก็มีลักษณะเชื่องช้าอยู่แล้ว โอเคไหม เกี่ยวอะไรกันกับสุภาพบุรุษเนี่ย?

พวกเต่ามะเฟืองจับแมงกะพรุนกินอย่างอิสระ โดยไม่มีการรับรู้ในวิกฤตแต่อย่างใด พวกมันไม่รู้ว่า ทะเลสาบในตอนนี้ไม่ใช่ทะเลสาบเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ฟาร์มปลาในตอนนี้ก็ไม่ใช่ฟาร์มปลาเหมือนก่อนเช่นกัน เมื่อฝูงแมวน้ำเห็นเต่ามะเฟืองปรากฏตัวเยอะขนาดนี้ พวกมันก็ลอยอยู่เหนือผิวน้ำมองกันและกันด้วยความสงสัย หลังจากนั้นผู้นำพี่ใหญ่ก็ตัดสินใจ จัดการพวกมัน!

แมวน้ำกรีนแลนด์ส่วนมากจะอาศัยอยู่ในน้ำ ฝูงเต่ามะเฟืองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ถิ่นของพวกมันมีความทับซ้อนกันอยู่ แล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้รับมือด้วยง่ายๆ ดังนั้นการขัดแย้งกันด้านกำลังจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย

ฝูงแมวน้ำเริ่มจู่โจมก่อน ใช้ร่างกายที่แข็งแรงของพวกมันพุ่งเข้าไปแย่งแมงกะพรุน พวกมันเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชและเนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงกินแมงกะพรุนได้ เพราะพวกแมวน้ำมีชั้นไขมันที่หนา ดังนั้นพิษที่ทำให้ร่างกายด้านชาที่อยู่บนตัวแมงกะพรุนจึงทำอะไรพวกมันไม่ได้

ฝูงเต่ามะเฟืองค่อยๆ กลืนกินแมงกะพรุนอย่างช้าๆ แล้วใช้สายตาอันแหลมคมเหลือบมองไปที่พวกแมวน้ำ

แมวน้ำ “มองอะไร? พวกแกมองอะไร?”

เต่ามะเฟือง “ถ้าแกไม่มองมาที่ฉันจะรู้ได้ไงว่าฉันมองแกอยู่?”

แมวน้ำขำ “ไอ้ด้านชาอย่างแกร้องเพลงแร็ปได้ด้วยเหรอเนี่ย? ฉันถามแกว่า ตกลงแกมองอะไรฮะ?”

เต่ามะเฟืองหมดความอดทน “ก็มองแกไง มองแกแล้วจะทำไม?”

พวกแมวน้ำโกรธแล้ว “กล้าดีนี่? มา พวกแกมาคุยกับพวกเราตรงนี้สิ”

อย่าได้หลงเชื่อความไร้เดียงสาของแมวน้ำจนถูกหลอกเอาได้ เพราะนี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายมาก จากที่เห็นพวกมันกล้าไล่ล่าหมีขั้วโลกหรือฉลาม เท่านี้ก็มองออกแล้ว เพียงแค่หัวข้อในการพูดคุยกับพวกมันเข้าสู่ประเด็นชวนคุย นั่นก็หมายความว่ามันจะเริ่มลงมือต่อสู้แล้ว

ลุงกูสเข้าใจหลักการที่ว่าความแค้นต้องปล่อยวาง อย่าได้ผูกใจเจ็บข้อนี้เป็นอย่างดี หรืออาจจะพูดได้ว่า มันรู้ว่าพวกมันเพิ่งเดินทางกลับมาเป็นระยะทางไกล พละกำลังร่างกายยังไม่ฟื้นฟู ถ้าจะสู้ก็คงเสียเปรียบ มันจึงแสดงท่าทางความเป็นผู้นำแล้วริเริ่มเปลี่ยนคำพูดเป็นภาษาต่างประเทศ “What are you talking about? Anata wa nani o iu? ซึมิต้า? นายพูดว่าอะไรนะ? เต่ามะเฟืองเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้เป็นเวลาหลายปี จึงได้เรียนภาษาต่างประเทศมาไม่น้อย ลุงกูสเล่นพูดทีเดียว 4 ภาษาต่อเนื่องกะจะทำให้พวกแมวน้ำมึนงงและถอยห่างออกไปอย่างสงบ ซึ่งเมื่อเป็นแบบนี้ก็จะไม่เสียฟอร์มแล้วก็สู้กันไม่ได้ด้วย รอวันหลังฟื้นฟูร่างกายก่อนแล้วค่อยมาสู้กันใหม่

ถ้าว่ากันด้วยเรื่องนี้ พวกแมวน้ำเป็นแมวน้ำในพื้นที่ พวกมันจึงแค่เข้าใจภาษาถิ่นของแลบราดอร์

ดังนั้นเมื่อลุงกูสเล่นพูดด้วย 4 ภาษาต่างประเทศแบบนี้ พวกมันจึงคิดทันทีว่า บางทีพวกมันอาจจะเข้าใจผิด เพื่อนผองต่างชาติพวกนี้อาจจะแค่ขอว่ายผ่านดินแดนของพวกเรา ดังนั้นจึงแค่ตักเตือนไปไม่กี่ประโยคก็จบกัน

แต่ที่คาดไม่ถึงคือในฝูงแมวน้ำมีพวกวู่วามอยู่ เมื่อลุงกูสใช้ 4 ภาษาในการพูดต่อเนื่อง พวกมันจึงรู้สึกไม่พอใจมาก คิดว่านี่เป็นการโอ้อวด แมวน้ำตัวอวบอ้วนตัวหนึ่งจึงว่ายไปด้านหน้า อย่ามาใช้ภาษาบ้าอะไรไม่รู้มาพูดกับฉัน ฉันฟังไม่รู้เรื่องหรอก จิ๊บจิ๊บ จุ๊บจั๊บ อะไร แกมานี่ มาคุยกับฉันดีกว่า…

ลุงกูสโมโหขึ้นมาทันใด เจ้าพวกคนนอกพวกนี้กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่รุกรานถิ่นของมัน ยังมาดูหมิ่นวัฒนธรรมของพวกมันด้วย ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ต่อให้ไม่มีพละกำลัง ก็ต้องจัดการซะ!

ลุงกูสอ้าปากกว้าง แล้วกัดเข้าไปที่ครีบของตัวที่วู่วามในฉับพลัน เจ้าวู่วามเจ็บจนตัวสั่น ควรรู้ว่าในปากของเต่ามะเฟืองเต็มไปด้วยหนามแหลมคม ไม่เช่นนั้นแมงกะพรุนที่ลอยไหลลื่นอยู่ในน้ำจะถูกพวกมันกินได้อย่างไร

ด้วยเหตุนี้มันจึงส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด “บ้าเอ๊ย แกเป็นไทสันหรือไง? กัดคนได้ด้วย? พี่น้อง หยิบอาวุธขึ้นมา จัดการพวกมันซะ!”

ทันใดนั้น พวกเต่ามะเฟืองต่างหยุดกินแมงกะพรุน พวกแมวน้ำก็ไม่อาบแดดต่อ แต่พวกมันสองฝั่งเริ่มการต่อสู้กันอย่างจริงจังแล้ว

แม้จำนวนของเต่ามะเฟืองจะน้อยกว่าแต่ลำตัวของมันใหญ่และได้เปรียบ อย่างลุงกูสตัวมันใหญ่เท่าเรือเล็กลำหนึ่ง อีกทั้งบนลำตัวมันยังมีกระดองเหล็กปกป้องไว้อีกชั้น ซึ่งสิ่งนี้เหมือนกับการฝึกวิชาภูษาเหล็ก ความสามารถในการป้องกันตัวแข็งแกร่งมาก

นอกจากนี้แล้ว บนหลังของแม่เต่ามะเฟืองยังมีลูกเต่าน้อยๆ ซึ่งก็เปรียบเสมือนเรือบรรทุกเครื่องบิน ที่พวกมันไม่เพียงแต่จะต่อสู้ด้วยตัวเอง แต่ยังสามารถจู่โจมด้วยเครื่องบินเล็กๆ เหล่านี้ได้ตลอดเวลาอีกด้วย

ไม่ต้องดูก็รู้ว่า แมวน้ำหลายตัวถูกโจมตี พวกมันถูกลูกเต่ากัดด้านหลัง เจ็บจนแยกเขี้ยวแสยะ ไม่สนุกเลยสักนิด

แต่จำนวนของแมวน้ำมีมากแล้วพวกมันก็ว่องไว ดังนั้นหลังจากที่ผ่านความโกลาหลในครั้งแรกมาแล้ว พวกมันก็เริ่มสงบลง ใช้จำนวนที่มากกว่าล้อมพวกเต่ามะเฟืองไว้ พยายามกระโดดขึ้นๆ ลง ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความวุ่นวายยุ่งเหยิงก็ก่อตัวขึ้นที่ฟาร์มปลา

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท