ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1605 ความหอมหวานของอำนาจ

บทที่ 1605 ความหอมหวานของอำนาจ

ฉินสือโอวหัวเราะแหยๆ พูดว่า “แบบนี้ได้ผลจริงเหรอครับ?”

เออร์บักเปิดไอแพดออก หาข่าวที่เกี่ยวกับไม้พาโลซานโต ชี้ไปที่มันแล้วพูดว่า “ดูสิ คนที่บอกว่าไม้พาโลซานโตมาจากฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์คือโลแกน ไลบ์นิทซ์ ตามกฎหมายแล้ว คำพูดของเขานั้นไม่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ จะต้องให้นายเป็นคนยอมรับที่มาของไม้พวกนี้จึงจะใช้ได้”

ฉินสือโอวมองดูตาลุงด้วยความอึ้ง ตาลุงยักไหล่แล้วพูดว่า “นี่นายคงไม่ได้ไม่เข้าใจใช่ไหม? ฉันจำได้ว่านายเคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยไม่ใช่เหรอครับ?”

“ไม่ ผมเข้าใจครับ แต่ที่ผมอึ้งก็คือ คุณใช้ไอแพดเป็นด้วยเหรอ?” ท่านชายฉินยังคงอ้าปากค้างทำท่าตกใจอยู่

เออร์บักโยนไอแพดให้เขา พูดเสียงเรียบว่า “อะไรคือสิ่งที่มหาวิทยาลัยช่วยเราได้เยอะที่สุด? การบ่มเพาะความสามารถในการเรียนรู้ของเรา ฉันเองก็เคยเรียนมหาวิทยาลัย แถมยังเรียนถึงระดับปริญญาเอกอีกด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือ ความสามารถในการเรียนรู้ของฉันนั้นดีกว่านายอีกนะ”

ฉินสือโอวไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกเลย การมาถึงของพี่น้องมินสกี้เหมือนเป็นแค่เพลงประกอบฉากเล็กๆ เท่านั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเขาเลย วันนั้นหลังจากที่เขาคุยกับเออร์บักแล้ว ก็ไม่เคยเดินทางไปที่ศาล แล้วเรื่องนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้

อากาศอบอุ่นแล้ว บรรยากาศของฤดูร้อนมาถึงแล้ว ฉินสือโอวเปลี่ยนจากเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว เปลี่ยนเป็นเสื้อยืดและกางเกงชายหาดแทน ส่วนพวกเหล่าชาวประมงยิ่งแล้วใหญ่ที่ถอดเสื้อกันทุกวัน แต่ละคนถูกแดดเผาจนดำ ในตอนกลางคืนหากว่าแสงไฟไม่สว่างพอ เจ้าพวกนี้ก็เหมือนกับโจรที่มีพลังในการพรางตัว แม้แต่ฉินสือโอวก็สังเกตไม่เห็น

ปลายเดือนพฤษภาคม หลังจากปรับปรุงตกแต่งอาคารมากว่าสี่เดือน ในที่สุดอาคารสำนักงานของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ก็ซ่อมเสร็จแล้ว สำนักงานของพวกเขาตั้งอยู่ตรงบริเวณย่านศูนย์กลางทางธุรกิจเปิดใหม่ในนครเซนต์จอห์น ในประเทศจีนจะเรียกกันภาษาบ้านๆ ว่าเป็นจุดศูนย์กลางการอยู่ร่วมกันระหว่างตัวเมืองและผู้คนชนบท รัฐบาลจะทำการหาที่โล่งมาแห่งหนึ่งจากนั้นก็จะลงทุนให้คนไปทำงานกันที่นั่น คล้ายๆ กับการวงพื้นที่เพื่อเลี้ยงแพะ

ฉินสือโอวค่อนข้างรู้สึกชอบที่ตรงนี้ เพราะว่าที่นี่ห่างจากท่าเรือไม่มาก สะดวกต่อการโดดงานของเขา

หลังจากปรับปรุงอาคารเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็ต้องไปทำงาน แน่นอนว่าไม่ต้องปักหลักอยู่ที่นั่น แต่อย่างน้อยก็ต้องไปบ้างอาทิตย์ละวันสองวัน เพราะอย่างไรเสียพันธมิตรของสภาการประมงต้องมีเรื่องเล็กเรื่องน้อยให้จัดการไม่น้อยเลย นอกเหนือจากนี้ สำนักงานสร้างเสร็จแล้ว เขาต้องไปเพื่อเข้าร่วมงานเปิดตัวด้วย เพราะนี่เท่ากับเป็นการเปิดตัวของพันธมิตรการประมงอย่างเป็นทางการ

ไม่เพียงแต่เขาต้องไป แม้แต่หัวหน้าสภามหาสมุทรและการประมงอย่างแมทธิว จินก็ต้องมาร่วมงานด้วย เหล่าผู้กำกับใหญ่ของรัฐนิวฟันด์แลนด์และเซนต์จอห์นก็ล้วนมาร่วมงานด้วยทั้งหมด

ณ ตอนนี้ศูนย์กลางย่านกลางค้านี้ได้มีการสร้างตึกเพื่อนำมาใช้ในการลงทุนอยู่หกตึก พันธมิตรการประมงตั้งอยู่ที่ตึกหมายเลขสองในชั้นที่สี่และชั้นที่ห้า สองชั้นนี้มีห้องทำงานทั้งหมดกว่าร้อยกว่าห้องก็เป็นของพวกเขาทั้งหมด ฉินสือโอวรู้สึกตึงมือกับเรื่องนี้ ก็เขายังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรถึงจะใช้ห้องทำงานพวกนี้ได้ครบนี่นา

นั่งเรือยอชต์มาถึงท่าเรือ ฉินสือโอวมองดูเวลา รู้สึกว่าแบบนี้ไม่โอเค ต่อไปตัวเองมาทำงาน จะต้องไปมาระหว่างเซนต์จอห์นกับเกาะแฟร์เวลบ่อยๆ นั่งเรือยอชต์มาช้าเกินไป เสียดายเวลา เท่ากับว่าต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์มา

แต่ฟาร์มปลามีเฮลิคอปเตอร์แค่ลำเดียว แถมยังไม่ใช่เครื่องที่ใช้ในการพาณิชย์อีกด้วย แม้จะช้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกเหนือจากนี้ทางฟาร์มปลายังต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ในการออกลาดตระเวนทุกวันอีก แบบนี้ทำให้เขานำมาใช้ไม่ได้ ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องซื้อเฮลิคอปเตอร์ลำใหม่แล้ว

ตอนนี้ในกระเป๋าเงินของฉินสือโอวมีเงินไม่มาก แม้ในแต่ละเดือนอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินสามารถทำเงินให้เขาไม่น้อย แต่ว่าเงินพวกนี้เขาต้องจ่ายคืนให้ธนาคารทั้งหมด ตอนนี้ยังเป็นหนี้ธนาคารอยู่ตั้งสามร้อยล้านดอลลาร์แคนาดา ส่วนเงินที่เขาลงทุนไปกับบอมบาร์เดียร์จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววที่จะได้คืนเลย อย่างน้อยก็ต้องรอถึงปีหน้าก่อน จึงจะได้ส่วนแบ่ง

เมื่อเป็นแบบนี้ เขาคิดวิเคราะห์สักพักแล้วก็ตัดสินใจ หลังจากงมเรือสมบัติของโจรสลัดขึ้นมาได้แล้ว พอเปลี่ยนมาเป็นเงินเสร็จ เขาจะไปซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบสุดยอดสักลำ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์สำหรับใช้ในการพาณิชย์ที่มีราคาสิบล้านไม่ก็แปดล้านดอลลาร์แคนาดาเทือกนั้น

เขตสำนักงานในศูนย์กลางในย่านการค้าตั้งอยู่ข้างๆ กับสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง เมืองอย่างเซนต์จอห์นก็เป็นแบบนี้ พื้นที่กว้างผู้คนน้อย ต้นไม้ใบหญ้ามากมาย ต้นไม้เรียงรายให้ร่มเงา แค่สุ่มพื้นที่ว่างมาผืนหนึ่งทำการใส่โต๊ะและเก้าอี้เข้าไป ก็สามารถเรียกว่าสวนดอกไม้ได้แล้ว

ตึกหกตึกได้ตั้งตระหง่านขึ้นมาจากพื้นดิน รอบด้านเป็นต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจี ดอกไม้พืชพรรณนานาชนิด เสียงนกร้องกลิ่นหอมดอกไม้ ฉินสือโอวรู้สึกว่าหากศูนย์กลางย่านกลางค้าที่ใดที่หนึ่งในประเทศจีนมีสภาพแวดล้อมแบบนี้แล้วล่ะก็ จะต้องเกิดเป็นกระแสขึ้นมาอย่างแน่นอนเลย

แต่ว่าในแคนาดา ศูนย์กลางย่านการค้าแบบนี้เป็นได้แค่เรื่องตลกให้คนอื่นเท่านั้นแหละ แม้แต่เงาคนสักคนก็ยังไม่เห็นแบบนี้ เป็นศูนย์กลางย่านการค้าประสาอะไร?

ตึกใหญ่ล้วนเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ มองจากด้านนอกแล้วดูใหม่เอี่ยมมาก หน้าต่างกระจกเงาที่มองได้ด้านเดียวแต่ละบานกำลังสะท้อนแสงอาทิตย์อยู่ ทำให้ตึกพวกนี้ดูแล้วให้ความรู้สึกหรูหรายิ่งใหญ่ขึ้นมา

ฉินสือโอวสวมเสื้อสูทคู่กางเกงและรองเท้าหนังดำ ยืนอยู่ตรงกลางย่านการค้าแล้วมองไปที่ตึกหมายเลขสอง ในนั้นมีห้องทำงานห้องหนึ่งที่เป็นห้องของเขาคนเดียว เมื่อคิดแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนใหญ่คนโตขึ้นมา งั้นก็ควรจะหนีบกระเป๋าเอกสารมาด้วยหรือเปล่านะ?

งานแบบนี้แน่นอนว่าไม่ต้องถึงมือเขา ทิญาที่ใส่ถุงน่องดำกับกระโปรงทรงเอได้ยืนกอดแฟ้มเอกสารรอไว้อยู่แล้ว ในนั้นเป็นเอกสารที่ต้องใช้ในวันนี้ทั้งหมด แฟ้มเอกสารถูกเธอกอดไว้แนบอก ทับไปที่อกตู้มของเธอ ทำให้เกิดเป็นภาพความรู้สึกที่สั่นคลอนจิตใจคนได้ออกมา

ฉินสือโอวมองปราดไปทีหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จ้องไปที่ตึกอาคาร แล้วพูดอย่างรอคอยว่า “ทิญา พาฉันเข้าไปดูเลยเถอะ สำนักงานของเราตกแต่งมาถึงสี่เดือนเลยนะ ดูสิว่าตกแต่งได้หรูหราขนาดไหน?”

อาคารเล็กในฟาร์มปลาของเขาใช้เวลาตกแต่งไปแค่สิบกว่าวันก็เสร็จแล้ว ตึกสองชั้นนี้กลับใช้เวลาถึงสี่เดือน แถมยังเริ่มงานพร้อมกันอีก เมื่อเป็นแบบนี้แล้วคงจะตกแต่งได้หรูหรามากถึงจะถูก

แต่พอได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ทิญาก็พูดอย่างสุภาพออกมาว่า “ผู้อำนวยการคะ ดิฉันต้องบอกคุณก่อนนะคะว่า จากข้อกำหนดที่ทางรัฐบาลมีให้กับสำนักงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้สำนักงานของเราทั้งหมดตกแต่งแบบเรียบง่ายนะคะ”

“สี่เดือนเชียวนะ อย่างนี้ประสิทธิภาพในการทำงานนั้นต่ำเกินไปหรือเปล่า?” ท่านชายฉินปิดความรู้สึกตกใจไว้ไม่อยู่

ทิญาเองก็รู้สึกด้วยเช่นกัน เธอเบิกตาโตมองไปด้วยความตกใจแล้วพูดว่า “คุณไม่ทราบจริงเหรอคะ? การตกแต่งของตึกเรานั้นใช้เวลาไปแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ที่เหลืออีกสามเดือนเป็นการจัดการระบายอากาศ เพื่อจัดการกับมลภาวะที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ตกแต่งน่ะค่ะ?”

ฉินสือโอวอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาในตอนนี้คือสองหูไม่สนเรื่องนอกหน้าต่าง ตั้งใจเลี้ยงปลากุ้งปูอย่างเดียว พูดตามจริงเขาได้ลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ ถึงว่าทำไมตึกนี้ถึงไม่ถูกปล่อยให้เข้าไปใช้งานเสียที เพราะยังมีปัญหาเรื่องมลภาวะในการตกแต่งต้องจัดการนี่เอง

เขาเป็นหัวหน้าที่มาถึงตึกเร็วที่สุด แมทธิว จิน ผู้ว่าราชการเขตรัฐนิวฟันด์แลนด์เออร์วิน มาร์บิวรีและแฮมเล็ตยังไม่มากัน

แต่พนักงานธรรมดาทั่วไปต่างก็มาเข้างานกันแล้ว ฉินสือโอวเข้าไปในตึกขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสี่ ด้านในกำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งห้องทำงาน ย้ายที่ย้ายเอกสารกันอยู่ หลังจากเขาปรากฏตัวแล้ว คนพวกนี้ก็รีบหยุดงานที่ทำอยู่ทันที แล้วใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพมองไปที่เขา มีคนกล่าวทักทายเขาตลอดทาง “ผู้อำนวยการ” ชื่อเรียกนี้ถูกเรียกไม่หยุด

ฉินสือโอวยิ้มรับให้เหล่าพนักงาน เป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มรสกับข้อดีของการมีอำนาจ ใช่แล้ว นี่ก็คือข้อดีของการมีอำนาจ เป็นพลังที่เงินทองไม่สามารถหาให้ได้ ต่อหน้าพนักงานพวกนี้ เขาก็คือพระเจ้าที่กำหนดการเลื่อนหรือลดตำแหน่งของพวกเขา พวกเขาจำเป็นต้องให้ความเคารพกับเขาให้เต็มที่

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท